รถยนต์ตามแบรนด์
รถยนต์ไฟฟ้ามาแรง
รถยนต์ราคาต่ำกว่าล้านบาท
น่ารู้เกี่ยวกับรถยนต์
เรื่องรถยนต์
รอบรู้เรื่องประกัน
ความคุ้มครองประกันภัยรถยนต์
คำถามและข้อสงสัยที่พบบ่อย
หาซื้อประกันรถยนต์ตามยี่ห้อของรถ แบบไหนดีที่สุด?
ปัจจัยในการเปรียบเทียบและเลือกประกันรถยนต์ ของรถยนต์แต่ละยี่ห้อนั้นไม่มีความแตกต่าง เบื้องต้นคุณต้องพิจารณาความต้องการ และพฤติกรรมการขับขี่ของตัวคุณเองเสียก่อน แล้วเลือกประกันให้เหมาะสมกับตัวผู้ขับขี่ และประกันรถยนต์แต่ละชั้นก็มีข้อดีที่แตกต่างกันไปดังนี้
- ประกันรถยนต์ชั้น 1 มีข้อดีที่ให้ความคุ้มครองรอบด้าน โดยเฉพาะการเคลมความเสียหายแบบไม่มีคู่กรณี แต่ก็แลกมาด้วยราคาเบี้ยประกันที่แพงกว่าชั้นอื่น เหมาะกับนักขับมือใหม่ รถใหม่ป้ายแดง และรถหรูราคาแพง
- ประกันรถยนต์ชั้น 2 มีข้อดีที่ให้ความคุ้มครองเกือบเท่าประกันชั้น 1 ในราคาเบี้ยประกันที่ไม่แพงมากนัก อีกทั้งคุณยังสามารถเพิ่มเงินเป็นประกันรถยนต์ชั้น 2+ เพื่อเพิ่มความคุ้มครองค่าซ่อมรถคุณได้เช่นกัน ประกันชั้นนี้เหมาะกับนักขับผู้มีประสบการณ์และอยากประหยัดค่าเบี้ยประกัน
- ประกันรถยนต์ชั้น 3 มีข้อดีคือประหยัดที่สุดแต่ก็คุ้มครองน้อยสุด คุณสามารถเพิ่มเงินเป็นประกันรถยนต์ชั้น 3+ เพื่อเพิ่มความคุ้มครองค่าซ่อมรถคุณได้เช่นกัน ประกันชั้นนี้เหมาะกับรถเก่า หรือรถที่ไม่ค่อยใช้งาน
เบี้ยประกันรถยนต์แต่ละยี่ห้อ ลดได้อย่างไร?
การลดเบี้ยประกันรถยนต์ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของรถยนต์ของท่าน และแม้ว่าราคาค่าเบี้ยจะขึ้นอยู่กับความคุ้มครองของประกันแต่ละชั้น แต่คุณยังมีช่องทางที่จะช่วยลดค่าเบี้ยประกันได้มากขึ้นกว่าเดิม ดังนี้
- เลือกแผนประกันที่ซ่อมอู่แทนซ่อมศูนย์ เนื่องจากซ่อมศูนย์มีค่าซ่อมและค่าบริการแพงกว่า
- ติดตั้งกล้องหน้ารถยนต์ ซึ่งทาง คปภ. ได้กำหนดไว้ว่ารถคันไหนมีกล้องหน้าจะได้ส่วนลดเบี้ย 5-10 % เลยทีเดียว
- ระบุชื่อและอายุของผู้ขับขี่ ซึ่งจะลดค่าเบี้ยได้มากถึง 5-20 %
- เลือกประกันที่ต้องจ่ายค่าความเสียหายส่วนแรก
- ถ้าคุณมีประวัติการขับขี่ดี ไม่มีเคลมในรอบปีที่ผ่านมา ทางบริษัทก็จะลดค่าเบี้ยประกันให้
- ลองหาโปรโมชั่นดีดีจากบริษัทประกันภัยชั้นนำ
รถยนต์ยี่ห้อไหนที่ประกันรถยนต์ไม่ให้ความคุ้มครอง?
