รถยนต์มีกี่ประเภท? แต่ละประเภทรถยนต์ (Segment) ต่างกันอย่างไร?
หลายคนอาจสงสัยว่ารถยนต์ในปัจจุบันสามารถแบ่งได้กี่ประเภท? รถยนต์แต่ละประเภทมีรุ่นไหนที่น่าสนใจบ้าง? รวมถึงประเภทรถยนต์ (Segment) มีผลต่อเบี้ยประกันรถยนต์หรือไม่? วันนี้ แรบบิท แคร์ รวบรวมข้อมูลมาให้แล้ว
ประเภทรถยนต์ A (A Segment Car) คืออะไร?
Segment รถ A Segment Car คือ การกำหนดประเภทรถยนต์ (Car Segment) โดยอ้างอิงตามเกณฑ์ของคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission)
A Segment Car หรือรถยนต์ประเภท 1 คือ ประเภทรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่มีขนาดเล็กที่สุด มีขนาดตัวรถตั้งแต่ 2.7 ม. - 3.7 ม. มีขนาดเครื่องยนต์ 660 c.c. - 1000 c.c. ความจุกระบอกสูบต่ำ เน้นประหยัดเชื้อเพลิง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ราคาจับต้องได้ และเน้นใช้ขับขี่ในเมือง ทำให้มักถูกเรียกในชื่อ “City Car” หรือ “Minicompact”
ตัวอย่างรถประเภทรถยนต์ A Segment Car ยอดนิยมที่ยอดจัดจำหน่ายสูงที่สุดในทวีปยุโรป 10 อันดับแรก ได้แก่ Fiat Panda, Fiat 500 (2007), Toyota Aygo, Renault Twingo, Volkswagen Up!, Hyundai i10, Kia Picanto, Peugeot 108, Citroën C1 และ Suzuki Ignis
ตัวอย่างรถประเภทรถยนต์ A Segment Car ที่มีจัดจำหน่ายในประเทศไทย และอยู่ในระหว่างเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เช่น Honda City, Mitsubishi Mirage, Suzuki Celerio หรือ ORA Good Cat โดยราคาเริ่มต้นที่ถูกที่สุดของประเภทรถ A Segment Car อยู่ที่ 328,000-437,000 บาท ในขณะที่ราคาสูงที่สุดของ Segment รถประเภทนี้ (A Segment Car) อยู่ที่ 1,550,000-1,650,000 บาท
ตัวอย่างประเภทรถยนต์ A Segment Car มีรถรุ่น/ยี่ห้อไหนบ้าง?
รถยนต์ A-Segment ที่จัดจำหน่ายในไทยและกำลังเตรียมเปิดจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการนั้นมีอยู่หลายรุ่น/ยี่ห้อในปัจจุบัน ทั้งรถยนต์ที่ใช้ระบบเครื่องยนต์สันดาปภายใน (น้ำมันเครื่อง) และรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน
ยี่ห้อรถยนต์ในกลุ่ม A Segment Car ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศไทย ได้แก่ Suzuki, Honda, Mitsubishi และ Nissan ในขณะที่แบรนด์รถยนต์ A Segment Car ประเภทรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจากประเทศจีนเริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้่น เช่น Great Wall Motors (ORA), Wuling หรือ Chery
ตัวอย่างประเภทรถยนต์ A Segment Car ที่จัดจำหน่ายแล้วและอยู่ในระหว่างเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการเพื่อเริ่มจัดจำหน่ายในเร็วๆ นี้ มีดังต่อไปนี้
- Honda Brio-Amaze
- Honda City
- Mitsubishi Mirage
- Nissan March
- Nissan Almera
- Suzuki Celerio
- Suzuki Jimmy
- Suzuki Swift Minorchange
- Suzuki Swift
- ORA Good Cat
- ORA Black Cat
- Wuling Mini EV
- Chery EQ1
- BYD Dolphin
รถอีโค่คาร์หรือรถ City Car จัดเป็นประเภทรถยนต์ A Segment Car ด้วยหรือไม่?
