รถยนต์ตามแบรนด์
รถยนต์ไฟฟ้ามาแรง
ซื้อประกันรถกับแรบบิท แคร์
รถยนต์ราคาต่ำกว่าล้านบาท
น่ารู้เกี่ยวกับรถยนต์
รถยนต์ไฟฟ้า
มือใหม่ต้องรู้
ประกันรถยนต์แต่ละประเภท
ตารางความคุ้มครอง | ผลประโยชน์ | ||||
ประกันรถยนต์ ชั้น 1 | ประกันรถยนต์ ชั้น 2+ | ประกันรถยนต์ ชั้น 2 | ประกันรถยนต์ ชั้น 3+ | ประกันรถยนต์ ชั้น 3 | |
คู่กรณี | |||||
บุคคล | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ |
ทรัพย์สินของคู่กรณี | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ |
รถของผู้เอาประกันภัย | |||||
การชนแบบมีคู่กรณี | ✔️ | ✔️ | ❌ | ✔️ | ❌ |
การชนแบบไม่มีคู่กรณี | ✔️ | ❌ | ❌ | ❌ | ❌ |
ไฟไหม้ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ❌ | ❌ |
รถหาย | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ❌ | ❌ |
ภัยธรรมชาติ | ✔️ | ✔️ | ❌ | ✔️ | ❌ |
ช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง | ✔️ | ✔️ | ❌ | ❌ | ❌ |
ความคุ้มครองชีวิตจากอุบัติเหตุส่วนบุคคล | |||||
อุบัติเหตุส่วนบุคคล | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ |
การรักษาพยาบาล | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ |
การประกันตัวผู้ขับขี่ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ |
หมายเหตุ
- ความคุ้มครองจากภัยธรรมชาติ สำหรับประกันรถยนต์ชั้น 2+ และ 3+ ขึ้นอยู่กับแพคเกจประกันรถยนต์ของบริษัทนั้นๆ
- ให้บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง จำกัดเฉพาะรถยนต์ส่วนบุคคล อายุรถไม่เกิน 15 ปี เท่านั้น
คำถามและข้อสงสัยที่พบบ่อย
หาซื้อประกันรถยนต์ตามยี่ห้อของรถ แบบไหนดีที่สุด?
ปัจจัยในการเปรียบเทียบและเลือกซื้อประกันรถยนต์ ของรถยนต์แต่ละยี่ห้อนั้นไม่มีความแตกต่าง เบื้องต้นคุณต้องพิจารณาความต้องการ และพฤติกรรมการขับขี่ของตัวคุณเองเสียก่อน แล้วเลือกประกันให้เหมาะสมกับตัวผู้ขับขี่ และประกันรถยนต์แต่ละชั้นก็มีข้อดีที่แตกต่างกันไปดังนี้
- ประกันรถยนต์ชั้น 1 มีข้อดีที่ให้ความคุ้มครองรอบด้าน โดยเฉพาะการเคลมความเสียหายแบบไม่มีคู่กรณี แต่ก็แลกมาด้วยราคาเบี้ยประกันที่แพงกว่าชั้นอื่น เหมาะกับนักขับมือใหม่ รถใหม่ป้ายแดง และรถหรูราคาแพง
- ประกันรถยนต์ชั้น 2 มีข้อดีที่ให้ความคุ้มครองเกือบเท่าประกันชั้น 1 ในราคาเบี้ยประกันที่ไม่แพงมากนัก อีกทั้งคุณยังสามารถเพิ่มเงินเป็นประกันรถยนต์ชั้น 2+ เพื่อเพิ่มความคุ้มครองค่าซ่อมรถคุณได้เช่นกัน ประกันชั้นนี้เหมาะกับนักขับผู้มีประสบการณ์และอยากประหยัดค่าเบี้ยประกัน
- ประกันรถยนต์ชั้น 3 มีข้อดีคือประหยัดที่สุดแต่ก็คุ้มครองน้อยสุด คุณสามารถเพิ่มเงินเป็นประกันรถยนต์ชั้น 3+ เพื่อเพิ่มความคุ้มครองค่าซ่อมรถคุณได้เช่นกัน ประกันชั้นนี้เหมาะกับรถเก่า หรือรถที่ไม่ค่อยใช้งาน
เบี้ยประกันรถยนต์แต่ละยี่ห้อ ลดได้อย่างไร?