ไม่ว่าคุณจะมีรถยนต์ยี่ห้ออะไร รุ่นอะไร อายุการใช้งานเท่าไหร่ก็สามารถซื้อประกันรถยนต์ได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะประกันรถยนต์แบบระบุรุ่น หรือไม่ระบุรุ่น
หลังจากที่ได้ทำประกันรถยนต์ไปแล้ว ไม่ว่าจะเลือกทำประกันชั้นไหน ๆ ก็ยังมีข้อยกเว้นบางกรณีที่ประกันรถยนต์ไม่ให้ความคุ้มครอง นั่นหมายความว่าคุณจะถูกปฏิเสธการเคลมจากบริษัทประกันภัย และไม่ได้รับเงินชดเชยใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งมีกรณีดังนี้
- ใช้รถยนต์คันนั้นกระทำผิดกฎหมาย อย่างเช่น ใช้รถในการขนส่งสิ่งของที่ผิดกฎหมาย ยาเสพติด หรือใช้รถเป็นพาหนะในการปล้น เป็นต้น
- หากใช้รถยนต์นอกราชอาณาจักรไทยแล้วเกิดอุบัติเหตุ จะถูกยกเว้นความคุ้มครองจากบริษัทประกัน
- ใช้รถแข่งขันทำความเร็ว
- นำรถไปลากจูงรถคันอื่นจนเกิดความเสียหาย
- ผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 %
- รถยนต์เสียหายจากภาวะสงคราม
- ใช้งานรถยนต์ผิดประเภท เช่น นำรถส่วนบุคคลไปขับในเชิงพาณิชย์
ซื้อรถยนต์คันแรกต้องทำอย่างไรบ้าง?
การซื้อรถยนต์เป็นการตัดสินใจที่สำคัญและต้องใช้เงินลงทุนสูง ดังนั้นควรทราบข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับรถยนต์ก่อนที่คุณจะตัดสินใจซื้อ นี่คือบางเรื่องที่คุณควรรู้:
- ความต้องการของคุณ: กำหนดให้ชัดเจนว่าคุณต้องการรถยนต์ประเภทใด เช่น รถเก๋ง รถอเนกประสงค์ หรือรถกระบะ คุณต้องการรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่หรือเล็ก และกำหนดงบประมาณที่คุณสามารถจับต้องได้
- เข้าใจพฤติกรรมการใช้งานของตัวเอง: พิจารณาว่าคุณต้องการรถยนต์สำหรับใช้ในการเดินทางทางไกลหรือในเมือง คุณจำเป็นต้องการรถยนต์ที่ประหยัดน้ำมันหรือรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการเร่งเครื่องสูง
- การศึกษาและดูรีวิว: ค้นคว้าและศึกษาเกี่ยวกับรถยนต์รุ่นที่คุณสนใจ อ่านรีวิวจากผู้ใช้และผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัย คุณภาพ และประสิทธิภาพของรถยนต์
- การทดลองขับ: หากเป็นไปได้ ต้องไปลองจับและเห็นรถยนต์จริงๆ แล้วทดลองขับรถยนต์ที่คุณสนใจเพื่อทดสอบประสบการณ์ขับขี่ ความสบาย และความสนุกสนานกับรถยนต์รุ่นที่คุณสนใจ
- การเปรียบเทียบราคา: เปรียบเทียบราคาของรถยนต์ในตลาด เปรียบเทียบความคุ้มค่าของราคากับคุณสมบัติและคุณภาพของรถยนต์
- การบริการหลังการขาย: ตรวจสอบบริการหลังการขายที่รับประกันจากผู้ผลิต รวมถึงการบำรุงรักษาและการซ่อมบำรุงรถยนต์ในอนาคต
- การตรวจสอบเอกสาร: ก่อนที่จะซื้อรถยนต์ ตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น เอกสารการถือครองประกันรถยนต์ และการจดทะเบียนรถยนต์
การซื้อรถยนต์เป็นกระบวนการที่สำคัญ ควรใช้เวลาในการศึกษาและคิดให้รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจ โดยใช้ข้อมูลที่รอบคอบและข้อมูลที่อัพเดตล่าสุด เพื่อให้คุณสามารถเลือกรถยนต์ที่ตรงกับความต้องการและความสะดวกสบายของคุณได้อย่างมั่นใจ
รถยนต์มีกี่ประเภท?