การจัดกลุ่ม Segment รถอีโค่คาร์ (Eco Car) หรือรถ City Car ตามการกำหนดประเภทรถยนต์โดยคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) กำหนดให้รถอีโค่คาร์ อยู่ใน Segment รถประเภท A Segment Car อ้างอิงตามขนาดตัวรถและขนาดความจุเครื่องยนต์เป็นตัวกำหนด โดยต้องมีขนาดเครื่องยนต์ระหว่าง 660 cc. -1000 cc. รวมถึงต้องเหมาะกับการขับขี่ใช้งานในภายเมือง (City Car)
อย่างไรก็ตาม การจัดกลุ่มประเภทรถยนต์ (Segment) รถอีโค่คาร์ในประเทศไทย จะจัดอยู่ในกลุ่มประเภถรถยนต์ B-segment โดยอิงตามขนาดของตัวรถเป็นสำคัญ รวมถึงต้องประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ 20 ก.ม. ต่อน้ำมันเชื้อเพลิง 1 ลิตร และต้องปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่เกิน 120 กรัม ต่อระยะทาง 1 ก.ม. รวมถึงต้องมีขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,300 c.c.
รหัสรถยนต์ประเภทรถยนต์ A Segment Car ในประกันรถ คือเลขอะไร?
รหัสรถยนต์ในประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ (Voluntary Car Insurance) คือ ตัวเลขและตัวอักษรที่มีความหมายแทนประเภทรถยนต์และการใช้งาน โดยบริษัทต้องระบุรหัสรถยนต์ไว้ในตารางกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ทุกครั้ง เพื่อให้มีมาตรฐานเดียวกันในการอ้างอิงหรือคำนวณเบี้ยประกัน แบ่งเป็น ตัวเลขหลักที่หนึ่ง แสดงถึง ประเภทรถยนต์ ตัวเลขหลักที่สอง และสาม แสดงถึง ลักษณะการใช้รถยนต์
สำหรับรถประเภทรถ A Segment Car หรือรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ไม่เกิน 7 ที่นั่ง รวมคนขับ 4 ประตูไม่ต่อสองแถว ป้ายทะเบียนสีขาวตัวอักษรสีดำ ทั้งชนิดรถเก๋ง หรือรถกระบะ รวมถึงมีขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 2,000 ซี.ซี. และขนาดเครื่องยนต์เกิน 2,000 ซี.ซี. แบ่งเป็น 2 กลุ่มตัวเลขสำหรับบอกประเภทรถยนต์ (Car Segment) และลักษณะการใช้งาน ของ Segment รถประเภทอื่นๆ ได้แก่
- 110 คือ รถยนต์สำหรับใช้ส่วนบุคคล ไม่ใช้รับจ้างหรือให้เช่า
- 120 คือ รถยนต์ใช้เพื่อการพาณิชย์ หรือรถจดทะเบียนบุคคล แต่ใช้งานรับจ้างแบบไม่ประจำทาง หรือ รถยนต์ให้เช่า
ความหมายรหัสรถยนต์สำหรับ A Segment Car แบ่งเป็นตัวเลขที่หนึ่ง 1 แทน ประเภทรถยนต์นั่ง ตัวเลขที่สองและสาม 10 แทน ชนิดรถยนต์ส่วนบุคคล 20 แทน ชนิดรถยนต์ใช้เพื่อการพาณิชย์
เบี้ยประกันรถประเภทรถยนต์ A Segment คำนวณจากปัจจัยอะไรบ้าง?