การลดเบี้ยประกันรถยนต์ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของรถยนต์ของท่าน และแม้ว่าราคาค่าเบี้ยจะขึ้นอยู่กับความคุ้มครองของประกันแต่ละชั้น แต่คุณยังมีช่องทางที่จะช่วยลดค่าเบี้ยประกันได้มากขึ้นกว่าเดิม ดังนี้
- เลือกแผนประกันที่ซ่อมอู่แทนซ่อมศูนย์ เนื่องจากซ่อมศูนย์มีค่าซ่อมและค่าบริการแพงกว่า
- ติดตั้งกล้องหน้ารถยนต์ ซึ่งทาง คปภ. ได้กำหนดไว้ว่ารถคันไหนมีกล้องหน้าจะได้ส่วนลดเบี้ย 5-10 % เลยทีเดียว
- ระบุชื่อและอายุของผู้ขับขี่ ซึ่งจะลดค่าเบี้ยได้มากถึง 5-20 %
- เลือกประกันที่ต้องจ่ายค่าความเสียหายส่วนแรก
- ถ้าคุณมีประวัติการขับขี่ดี ไม่มีเคลมในรอบปีที่ผ่านมา ทางบริษัทก็จะลดค่าเบี้ยประกันให้
- ลองหาโปรโมชั่นดีดีจากบริษัทประกันภัยชั้นนำ
รถยนต์ยี่ห้อไหนที่ประกันรถยนต์ไม่ให้ความคุ้มครอง?
ไม่ว่าคุณจะมีรถยนต์ยี่ห้ออะไร อายุการใช้งานเท่าไหร่ก็สามารถซื้อประกันรถยนต์ได้ทุกประเภท
หลังจากที่ได้ทำประกันรถยนต์ไปแล้ว ไม่ว่าจะเลือกทำประกันชั้นไหน ๆ ก็ยังมีข้อยกเว้นบางกรณีที่ประกันรถยนต์ไม่ให้ความคุ้มครอง นั่นหมายความว่าคุณจะถูกปฏิเสธการเคลมจากบริษัทประกันภัย และไม่ได้รับเงินชดเชยใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งมีกรณีดังนี้
- ใช้รถยนต์คันนั้นกระทำผิดกฎหมาย อย่างเช่น ใช้รถในการขนส่งสิ่งของที่ผิดกฎหมาย ยาเสพติด หรือใช้รถเป็นพาหนะในการปล้น เป็นต้น
- หากใช้รถยนต์นอกราชอาณาจักรไทยแล้วเกิดอุบัติเหตุ จะถูกยกเว้นความคุ้มครองจากบริษัทประกัน
- ใช้รถแข่งขันทำความเร็ว
- นำรถไปลากจูงรถคันอื่นจนเกิดความเสียหาย
- ผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 %
- รถยนต์เสียหายจากภาวะสงคราม
- ใช้งานรถยนต์ผิดประเภท เช่น นำรถส่วนบุคคลไปขับในเชิงพาณิชย์
ซื้อรถยนต์คันแรกต้องทำอย่างไรบ้าง?