รถยนต์มีหลายประเภทตามการใช้งานและลักษณะต่างๆ ดังนี้:
- รถเก๋ง Sedan: เป็นรถยนต์ที่มีลักษณะกะทัดรัด มีที่นั่งสำหรับผู้โดยสาร และพื้นที่ห้องโดยสารแยกออกจากที่สำหรับบรรทุกสิ่งของ
- รถ Hatchback: เป็นรถยนต์ที่มีลักษณะคล้ายกับเก๋ง แต่มีตัวถังท้ายเปิดขึ้นมา เพื่อให้สะดวกในการโหลดและยกของ
- รถกระบะ: เป็นรถยนต์ที่มีพื้นที่โดยสารด้านหน้าและพื้นที่หลังที่เปิดโล่ง เหมาะสำหรับการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้าหรือการใช้งานที่ต้องใช้พื้นที่
- รถ SUV: เป็นรถยนต์ที่มีส่วนสูงและขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับการขับขี่ในเส้นทางที่ยากลำบากหรือสภาพถนนที่ไม่เสถียร
- รถตู้ Minivan: เป็นรถยนต์ที่มีพื้นที่โดยสารขนาดใหญ่ มีที่นั่งสำหรับผู้โดยสารมากพอที่จะรองรับครอบครัวหรือกลุ่มผู้โดยสารมาก
- รถพลังงานไฟฟ้า: เป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานจากการชาร์จแบตเตอรี่ มีการใช้งานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- รถสปอร์ต: เป็นรถยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อให้ความสนุกและความเร็ว มีลักษณะดีไซน์ที่เรียบหรูและพลังงานที่สูง
- รถคอมแพ็ค: เป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่มีการออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัดและประหยัดน้ำมัน
นอกจากนี้ยังมีประเภทอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งมีการผสมผสานและการออกแบบที่หลากหลาย เช่น รถครอสโอเวอร์ (Crossover), รถสปอร์ตครอสโอเวอร์ (Sport Crossover), และอื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติและความสามารถที่แตกต่างกันไป
รถยนต์รุ่นไหนเหมาะกับขับขี่ในเมือง และรถยนต์รุ่นไหนเหมาะเดินทางทางไกล?
ตัวอย่างรถยนต์ที่เหมาะสำหรับการใช้งานในเมืองคือรถยนต์รุ่นที่มีขนาดกะทัดรัดและความคล่องตัว เพื่อความสะดวกในการจอดและเคลื่อนที่ในที่แคบ นี่คือตัวอย่างรถยนต์ที่เหมาะสำหรับใช้ในเมือง:
- Toyota Yaris: เป็นรถยนต์ Hatchback ที่มีความคล่องตัว ใช้พื้นที่จอดได้ง่าย และมีความประหยัดน้ำมัน
- Honda Jazz: เป็นรถยนต์ Hatchback ที่มีพื้นที่ในรถที่หลากหลายและมีระบบนำทางที่คล่องตัว
- Mazda 2: เป็นรถยนต์ Hatchback ยอดนิยมที่มีความสะดวกสบายในการขับขี่และมีรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวสูง
- Ford Fiesta: เป็นรถยนต์ Hatchback ที่มีการออกแบบสปอร์ตและความสนุกสนานในการขับขี่
ส่วนตัวอย่างรถยนต์ที่เหมาะสำหรับการเดินทางทางไกลมีความสบายและมีความพร้อมที่จะเจริญรุ่งเรืองในเส้นทางทางไกล นี่คือตัวอย่างรถยนต์ที่เหมาะสำหรับใช้ในการเดินทางทางไกล:
- Toyota Camry: เป็นรถยนต์ขนาดกลางที่มีความสะดวกสบายและความพร้อมในการเดินทางทางไกล พร้อมกับระบบเครื่องยนต์ที่ประหยัดเชื้อเพลิง
- Honda Accord: เป็นรถยนต์ซีดานกลุ่มดีเซกเมนท์ ตระกูลเดียวกับ Camry ที่มีความสะดวกสบายและมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย
- BMW 5 Series: เป็นรถยนต์ขนาดกลาง ที่เป็นรถไฟฟ้า100% มาครบทั้งเครื่องยนต์เบนซิน / ดีเซล / Plug-in Hybrid เครื่องยนต์มีประสิทธิภาพสูงและระบบสมดุลในการขับขี่ทางไกล