การคำนวณเบี้ยประกันภัยการประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจสำหรับรถยนต์ประเภท A Segment Car หรือ Segment รถประเภทอื่นๆ จะคำนวณจากอัตราเบี้ยประกันของระยะเวลาการเอาประกันภัยเต็มปี ตามอัตราเบี้ยประกันภัย 4 ประเภท ดังต่อไปนี้
1. เบี้ยประกันพื้นฐาน หรือเบี้ยที่กำหนดขึ้นตามจำนวนเงินจำกัดความรับผิดชอบพื้นฐานของรถทั้ง 8 ประเภทรถยนต์ หรือตาม Segment รถ แบ่งตามประเภทกรมธรรม์ประกันชั้น 1 ชั้น 2 และชั้น 3 โดยกำหนดให้บริษัทประกันต้องไม่ใช้เบี้ยประกันพื้นฐานที่สูงกว่าเบี้ยประกันพื้นฐานขั้นสูง หรือต่ำกว่าเบี้ยประกันพื้นฐานขั้นต่ำในการคำนวณเบี้ยประกันภัย
ตัวอย่างเบี้ยประกันพื้นฐานของประเภทรถยนต์ (A Segment Car) หรือรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รหัสรถยนต์ 110 และ 120 จะมีเบี้ยประกันพื้นฐานสำหรับกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 แบ่งเป็น เบี้ยประกันภัยพื้นฐานขั้นสูง 12,000 บาท และเบี้ยประกันภัยพื้นฐานขั้นต่ำ 7,600 บาท
2. เบี้ยประกันภัยเพิ่มความคุ้มครอง หรือเบี้ยประกันที่เพิ่มจำนวนเงินความรับผิดต่อบุคคลภายนอกที่เกินกว่าจำนวนเงินจำกัดความรับผิดพื้นฐาน ทั้งความรับผิดต่อความบาดเจ็บหรือมรณะของบุคคลภายนอก
หรือความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
3. เบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันภัยเพิ่ม หรือเบี้ยประกันเพิ่มตามความคุ้มครองที่ระบุไว้ในเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ประกอบด้วย การประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล การประกันภัยค่ารักษาพยาบาล การประกันตัวผู้ขับขี่ คุ้มครองน้ำท่วม หรือคุ้มครองภัยธรรมชาติ
4. เบี้ยประกันเพิ่มตามความเสี่ยง หรือตัวแปรที่ใช้ในการคำนวณเบี้ยประกันภัย คิดจากความเสี่ยงภัย
แต่ละชนิด เพื่อให้เบี้ยประกันเหมาะสมกับความเสี่ยงภัยของประเภทรถยนต์นั้น ๆ (Car Segment) ประกอบด้วยปัจจัยดังนี้
- ลักษณะการใช้รถยนต์
- ขนาดรถยนต์
- อายุผู้ขับขี่
- กลุ่มรถยนต์
- อายุรถยนต์
- จำนวนเงินเอาประกันภัย
- อุปกรณ์เพิ่มพิเศษ
ทั้งนี้ อัตราเบี้ยประกันภัยรายปีของรถในแต่ละประเภทรถยนต์ (Car Segment) ต้องไม่เกินร้อยละ 2.5 ของจำนวนเงินเอาประกันภัยในแต่ละ Segment รถ
ประเภทรถยนต์ รถ B Segment คือรถแบบไหน?
ประเภทรถยนต์ B Segment Car หรือประเภทรถยนต์ชนิดที่ 2 ตามหลักเกณฑ์การจัดประเภทรถยนต์ (Car Classification) ของคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) คือ รถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์ใหญ่กว่าขนาดเครื่องยนต์ของรถ A Segment
รถ B Segment ต้องมีขนาดเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,000 c.c - 1,500 c.c มีพื้นที่ใช้สอยภายในรถสำหรับบรรจุสัมภาระ หรือบรรทุกผู้โดยสารเพิ่มขึ้น แต่ยังมีขนาดเล็กคล่องตัว เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมือง และราคาไม่สูงเหมือนกับภาพรวมการใช้งานของประเภทรถยนต์ A Segment Car อาจถูกเรียกตามประเภทย่อยของ Segment รถในชื่อ B-Segment Sedan, B-Segment Hatchback หรือ SUV B-Segment
แม้ว่าขนาดเครื่องยนต์ของรถ B Segment ตามหลักเกณฑ์ของคณะกรรมาธิการยุโรปจะมีขนาดใหญ่กว่าเครื่องยนต์ของรถอีโค่คาร์ (Eco Car) โดยทั่วไป แต่หากพิจารณาตามหลักเกณฑ์การจัดประเภทรถยนต์ของประเทศไทยที่เน้นพิจารณาตามขนาดของตัวรถ อัตราการสิ้นเปลืองพลังงานเชื้อเพลิง และการปล่อยมลพิษจะนับรวมรถอีโค่คาร์อยู่ในกลุ่มรถ B Segment ด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างรถในกลุ่มประเภทรถยนต์ B Segment หรือ Segment รถประเภท B ที่มียอดขายสูงสุดในทวีปยุโรป 10 อันดับแรก ได้แก่ Renault Clio, Peugeot 208, Opel/Vauxhall Corsa, Toyota Yaris, Volkswagen Polo, Dacia Sandero, Ford Fiesta, Citroen C3, Mini Mini Hatch, Renault Zoe
ตัวอย่างประเภทรถยนต์รถ B Segment ที่จำหน่ายในประเทศไทย หรืออยู่ในระหว่างเตรียมเปิดให้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้ ตัวอย่างเช่น Suzuki Swift, Toyota Vios, Toyota Yaris Ativ, Honda City, Nissan Almera โดยราคาเริ่มต้นของรถ B Segment คือ 494,000 - 624,000 บาท และราคาสูงสุดของรถ B Segment ณ ขณะนี้ คือ 3,700,000 บาท
รถ B Segment ยอดนิยมในไทยมีรุ่น/ยี่ห้ออะไรบ้าง?