การซื้อรถยนต์เป็นการตัดสินใจที่สำคัญและต้องใช้เงินลงทุนสูง ดังนั้นควรทราบข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับรถยนต์ก่อนที่คุณจะตัดสินใจซื้อ นี่คือบางเรื่องที่คุณควรรู้:
- ความต้องการของคุณ: กำหนดให้ชัดเจนว่าคุณต้องการรถยนต์ประเภทใด เช่น รถเก๋ง รถอเนกประสงค์ หรือรถกระบะ คุณต้องการรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่หรือเล็ก และกำหนดงบประมาณที่คุณสามารถจับต้องได้
- เข้าใจพฤติกรรมการใช้งานของตัวเอง: พิจารณาว่าคุณต้องการรถยนต์สำหรับใช้ในการเดินทางทางไกลหรือในเมือง คุณจำเป็นต้องการรถยนต์ที่ประหยัดน้ำมันหรือรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการเร่งเครื่องสูง
- การศึกษาและดูรีวิว: ค้นคว้าและศึกษาเกี่ยวกับรถยนต์รุ่นที่คุณสนใจ อ่านรีวิวจากผู้ใช้และผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัย คุณภาพ และประสิทธิภาพของรถยนต์
- การทดลองขับ: หากเป็นไปได้ ต้องไปลองจับและเห็นรถยนต์จริงๆ แล้วทดลองขับรถยนต์ที่คุณสนใจเพื่อทดสอบประสบการณ์ขับขี่ ความสบาย และความสนุกสนานกับรถยนต์รุ่นที่คุณสนใจ
- การเปรียบเทียบราคา: เปรียบเทียบราคาของรถยนต์ในตลาด เปรียบเทียบความคุ้มค่าของราคากับคุณสมบัติและคุณภาพของรถยนต์
- การบริการหลังการขาย: ตรวจสอบบริการหลังการขายที่รับประกันจากผู้ผลิต รวมถึงการบำรุงรักษาและการซ่อมบำรุงรถยนต์ในอนาคต
- การตรวจสอบเอกสาร: ก่อนที่จะซื้อรถยนต์ ตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น เอกสารการถือครองประกันรถยนต์ และการจดทะเบียนรถยนต์
การซื้อรถยนต์เป็นกระบวนการที่สำคัญ ควรใช้เวลาในการศึกษาและคิดให้รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจ โดยใช้ข้อมูลที่รอบคอบและข้อมูลที่อัพเดตล่าสุด เพื่อให้คุณสามารถเลือกรถยนต์ที่ตรงกับความต้องการและความสะดวกสบายของคุณได้อย่างมั่นใจ
รถยนต์มีกี่ประเภท?
รถยนต์มีหลายประเภทตามการใช้งานและลักษณะต่างๆ ดังนี้:
- รถเก๋ง Sedan: เป็นรถยนต์ที่มีลักษณะกะทัดรัด มีที่นั่งสำหรับผู้โดยสาร และพื้นที่ห้องโดยสารแยกออกจากที่สำหรับบรรทุกสิ่งของ
- รถ Hatchback: เป็นรถยนต์ที่มีลักษณะคล้ายกับเก๋ง แต่มีตัวถังท้ายเปิดขึ้นมา เพื่อให้สะดวกในการโหลดและยกของ
- รถกระบะ: เป็นรถยนต์ที่มีพื้นที่โดยสารด้านหน้าและพื้นที่หลังที่เปิดโล่ง เหมาะสำหรับการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้าหรือการใช้งานที่ต้องใช้พื้นที่
- รถ SUV: เป็นรถยนต์ที่มีส่วนสูงและขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับการขับขี่ในเส้นทางที่ยากลำบากหรือสภาพถนนที่ไม่เสถียร
- รถตู้ Minivan: เป็นรถยนต์ที่มีพื้นที่โดยสารขนาดใหญ่ มีที่นั่งสำหรับผู้โดยสารมากพอที่จะรองรับครอบครัวหรือกลุ่มผู้โดยสารมาก
- รถพลังงานไฟฟ้า: เป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานจากการชาร์จแบตเตอรี่ มีการใช้งานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- รถสปอร์ต: เป็นรถยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อให้ความสนุกและความเร็ว มีลักษณะดีไซน์ที่เรียบหรูและพลังงานที่สูง
- รถคอมแพ็ค: เป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่มีการออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัดและประหยัดน้ำมัน
นอกจากนี้ยังมีประเภทอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งมีการผสมผสานและการออกแบบที่หลากหลาย เช่น รถครอสโอเวอร์ (Crossover), รถสปอร์ตครอสโอเวอร์ (Sport Crossover), และอื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติและความสามารถที่แตกต่างกันไป
รถยนต์รุ่นไหนเหมาะกับขับขี่ในเมือง และรถยนต์รุ่นไหนเหมาะเดินทางทางไกล?