- Mercedes-Benz E-Class: เป็นรถยนต์พรีเมียมซีดานขนาดกลาง ที่มีความหรูหราและสะดวกสบายในการเดินทางทางไกล
- Audi A6: เป็นรถยนต์พรีเมียมซีดานขนาดกลาง ที่มีการออกแบบสปอร์ตและสบายในการเดินทางทางไกล
อย่างไรก็ตามควรจำไว้ว่าการเลือกรถยนต์ขึ้นอยู่กับความต้องการและการใช้งานของแต่ละบุคคล ควรพิจารณาว่าคุณต้องการรถยนต์ที่มีคุณสมบัติแบบใด และความเหมาะสมกับงบประมาณของคุณ
การเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (EV)?
การเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นการตัดสินใจที่สำคัญและควรพิจารณาด้วยความรอบคอบ เพื่อให้ได้รถยนต์ที่ตรงกับความต้องการและสอดคล้องกับสไตล์การใช้งานของคุณ ดังนั้นนี่คือขั้นตอนในการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (EV):
- กำหนดงบประมาณ: กำหนดวงเงินที่คุณสามารถใช้ได้ในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงราคาซื้อและค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษารถยนต์ เช่น การชาร์จแบตเตอรี่และบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า (EV)
- ความพร้อมของสถานีชาร์จไฟฟ้า: ตรวจสอบความพร้อมที่เอื้อต่อรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ของคุณ เช่น สถานีชาร์จไฟฟ้าที่ใกล้เคียงและความสามารถในการชาร์จที่บ้านหรือที่ทำงานของคุณ
- ระยะเดินทาง: พิจารณาระยะเดินทางที่คุณจะใช้ในการขับขี่ในชีวิตประจำวัน และตรวจสอบความสามารถของแบตเตอรี่ในการดำเนินงานในระยะทางที่คุณต้องการ
- พื้นที่ใช้สอยบนรถยนต์: พิจารณาปริมาณผู้โดยสารและพื้นที่สำหรับบรรทุกที่คุณต้องการในรถยนต์ เลือกรถยนต์ที่มีขนาดและความจุเพียงพอตามความต้องการของคุณ
- คุณสมบัติเสริม: พิจารณาคุณสมบัติเสริมที่คุณต้องการในรถยนต์ เช่น ระบบเสียงที่ดี ระบบนำทาง และความปลอดภัยเพิ่มเติม เพื่อให้ได้รถยนต์ที่ตรงกับความต้องการของคุณ
- การรับประกันและการซ่อมบำรุงรักษา: ตรวจสอบเงื่อนไขของการรับประกันรถยนต์และบริการซ่อมบำรุงรักษาที่มีอยู่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และตรวจสอบที่บริการหรือศูนย์ซ่อมบำรุงใกล้บ้านของคุณ
- ทดลองขับ: ทดลองขับรถยนต์ไฟฟ้าที่คุณสนใจเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของรถ การขับขี่ และความสบายส่วนตัว
- ศึกษารีวิว: อ่านรีวิวและคำวิจารณ์จากผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่มีอยู่ เพื่อเข้าใจข้อดีและข้อเสียของรถยนต์ที่คุณสนใจ
- ค่าใช้จ่ายในระยะยาว: พิจารณาค่าใช้จ่ายในระยะยาว เช่น ค่าบำรุงรักษารถยนต์และค่าใช้จ่ายในการแทนที่แบตเตอรี่
การเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (EV) นั้นควรพิจารณาด้วยความรอบคอบ และการออกแบบสถานีชาร์จไฟฟ้า สำหรับแต่ละบุคคลอาจมีความต้องการและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป ดังนั้นควรทำการศึกษาข้อมูลอย่างเพียงพอก่อนที่จะตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า
ข้อดี ข้อเสีย ระหว่างรถยนต์เบนซิน และรถยนต์ไฟฟ้า?