ยี่ห้อรถยนต์ B Segment Car ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศไทย ได้แก่ Honda, Toyota, Mazda, Nissan, Suzuki, Audi, BMW, MG, Mini ครอบคลุมทั้งในกลุ่มประเภทรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเครื่อง หรือรถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้า โดยตัวอย่างรถ B Segment ยอดนิยมที่มีจัดจำหน่ายอยู่ในไทยและอยู่ในระหว่างเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทยเร็วๆ นี้ มีดังต่อไปนี้
- Honda Brio
- Honda Mobilio
- Honda City
- Honda City Hatchback
- Honda HR-V
- Honda Jazz
- Toyota Vios
- Toyota Yaris
- Toyota Yaris-Ativ
- Toyota Avanza
- Toyota C-HR
- Toyota Sienta
- Mazda 2
- Mazda CX-3
- Nissan Almera
- Nissan Kicks e-POWER
- Nissan Note
- Suzuki Swift
- Audi A1 Sportback
- Audi Q2
- BMW I3S
- Kia Soul EV
- MG 3
- MG ZS-EV
- MG VS HEV
- Mini 3-Door Hatch
- Mono 5-Door Hatch
- Mini Clubman
- Mini Convertible
- Mini Cooper-SE
- Mitsubishi Attrage
- Ssangyong Tivoli
- Subaru XV
- Volvo XC 40
- Peugeot 2008
- Hozon Neta V
- Hyundai Creta
- Chery Tiggo 7
- BYD Atto 3
เลือกซื้อรถ B Segment รุ่นไหนดี? รุ่นไหนขายดีที่สุด?
รถ B Segment ปัจจุบันในท้องตลาดมีให้เลือกหลากหลายรุ่น เนื่องจากเป็นประเภทรถยนต์ที่ได้รับความนิยมสูงในประเทศไทย เนื่องจากมีความคล่องตัวสูง เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมือง ราคาจับต้องได้ใกล้เคียง กับ A Segment Car แบ่งออกเป็นรถ B-Segment Hatchback และรถ B-Segment Sedan
รถในกลุ่มประเภทรถยนต์ B Segment Hatchback หรือรถ Hatchback คือ รถขนาดเล็กที่มีลักษณะโดยรวมคล้ายรถซีดานแต่จะมีช่วงท้าย (กระจกบังลมและฝากระโปรงหลัง) ที่มีลักษณะสั้นและตัดตรง ไม่ลาดเอียงเหมือนในรถซีดานทั่วไป และมีหน้าต่างและบานพับสำหรับเปิดปิดบริเวณฝากระโปรงหลัง ทำให้มักถูกเรียกว่ารถ 3 ประตู หรือ 5 ประตู โดยนับจากประตูฝั่งซ้าย/ขวา และฝากระโปรงหลังอีก 1 ประตูนั่นเอง มียอดขายรถ Eco Car/B-Segment Hatchback (เรียงตามลำดับ) ในช่วงที่ผ่านมาดังนี้
- Honda City Hatchback
- Toyota Yaris Hatchback
- Suzuki Swift
- Suzuki Celerio
- Mazda 2 Hatchback
- Mitsubishi Mirage
- Nissan March
- Nissan Note
- MG 3
- Honda Jazz
รถ B Segment Sedan หรือรถ Sedan คือ ประเภทรถยนต์นั่งส่วนบุคคล หรือรู้จักในชื่อทั่วไปว่ารถเก๋ง 4 ประตู สำหรับรถยนต์ประเภท Sedan (ซีดาน) จะมีที่นั่งผู้โดยสารและคนขับ 4 ที่นั่งหรือมากกว่า มีหลังคารถเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของรถโดยที่ไม่สามารถถอดออกหรือเปิดประทุนได้ มีการติดตั้งเครื่องยนต์ของรถไว้บริเวณกระโปรงรถด้านหน้า และมีพื้นที่เก็บของอยู่บริเวณด้านหลังรถ มียอดขายรถ Eco Car/B-Segment Sedan (เรียงตามลำดับ) ในช่วงที่ผ่านมาดังนี้่
- Toyota Yaris Ativ
- Honda City Sedan
- Mazda 2 Sedan
- MG 5
- Nissan Almera
- Mitsubishi Attrage
- Suzuki Ciaz
- Toyota Vios
รถ B Segment มีเบี้ยประกันรถแตกต่างจาก Segment รถอื่นๆ อย่างไร?