ตัวอย่างรถยนต์ที่เหมาะสำหรับการใช้งานในเมืองคือรถยนต์รุ่นที่มีขนาดกะทัดรัดและความคล่องตัว เพื่อความสะดวกในการจอดและเคลื่อนที่ในที่แคบ นี่คือตัวอย่างรถยนต์ที่เหมาะสำหรับใช้ในเมือง:
- Toyota Yaris: เป็นรถยนต์ Hatchback ที่มีความคล่องตัว ใช้พื้นที่จอดได้ง่าย และมีความประหยัดน้ำมัน
- Honda Jazz: เป็นรถยนต์ Hatchback ที่มีพื้นที่ในรถที่หลากหลายและมีระบบนำทางที่คล่องตัว
- Mazda 2: เป็นรถยนต์ Hatchback ยอดนิยมที่มีความสะดวกสบายในการขับขี่และมีรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวสูง
- Ford Fiesta: เป็นรถยนต์ Hatchback ที่มีการออกแบบสปอร์ตและความสนุกสนานในการขับขี่
ส่วนตัวอย่างรถยนต์ที่เหมาะสำหรับการเดินทางทางไกลมีความสบายและมีความพร้อมที่จะเจริญรุ่งเรืองในเส้นทางทางไกล นี่คือตัวอย่างรถยนต์ที่เหมาะสำหรับใช้ในการเดินทางทางไกล:
- Toyota Camry: เป็นรถยนต์ขนาดกลางที่มีความสะดวกสบายและความพร้อมในการเดินทางทางไกล พร้อมกับระบบเครื่องยนต์ที่ประหยัดเชื้อเพลิง
- Honda Accord: เป็นรถยนต์ซีดานกลุ่มดีเซกเมนท์ ตระกูลเดียวกับ Camry ที่มีความสะดวกสบายและมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย
- BMW 5 Series: เป็นรถยนต์ขนาดกลาง ที่เป็นรถไฟฟ้า100% มาครบทั้งเครื่องยนต์เบนซิน / ดีเซล / Plug-in Hybrid เครื่องยนต์มีประสิทธิภาพสูงและระบบสมดุลในการขับขี่ทางไกล
- Mercedes-Benz E-Class: เป็นรถยนต์พรีเมียมซีดานขนาดกลาง ที่มีความหรูหราและสะดวกสบายในการเดินทางทางไกล
- Audi A6: เป็นรถยนต์พรีเมียมซีดานขนาดกลาง ที่มีการออกแบบสปอร์ตและสบายในการเดินทางทางไกล
อย่างไรก็ตามควรจำไว้ว่าการเลือกรถยนต์ขึ้นอยู่กับความต้องการและการใช้งานของแต่ละบุคคล ควรพิจารณาว่าคุณต้องการรถยนต์ที่มีคุณสมบัติแบบใด และความเหมาะสมกับงบประมาณของคุณ
การเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (EV)?
การเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นการตัดสินใจที่สำคัญและควรพิจารณาด้วยความรอบคอบ เพื่อให้ได้รถยนต์ที่ตรงกับความต้องการและสอดคล้องกับสไตล์การใช้งานของคุณ ดังนั้นนี่คือขั้นตอนในการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (EV):
- กำหนดงบประมาณ: กำหนดวงเงินที่คุณสามารถใช้ได้ในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงราคาซื้อและค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษารถยนต์ เช่น การชาร์จแบตเตอรี่และบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า (EV)
- ความพร้อมของสถานีชาร์จไฟฟ้า: ตรวจสอบความพร้อมที่เอื้อต่อรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ของคุณ เช่น สถานีชาร์จไฟฟ้าที่ใกล้เคียงและความสามารถในการชาร์จที่บ้านหรือที่ทำงานของคุณ
- ระยะเดินทาง: พิจารณาระยะเดินทางที่คุณจะใช้ในการขับขี่ในชีวิตประจำวัน และตรวจสอบความสามารถของแบตเตอรี่ในการดำเนินงานในระยะทางที่คุณต้องการ
- พื้นที่ใช้สอยบนรถยนต์: พิจารณาปริมาณผู้โดยสารและพื้นที่สำหรับบรรทุกที่คุณต้องการในรถยนต์ เลือกรถยนต์ที่มีขนาดและความจุเพียงพอตามความต้องการของคุณ
- คุณสมบัติเสริม: พิจารณาคุณสมบัติเสริมที่คุณต้องการในรถยนต์ เช่น ระบบเสียงที่ดี ระบบนำทาง และความปลอดภัยเพิ่มเติม เพื่อให้ได้รถยนต์ที่ตรงกับความต้องการของคุณ