รถยนต์เบนซิน (Gasoline/Diesel Car) ข้อดี:
- สถานีเติมเชื้อเพลิงมีจำนวนมากและสะดวก สามารถเข้าถึงได้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
- ในบางแบรนด์ราคาซื้อรถยนต์เบนซินจะถูกกว่ารถยนต์ไฟฟ้า
- สามารถเดินทางไกลได้หลายร้อยกิโลเมตรก่อนที่จะต้องเติมเชื้อเพลิงใหม่อีกครั้ง
- มีศูนย์บริการมากกว่ารถยนต์ไฟฟ้าในบางพื้นที่
รถยนต์เบนซิน (Gasoline/Diesel Car) ข้อเสีย:
- ค่าใช้จ่ายในการเติมเชื้อเพลิงในระยะยาว รวมกันแล้วอาจสูงกว่าการชาร์ทไฟฟ้า
- มีการปล่อยมลพิษที่อาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพอากาศ
- ค่าบำรุงรักษารถยนต์เบนซินอาจสูงกว่ารถยนต์ไฟฟ้า เช่น ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง
รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle - EV) ข้อดี:
- การประหยัดพลังงาน และมีการปล่อยส่งมลพิษที่น้อยกว่ารถยนต์เบนซิน
- ค่าใช้จ่ายในการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าน้อยกว่าค่าใช้จ่ายในการใช้งานรถยนต์เบนซิน
- เสียงที่น้อยกว่ารถยนต์เบนซิน ซึ่งทำให้การขับขี่เงียบสงบและสบายกว่า
- ความสะดวก เนื่องจากสามารถติดตั้งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าไว้ที่บ้าน และตามห้างสรรพสินค้าก็มีสถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะให้บริการ
รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle - EV) ข้อเสีย:
- ระยะเดินทางที่ค่อนข้างจำกัดตามขนาดของแบตเตอรี่
- ในบางแบรนด์ราคาซื้อรถยนต์ไฟฟ้าสูงกว่ารถยนต์เบนซิน
- สถานีชาร์จไฟฟ้าที่ไม่ครอบคลุมทั่วไป อาจทำให้การชาร์จเชื้อเพลิงอาจมีความล่าช้า
- ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้าสูง เนื่องจากจำเป็นต้องเข้าใช้บริการที่ศูนย์บริการที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น
ข้อดีและข้อเสียของรถยนต์ทั้งสองประเภทนี้อาจแตกต่างกันไปตามความต้องการและของแต่ละบุคคล คุณควรพิจารณาความต้องการของคุณและทำการวิเคราะห์เพื่อให้ได้รถยนต์ที่เหมาะสมกับคุณสมบัติที่คุณต้องการ
10 ยี่ห้อรถยนต์ในไทย ยอดนิยมมีอะไรบ้าง
1. โตโยต้า (Toyota)
โตโยต้า (Toyota) เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1937 โดย Kiichiro Toyoda บริษัทนี้เริ่มต้นจากการเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Toyoda Automatic Loom Works ที่ผลิตเครื่องทอผ้า ก่อนที่ Kiichiro จะหันมาผลิตรถยนต์เป็นหลักในภายหลัง โดยรถยนต์รุ่นแรกที่ผลิตขึ้นคือ Toyota AA นั่นเอง
ต่อมา โตโยต้าได้เริ่มขยายตลาดสู่ต่างประเทศ โดยเริ่มจากการส่งออกรถยนต์รุ่น Crown ไปยังสหรัฐอเมริกาและได้เปิดตัวรุ่น Corolla ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในรุ่นที่ขายดีที่สุดของโลกจนกระทั่งได้เป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลก โตโยต้ายังมีการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าและไฮโดรเจนเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความต้องการในตลาดรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
2. ฮอนด้า (Honda)
ฮอนด้า (Honda) เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ก่อตั้งขึ้นในปี 1948 โดย Soichiro Honda และ Takeo Fujisawa บริษัทนี้เริ่มต้นจากการผลิตรถจักรยานยนต์ก่อนที่จะขยายเข้าสู่การผลิตรถยนต์และเครื่องยนต์ โดยในปี 1949 Honda ได้เริ่มเปิดตัวรถจักรยานยนต์รุ่นแรกคือ Honda Dream D-type และ 10 ปีต่อมาก็ได้เริ่มขยายตลาดสู่สหรัฐอเมริกา