การคำนวณเบี้ยประกันรถยนต์ภาคสมัครใจสำหรับประเภทรถยนต์ (Car Segment) ที่แตกต่างกัน จะต้องทราบรหัสรถยนต์ที่ระบุในตารางกรมธรรม์ก่อน จึงจะสามารถคำนวณเบี้ยประกันรถยนต์ได้อย่างถูกต้อง โดยรหัสรถยนต์ของรถ B Segment คือ 110 (การใช้ส่วนบุคคล) และ 120 (การใช้เพื่อการพาณิชย์) ตามลักษณะการใช้งานรถยนต์ และประเภทรถยนต์ (Car Segment) แบบรถยนต์นั่งที่มีขนาดเครื่องยนต์ใช้งานอยู่ในช่วง 2,000 ซี.ซี.
เมื่อทราบเลขรหัสประเภทรถยนต์ B Segment ตามที่ระบุในตารางกรมธรรม์แล้ว ต้องนำอัตราเบี้ยประกันภัยทั้ง 4 ประเภท มาคำนวณอัตราเบี้ยประกันของระยะเวลาการเอาประกันภัยเต็มปี ประกอบด้วยเบี้ยประกันภัยพื้นฐาน เบี้ยประกันเพิ่มความคุ้มครอง เบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันภัยเพิ่ม และเบี้ยประกันเพิ่มตามความเสี่ยง
เบี้ยประกันภัยพื้นฐาน หรือเบี้ยสำหรับจำนวนเงินความรับผิดพื้นฐานของ Segment รถ ทั้ง 8 ประเภทรถยนต์ (Car Segment) เพื่อกำหนดให้บริษัทประกันภัยใช้เบี้ยประกันภัยพื้นฐานในระดับที่ไม่ต่ำ หรือสูงกว่าเบี้ยประกันภัยพื้นฐานขั้นต่ำและขั้นสูงตามที่กำหนด โดยแบ่งคำนวณเบี้ยประกันภัยพื้นฐานตามประเภทกรมธรรม์ประกันชั้น 1 ชั้น 2 และชั้น 3 ตามลำดับ และใช้เป็นฐานในการคำนวณเบี้ยประกันร่วมกับตัวแปรอื่นๆ ต่อไป
เบี้ยประกันเพิ่มความุค้มครอง หรือเบี้ยประกันที่เพิ่มจำนวนเงินความรับผิดต่อบุคคลภายนอกที่เกินกว่าจำนวนเงินจำกัดความรับผิดชอบพื้นฐาน ครอบคลุมทั้งความรับผิดต่อความบาดเจ็บหรือการเสียชีวิตของบุคคลภายนอก และความรับผิดต่อความเสียหายในทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
เบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันภัยเพิ่ม หรือเบี้ยประกันเพิ่มตามความคุ้มครองเพิ่มเติมที่ระบุไว้ในสัญญาแนบท้ายของกรมธรรม์ประกันรถยนต์ ตัวอย่างเช่น ความคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล ความคุ้มครองประกันตัวผู้ขับขี่ ความคุ้มครองภัยน้ำท่วม หรืความคุ้มครองภัยธรรมชาติ
เบี้ยประกันเพิ่มตามความเสี่ยง หรือตัวแปรในการคำนวณเบี้ยประกันภัย โดยคำนวณตามภัยความเสี่ยงและความเสี่ยงของ Segment รถในแต่ละประเภท ประกอบด้วยลักษณะการใช้รถ ขนาดรถ อายุผู้ขับขี่ กลุ่มรถ
อายุรถ เงินเอาประกันภัย และอุปกรณ์เพิ่มพิเศษ
ทั้งนี้ เบี้ยประกันรถแบบรายปีของแต่ละประเภทรถยนต์ (Car Segment) ทั้งรถ B Segment และ Segment รถอื่นๆ ต้องไม่เกินร้อยละ 2.5 ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
รถ C Segment คืออะไร? แตกต่างจากรถทั่วไปอย่างไร?