- การรับประกันและการซ่อมบำรุงรักษา: ตรวจสอบเงื่อนไขของการรับประกันรถยนต์และบริการซ่อมบำรุงรักษาที่มีอยู่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และตรวจสอบที่บริการหรือศูนย์ซ่อมบำรุงใกล้บ้านของคุณ
- ทดลองขับ: ทดลองขับรถยนต์ไฟฟ้าที่คุณสนใจเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของรถ การขับขี่ และความสบายส่วนตัว
- ศึกษารีวิว: อ่านรีวิวและคำวิจารณ์จากผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่มีอยู่ เพื่อเข้าใจข้อดีและข้อเสียของรถยนต์ที่คุณสนใจ
- ค่าใช้จ่ายในระยะยาว: พิจารณาค่าใช้จ่ายในระยะยาว เช่น ค่าบำรุงรักษารถยนต์และค่าใช้จ่ายในการแทนที่แบตเตอรี่
การเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (EV) นั้นควรพิจารณาด้วยความรอบคอบ และการออกแบบสถานีชาร์จไฟฟ้า สำหรับแต่ละบุคคลอาจมีความต้องการและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป ดังนั้นควรทำการศึกษาข้อมูลอย่างเพียงพอก่อนที่จะตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า
ข้อดี ข้อเสีย ระหว่างรถยนต์เบนซิน และรถยนต์ไฟฟ้า?
รถยนต์เบนซิน (Gasoline/Diesel Car) ข้อดี:
- สถานีเติมเชื้อเพลิงมีจำนวนมากและสะดวก สามารถเข้าถึงได้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
- ในบางแบรนด์ราคาซื้อรถยนต์เบนซินจะถูกกว่ารถยนต์ไฟฟ้า
- สามารถเดินทางไกลได้หลายร้อยกิโลเมตรก่อนที่จะต้องเติมเชื้อเพลิงใหม่อีกครั้ง
- มีศูนย์บริการมากกว่ารถยนต์ไฟฟ้าในบางพื้นที่
รถยนต์เบนซิน (Gasoline/Diesel Car) ข้อเสีย:
- ค่าใช้จ่ายในการเติมเชื้อเพลิงในระยะยาว รวมกันแล้วอาจสูงกว่าการชาร์ทไฟฟ้า
- มีการปล่อยมลพิษที่อาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพอากาศ
- ค่าบำรุงรักษารถยนต์เบนซินอาจสูงกว่ารถยนต์ไฟฟ้า เช่น ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง
รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle - EV) ข้อดี:
- การประหยัดพลังงาน และมีการปล่อยส่งมลพิษที่น้อยกว่ารถยนต์เบนซิน
- ค่าใช้จ่ายในการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าน้อยกว่าค่าใช้จ่ายในการใช้งานรถยนต์เบนซิน
- เสียงที่น้อยกว่ารถยนต์เบนซิน ซึ่งทำให้การขับขี่เงียบสงบและสบายกว่า
- ความสะดวก เนื่องจากสามารถติดตั้งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าไว้ที่บ้าน และตามห้างสรรพสินค้าก็มีสถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะให้บริการ
รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle - EV) ข้อเสีย:
- ระยะเดินทางที่ค่อนข้างจำกัดตามขนาดของแบตเตอรี่
- ในบางแบรนด์ราคาซื้อรถยนต์ไฟฟ้าสูงกว่ารถยนต์เบนซิน
- สถานีชาร์จไฟฟ้าที่ไม่ครอบคลุมทั่วไป อาจทำให้การชาร์จเชื้อเพลิงอาจมีความล่าช้า
- ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้าสูง เนื่องจากจำเป็นต้องเข้าใช้บริการที่ศูนย์บริการที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น
ข้อดีและข้อเสียของรถยนต์ทั้งสองประเภทนี้อาจแตกต่างกันไปตามความต้องการและของแต่ละบุคคล คุณควรพิจารณาความต้องการของคุณและทำการวิเคราะห์เพื่อให้ได้รถยนต์ที่เหมาะสมกับคุณสมบัติที่คุณต้องการ