ต่อมา ฮอนด้าได้เริ่มเข้าสู่ตลาดรถยนต์ด้วยการเปิดตัวรถกระบะขนาดเล็ก T360 และรถสปอร์ต S500 ก่อนจะเปิดตัว Honda Civic ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ทั้งยังต่อยอดด้านเทคโนโลยีด้วยการเปิดตัว ASIMO หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่มีความสามารถในการเดินและปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ เรียกได้ว่า ฮอนด้ามีการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ เช่น เครื่องยนต์ไฮบริด, รถยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดในยุคปัจจุบัน
3. อีซูซุ (Isuzu)
อีซูซุ (Isuzu) เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์และรถบรรทุกสัญชาติญี่ปุ่น ก่อตั้งขึ้นในปี 1916 โดยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน โดยอีซูซุเริ่มต้นในปี 1916 จากความร่วมมือระหว่างบริษัท Tokyo Ishikawajima Shipbuilding and Engineering Co., Ltd. และ Tokyo Gas and Electric Industrial Co. โดยเริ่มผลิตรถยนต์รุ่นแรกที่ผลิตขึ้นภายใต้ชื่อ "Isuzu" ภายใต้ลิขสิทธิ์จากบริษัท Wolseley Motors Limited ของสหราชอาณาจักร
ต่อมา อีซูซุเปิดตัวรถยนต์รุ่น Hillman Minx ภายใต้ลิขสิทธิ์จาก Rootes Group ของสหราชอาณาจักรและเริ่มผลิตเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็ก C-series ซึ่งเป็นที่นิยมในตลาด รวมทั้งส่งออกรถบรรทุกและรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไปทำตลาดยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงในด้านการผลิตรถบรรทุกและเครื่องยนต์ดีเซลที่มีความทนทานและประหยัดพลังงาน บริษัทนี้ยังคงมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศ
4. มาสด้า (Mazda)
มาสด้า (Mazda) เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ก่อตั้งขึ้นในปี 1920 โดย Jujiro Matsuda โดยเริ่มต้นจากการเป็นโรงงานผลิตภัณฑ์จากจุกไม้ก๊อกก่อน ก่อนจะเริ่มผลิตเครื่องมืออุตสาหกรรมและเปลี่ยนมาทำธุรกิจด้านรถยนต์ โดยเปิดตัวรถสามล้อบรรทุกสินค้า Mazda-Go ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ยานยนต์ชิ้นแรกของบริษัท จากนั้นจึงเปิดตัวรถยนต์นั่งส่วนบุคคลรุ่นแรกคือ Mazda R360 รถยนต์ขนาดเล็กที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
มาสด้ายังคงเป็นที่รู้จักในด้านการพัฒนาและผลิตเครื่องยนต์โรตารีที่มีความเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้บริษัทยังมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและให้ความสำคัญกับการออกแบบที่โดดเด่น
5. มิตซูบิชิ (Mitsubishi)
มิตซูบิชิ (Mitsubishi) เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นก่อตั้งขึ้นในปี 1870 โดย Yataro Iwasaki เริ่มต้นจากการเป็นบริษัทขนส่งก่อนที่จะขยายเข้าสู่อุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงการผลิตรถยนต์ โดยเริ่มผลิตรถยนต์รุ่นแรกคือ Mitsubishi Model A ก่อนจะเปิดตัว Mitsubishi 500 ซึ่งเป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่ได้รับความนิยม
มิตซูบิชิเป็นที่รู้จักในด้านการผลิตรถยนต์ที่มีความทนทานและประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะในกลุ่มรถ SUV และรถยนต์ไฟฟ้า บริษัทนี้ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและตอบสนองต่อความต้องการของตลาดในยุคปัจจุบัน
6. ฟอร์ด (Ford)
ฟอร์ด (Ford) เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกัน ก่อตั้งขึ้นในปี 1903 โดย Henry Ford ฟอร์ดเป็นที่รู้จักในฐานะบริษัทที่นำเสนอการผลิตแบบสายการประกอบ (assembly line) ซึ่งทำให้การผลิตรถยนต์เป็นไปได้ในระดับมวลชนและเปลี่ยนอุตสาหกรรมยานยนต์ไปตลอดกาล