รถ C Segment คือประเภทรถยนต์ชนิดหนึ่ง มีเครื่องยนต์ 1,500 ซีซี - 2,200 ซีซี เนื่องจากมีขนาดไม่ใหญ่ไปไม่เล็กไป ขับไปได้ทุกที่ มีขนาดความยาวของรถประมาณ 4.4 - 4.75 เมตร รถยนต์ประเภทนี้เหมาะกับครอบครัว 3 - 4 คน ปัจจุบันได้รับความนิยมสูงในไทย เพราะนอกจากเหมาะกับการใช้งานในกลุ่มผู้ขับที่มีครอบครัวแล้ว ราคายังอยู่ในราคาหลักล้านต้น ๆ เช่น Toyota Corolla Altis, Honda Civic และ Mazda
ประเภทรถยนต์ C Segment เหมาะกับใคร?
- ผู้ที่มีจำนวนสมาชิกครอบครัวไม่เกิน 5 คน หรือผู้ที่ต้องการรถยนต์ขนาดกลาง ๆ ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป
- เหมาะทั้งการใช้งานในเมืองและออกต่างจังหวัด
- ราคาจับต้องได้ เพียงแค่ล้านต้น ๆ และราคาถูกมากกว่านั้นในรถยนต์มือสอง
- เนื่องจาก C Segment รถได้รับความนิยมสูง ทำให้มีหลากหลายแบรนด์ หลากหลายรุ่น และหลากหลายราคาให้เลือก
- ชื่นชอบและต้องการรถยนต์ที่มีความสปอร์ต หรูหรา
เลือกซื้อรถ C Segment มือสองอย่างไร?
แม้รถประเภทรถยนต์ C Segment รถจะมีราคาที่สามารถจับต้องได้ด้วยราคาล้านต้น ๆ แต่ไม่ใช่กับทุกคนที่มีกำลังซื้อพร้อมจ่าย ดังนั้นการซื้อรถยนต์มือสองพร้อมด้วยประกันรถยนต์มือสองจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ นอกจากจะใช้เงินก้อนน้อยกว่า การกู้ยืมสินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์ก็ใช้วงเงินการกู้ที่น้อยกว่าด้วย
เบื้องต้นรถในกลุ่มประเภทรถยนต์ C Segment หากมีอายุของรถประมาณ 5-10 ปี ราคาจะอยู่ที่เริ่มต้นที่ 100,000 - 400,000 บาท ในกรณีที่เป็นรถเก่ามีอายุการใช้งาน หรือเป็นรุ่นรุ่น ปี 2000 ต้นๆ อาจได้ราคาเพียงหลักหมื่นเท่านั้น! แต่ถ้าหากเป็นรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานไม่เกิน 5 ปี ราคาจะเริ่มต้นที่ 400,000 - 700,000 บาท
นอกจากนี้ รถ C Segment คือ รถที่คนไทยนิยม โดยเฉพาะรถ 4 ประตู และ 5 ประตู เช่น Toyota Corolla Altis, Honda Civic, MG6 หรือ Mazda 3 เป็นต้น
ประกันรถ C Segment คืออะไร ?
ประกันรถ C Segment คือประกันรถยนต์แบบพิเศษตามประเภทรถยนต์ เน้นให้ความคุ้มครองรถยนต์ประเภท C Segment เป็นหลัก ดังนั้น ประกันรถยนต์ C Segment นอกจากความคุ้มครองทั่วไปที่รถยนต์พึงมีแล้ว จะมีการเพิ่มเติมความคุ้มครองเฉพาะทางมากขึ้น และออกแบบมาเพื่อรถยนต์นำเข้าต่าง ๆ ซึ่งจุดเด่นที่น่าสนใจและน่าซื้อมีดังนี้
- เบี้ยประกันและโปรโมชั่นที่เหมาะสมกับรถ C Segment ได้รับความคุ้มครองเพิ่มเติม นอกเหนือจากความคุ้มครองหลัก เช่น บางบริษัทประกันภัย ให้ความคุ้มครองรถสูญหาย หรือถูกโจรกรรม ในวงเงินที่สูงและครอบคลุมมากกว่า
- ได้ประกันรถยนต์ที่เหมาะกับขนาดเครื่องยนต์
บริการซ่อมแซมจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่น ศูนย์ซ่อมรถเฉพาะทาง สำหรับรถ c segment มั่นใจได้ถึงการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ อะไหล่ที่ได้คุณภาพ และมาตราฐาน เป็นต้น
โดยการเลือกทำประกันรถ C Segment นั้น ไม่เฉพาะเจาะจงเพียงรถยนต์มือหนึ่งเท่านั้น หากเป็นรถยนต์มือสองก็สามารถซื้อและทำประกันรถ C Segment ได้เช่นกัน แต่ประเภทประกันอาจจะลดลงมาตามสภาพรถยนต์และประเภทรถยนต์
เช่น C Segment รถมือหนึ่ง หรือ C Segment รถมือสองที่มีอายุใช้งานไม่เกิน 5 ปี แบบนี้จะสามารถทำประกันรถชั้น 1 ได้ แต่ถ้าเป็น C Segment รถมือหนึ่งที่มีอายุการใช้งานเกิน 10 ปี หรือ รถ C Segmen มือสอง ที่ใช้งานมานาน อาจได้เป็นประกันชั้น 2 แทน เป็นต้น
รถยนต์ D Segment คืออะไร เป็นประเภทรถยนต์แบบไหน?
D segment คือ ประเภทรถยนต์ 4 ที่นั่ง ที่มีขนาดใหญ่นั่งสบายไม่แออัด เพราะขนาดตัวรถยาวตั้งแต่ 4,500 มม. ขึ้นไป มาพร้อมความหรูหรา ทันสมัยแบบจัดเต็มด้วยฟังก์ชันและเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่จะสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน อีกทั้งยังมีสมรรถนะการขับขี่อันยอดเยี่ยมด้วยขนาดตัวเครื่อง 2,000 ซีซี ขึ้นไป ทำให้ใช้งานได้แทบทุกสภาพท้องที่ ขับในเมืองก็ได้ ขับต่างจังหวัดก็ดี ทั้งนี้รถ D Segment จะมีความเหนือชั้นที่กว่ารถยนต์ A - C Segment รวมถึงมีราคาแพงกว่า เช่น Toyota Camry, Nissan Teana, Honda Accord, Toyota Prius เป็นต้น
ประเภทรถยนต์ D Segment มีราคาเท่าไหร่?
ก่อนอื่นต้องอธิบายก่อนว่าการแบ่ง Car Segment รถยนต์นั้น เป็นการแบ่งกลุ่มเพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาดของค่ายรถยนต์ ซึ่งจะใช้กฎเกณฑ์ในการแบ่งจากขนาดเครื่องยนต์ สมรรถนะการขับขี่ ขนาดห้องโดยสาร และราคาของรถยนต์ ซึ่งประเภทรถยนต์ D Segment นั้นจะผลิตออกมาเพื่อเจาะกลุ่มผู้ใช้งานที่มีฐานะทางการเงินดี ดังนั้นราคาจึงอยู่ที่ 1,500,000 - 2,000,000 บาท โดยขึ้นกับรุ่นย่อยและ Option พิเศษอื่น ๆ ที่ติดมากับรถยนต์ ยิ่งรถรุ่นไหนมีเทคโนโลยีมากขึ้นเท่าไหร่ก็อาจมีราคาแพงขึ้นเพิ่มไปอีก
รถยนต์ D Segment เหมาะกับใคร?
รถยนต์ D Segment นั้นมีราคาแพงกว่าประเภทรถยนต์ทั่วไป แต่ก็แลกมาด้วยความสะดวกสบายที่มากกว่า อีกทั้งยังมีการออกแบบในสไตล์เรียบหรูสามารถเป็นภาพลักษณ์หรือเป็นตัวช่วยส่งเสริมบารมีกับเจ้าของรถได้ ดังนั้นผู้ที่เหมาะกับรถยนต์ประเภท D Segment คือผู้ที่มีรายได้สูง เช่น พนักงานระดับผู้บริหาร พนักงานระดับอาวุโส เจ้าของร้านค้าธุรกิจชั้นนำ นายแพทย์ อัยการ ผู้พิพากษา ทูต ข้าราชการการเมือง เป็นต้น
จุดเด่นของประเภทรถยนต์ D Segment นอกจากจะมีสมรรถการขับขี่ที่เยี่ยมแล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือการดีไซน์ที่ดูหรูเหมาะสมกับเป็นรถประจำตำแหน่งของผู้บริหาร ลองคิดภาพว่าหากคุณมีนัดกับลูกค้าแล้วขับรถยนต์ Honda Accord ไปพบ ย่อมดูดีสมฐานะกว่าขับ Hoanda Jazz หลายเท่า ซึ่งเราจะอธิบายเหตุผลเพิ่มเติมว่าทำไมผู้บริหารต่าง ๆ ถึงเหมาะกับการใช้รถยนต์ D Segment
- มีรูปลักษณ์ที่ดูดี สามารถสร้าง First Impression ดีที่ ดูน่าเชื่อถือ ให้กับคู่ค้าธุรกิจได้
- ประเภทรถยนต์ D Segment มีการตกแต่งภายในที่สะดวกสบาย มีความเรียบหรู เหมาะกับการนำไปใช้บริการแขก VIP ของบริษัท
- เหมาะเป็นภาพลักษณ์และความภาคภูมิใจของตัวผู้บริหาร และคนในองค์กร
- มีเทคโนโลยีความปลอดภัยสูง ซึ่งจะช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงยังช่วยเซฟตัวคุณและผู้โดยสารบนรถได้ดียิ่งขึ้นหากเกิดอุบัติเหตุ
- มีฟังก์ชันอันสะดวกสบาย เหมาะกับการเดินทางที่ผ่อนคลายในเวลาก่อนหรือหลังเลิกงาน
ซื้อรถยนต์ D Segment รุ่นไหนดี?
เนื่องจากทุกวันนี้ตัวเลือกรถยนต์ D Segment มีน้อยลง เพราะการมาของรถยนต์ Crossover รุ่นใหม่ ๆ ทำให้คนยุคปัจจุบันนิยมไปใช้งานมากกว่า หรือถ้าใครมีฐานะทางการเงินดีก็อาจเพิ่มเงินข้ามไปใช้งานรถยนต์หรูสไตล์สปอร์ตทางแบรนด์ยุโรปไปเลย อีกทั้งค่าย Nissan ยังออกมาประกาศว่าจะไม่ทำตลาดรถ Nissan Teana แล้วในบ้านเรา รวมถึง Toyota ที่จะไม่ผลักดัน Toyota Prius ต่อไป ผู้ที่ต้องการซื้อประเภทรถยนต์ D Segment จึงเหลือเพียง 2 ตัวเลือกเท่านั้นคือ Toyota Camry ราคาเริ่มต้นที่ 1,455,000 บาทหรือ Honda Accord ราคาเริ่มต้น 1,475,000 บาท
เลือกซื้อประกันรถยนต์สำหรับรถในทุกประเภทรถยนต์ได้ครบจากทุกบริษัทประกันชั้นนำที่ แรบบิท แคร์ รับส่วนลดสูงสุด 70% พร้อมสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ขับขี่ทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง บริการรถใช้ระหว่างซ่อม บริการแจ้งเคลมออนไลน์ และบริการเพื่อนักขับอื่น ๆ อีกมากมาย โทรเลย 1438
เลือกซื้อประกันรถตามประเภทของรถยนต์ (Segment)
ประกันรถยนต์แต่ละประเภท