ฟอร์ดมีชื่อเสียงในด้านการผลิตรถยนต์ที่มีคุณภาพและนวัตกรรม บริษัทนี้ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ที่ขับขี่อัตโนมัติ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดในยุคปัจจุบัน
7. ซูซูกิ (Suzuki)
ซูซูกิ (Suzuki) เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ก่อตั้งขึ้นในปี 1909 โดย Michio Suzuki โดยเริ่มต้นจากการเป็นโรงงานผลิตเครื่องทอผ้าก่อนจะขยายเข้าสู่การผลิตยานยนต์ในภายหลัง ซูซูกิเริ่มการพัฒนารถยนต์ขนาดเล็ก แต่ต้องหยุดลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก่อนที่ต่อมาจะเปิดตัว
ซูซูกิมีชื่อเสียงในด้านการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่มีขนาดเล็กและประหยัดพลังงาน บริษัทนี้ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน
8. นิสสัน (Nissan)
นิสสัน (Nissan) เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีบทบาทสำคัญในตลาดรถยนต์ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย นิสสันเข้าสู่ตลาดไทยตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 และกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ที่ได้รับความนิยมในประเทศ โดยมี Nissan March ซึ่งเป็นรถยนต์คอมแพ็คที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย และ Nissan NP300 Navara ซึ่งเป็นรถกระบะที่ได้รับความนิยมในตลาดไทย
นิสสันยังคงมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น รถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน
9. เอ็มจี (MG)
เอ็มจี (MG) เป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษ โดยมีชื่อเต็มว่า Morris Garages ก่อตั้งขึ้นในปี 1924 และมีชื่อเสียงในด้านการผลิตรถสปอร์ตและรถยนต์คอมแพ็ค ในปัจจุบัน เอ็มจีเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม SAIC Motor Corporation จากประเทศจีน เอ็มจีเริ่มเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาและได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคในประเทศไทย
เอ็มจีในประเทศไทยยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาและนำเสนอรถยนต์ที่มีคุณภาพสูงและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ เอ็มจียังมีการบริการหลังการขายที่ดีและเครือข่ายผู้จำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ
10. บีวายดี (BYD)
BYD (Build Your Dreams) เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์และแบตเตอรี่สัญชาติจีน ก่อตั้งขึ้นในปี 1995 โดย Wang Chuanfu บริษัทนี้เริ่มต้นจากการผลิตแบตเตอรี่และขยายเข้าสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า รถบัสไฟฟ้า และเทคโนโลยีด้านพลังงานหมุนเวียน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา BYD ได้เริ่มเข้าสู่ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยและได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Dolphin และ EA1 ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กและคอมแพ็คที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานในเมือง
BYD ในประเทศไทยยังคงมุ่งมั่นในการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพสูงและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะขยายการผลิตและบริการในประเทศไทยเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียนในอนาคต