Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ในการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งาน และเพื่อเก็บข้อมูลสถิติ ท่านสามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่นโยบายคุกกี้

ประกันรถยนต์ แคร์ ครบ คุ้ม

โปรโมชันประกันรถยนต์

เช็กสถานะกรมธรรม์ง่าย ๆ ได้เอง

ราคาเริ่มต้นของแผนประกันรถยนต์จาก พันธมิตรประกันภัยชั้นนำ
กว่า 30 บริษัท

โลโก้ วิริยะ

วิริยะประกันภัย

ราคาเริ่มต้นเพียง 7,500 บาท

กรุงเทพประกันภัย โลโก้

กรุงเทพประกันภัย

ราคาเริ่มต้นเพียง 6,600 บาท

โลโก้ แอกซ่าประกันภัย

แอกซ่าประกันภัย

ราคาเริ่มต้นเพียง 6,101 บาท

โลโก้ คุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย

โตเกียวมารีนประกันภัย

ราคาเริ่มต้นเพียง 6,200 บาท

โลโก้ ธนชาตประกันภัย

ธนชาตประกันภัย

ราคาเริ่มต้นเพียง 6,500 บาท

โลโก้ แอลเอ็มจี ประกันภัย

แอลเอ็มจีประกันภัย

ราคาเริ่มต้นเพียง 7,300 บาท

ซื้อประกันรถยนต์กับแรบบิท แคร์ แคร์คุณเรื่องอะไรบ้าง

  		
แรบบิท แคร์ การันตี ราคาประกันรถยนต์

การันตี ราคาคุ้มค่า

เจอราคาเจ้าไหนถูกกว่า เราลดราคาให้คุณเพิ่ม*

ประกันรถยนต์ ผ่อน 0% 10 เดือน

ผ่อน 0% 10 เดือน

ผ่อนสบาย ช่องทางไหนก็ได้ ไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

ประหยัดประกันรถยนต์ได้สูงสุดถึง 70%

ประหยัดได้สูงสุด 70%

ไม่มีเคลม ปีต่อไป ลด 50% ระบุชื่อผู้ขับขี่ลดเพิ่ม 20%

ประกันรถยนต์มีรถใช้ทดแทน ระหว่างซ่อม

มีรถใช้ทดแทน

บริการเช่ารถสำรอง 3 วัน เมื่อรถเข้าศูนย์จากอุบัติเหตุ

ประกันรถยนต์ ชดเชยค่าเดินทางกลับบ้าน

ชดเชยค่าเดินทาง

คืนค่าเดินทางสูงสุด 500 บาท ระหว่างรถยนต์เข้าอู่ซ่อม

ประกันรถยนต์ บริการช่วยเหลือ 24 ชม.

บริการช่วยเหลือ 24 ชม.

ช่วยเหลือฉุกเฉินทั่วไทย

ศูนย์ซ่อมของประกันรถยนต์ครอบคลุมทั่วไทย

ศูนย์ซ่อมครอบคลุม

ซ่อมรถมาตรฐาน ที่ศูนย์ให้เลือกทั่วไทย

บริการช่วยเหลือแจ้งเคลมประกันรถยนต์

มีเจ้าหน้าที่แนะนำ

ผู้เชี่ยวชาญช่วยเหลือตลอดการซื้อกรมธรรม์

คำถามเกี่ยวกับประกันรถยนต์ออนไลน์

ประกันรถยนต์คืออะไร?

ประกันรถยนต์ คือ สัญญาที่ทำขึ้นระหว่างเจ้าของรถยนต์ (ผู้เอาประกันภัย) กับ บริษัท ประกันรถยนต์ (ผู้รับประกันภัย) โดยผู้เอาประกันภัยตกลงชำระค่าเบี้ยประกันตามที่กำหนด และบริษัทประกันภัยตกลงที่จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ บุคคลภายนอก หรือผู้ขับขี่/ผู้โดยสาร ตามเงื่อนไขความคุ้มครองที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันตามที่ระบุไว้ เช่น อุบัติเหตุ การชน การคว่ำ รถหาย ไฟไหม้ หรือภัยธรรมชาติ

 

พูดง่ายๆ ก็คือ คุณจ่ายเงินจำนวนหนึ่ง (เบี้ยประกัน) ให้บริษัทประกัน เพื่อแลกกับการที่บริษัทจะเข้ามาช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับรถยนต์ของคุณตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา ประกันรถ นั่นเอง

 

ประกันรถยนต์ เป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับผู้ใช้รถทุกคน การทำความเข้าใจว่า ประกันรถยนต์คืออะไร คุ้มครองอะไรบ้าง, และ ประกันรถยนต์ มีอะไรบ้าง แต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร จะช่วยให้คุณเลือกซื้อความคุ้มครองได้อย่างเหมาะสม การมี ประกันรถ ที่ดี ไม่เพียงแต่ช่วยคุ้มครองความเสียหายทางการเงิน แต่ยังมอบความอุ่นใจให้คุณในทุกการเดินทาง อย่าลืม เช็คประกันและต่ออายุให้ตรงเวลาเสมอ และหากกำลังมองหาข้อเสนอดีๆ ลองพิจารณาโปรโมชั่นจากโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถืออย่าง แรบบิท แคร์ เพื่อความคุ้มค่าสูงสุดของคุณ

 

การมีรถยนต์คู่ใจสักคันนำมาซึ่งความสะดวกสบายในการเดินทาง แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันบนท้องถนน ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ รถหาย หรือไฟไหม้ ประกันรถยนต์ หรือ ประกันรถ (รวมถึง car insurance ในภาษาอังกฤษ) จึงเปรียบเสมือนเกราะป้องกันทางการเงินที่สำคัญ ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประกันรถยนต์คุ้มครองอะไรบ้าง?

สำหรับคำถามที่ว่า ประกันรถยนต์ คุ้มครองอะไรบ้าง หรือ ประกันรถคุ้มครองอะไรบ้าง นั้น ขอบเขตความคุ้มครองของ ประกันรถยนต์ นั้นแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับ ประเภท ประกันรถยนต์ ที่คุณเลือกซื้อ แต่โดยหลักการแล้ว ประกันรถยนต์คุ้มครองอะไรบ้าง สามารถแบ่งความคุ้มครองหลักๆ ได้ดังนี้:

 

1.) ความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย

  • การชน: คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากการชนกับยานพาหนะทางบก (รถชนรถ) หรือการชนกับวัตถุอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยานพาหนะ (ชนเสา ชนกำแพง ชนต้นไม้) รวมถึงการคว่ำ (สำหรับประกันบางประเภท เช่น ชั้น 1)
  • รถยนต์สูญหาย: คุ้มครองกรณีรถยนต์ถูกโจรกรรม ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์ (สำหรับประกันบางประเภท เช่น ชั้น 1, 2+)
  • ไฟไหม้: คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์ที่เกิดจากไฟไหม้ ไม่ว่าจะเกิดจากอุบัติเหตุหรือเหตุอื่นๆ (สำหรับประกันบางประเภท เช่น ชั้น 1, 2+)
  • ภัยธรรมชาติ (เช่น น้ำท่วม): คุ้มครองความเสียหายจากภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ลูกเห็บ หรือลมพายุ (มักเป็นความคุ้มครองหลักของ ประกันรถยนต์ชั้น 1 และอาจมีใน 2+ บางแผน)

 

2.) ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก

  • ความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย: คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล ค่าสินไหมทดแทนกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ ของบุคคลภายนอก (คู่กรณี) ที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่รถยนต์คันเอาประกันภัยเป็นฝ่ายผิด
  • ความเสียหายต่อทรัพย์สิน: คุ้มครองค่าซ่อมแซมทรัพย์สินของบุคคลภายนอก (เช่น รถยนต์ของคู่กรณี รั้วบ้าน หรือทรัพย์สินอื่นๆ) ที่เสียหายจากอุบัติเหตุที่รถยนต์คันเอาประกันภัยเป็นฝ่ายผิด

 

3.) ความคุ้มครองเพิ่มเติมตามเอกสารแนบท้าย

  • ค่ารักษาพยาบาล: สำหรับประกันภาคสมัครใจ จะมีความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลของผู้ขับขี่และผู้โดยสารในรถยนต์คันเอาประกันภัยจากอุบัติเหตุ
  • การประกันตัวผู้ขับขี่: คุ้มครองหลักทรัพย์ที่ใช้ในการประกันตัวผู้ขับขี่ในคดีอาญา กรณีเกิดอุบัติเหตุเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัส

 

ดังนั้น คำถามที่ว่า ประกันรถคุ้มครองอะไรบ้าง คำตอบจะขึ้นอยู่กับประเภทของประกันที่คุณเลือกเป็นสำคัญ

ประกันรถยนต์มีกี่ประเภท? ประกันรถยนต์มีอะไรบ้าง?

ประกันรถยนต์ มีกี่ประเภทประกันรถ มีอะไรบ้าง? โดยหลักๆ แล้ว ประกันรถยนต์ ในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ:

 

1.) ประกันรถยนต์ภาคบังคับ (Compulsory Motor Insurance - CMI)

หรือที่เรียกกันติดปากว่า "พ.ร.บ." (พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535) เป็น ประกันรถยนต์ ที่กฎหมายบังคับให้รถยนต์ทุกคันที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกต้องมี หากไม่มีจะต่อทะเบียนรถยนต์ไม่ได้ และมีโทษปรับ โดยจะให้คุ้มครองเฉพาะบุคคล ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร หรือบุคคลภายนอก (คู่กรณี) ที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกี่ยวกับรถคันนั้นๆ แต่ไม่คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือตัวรถยนต์

 

นอกจากนั้น ยังให้ความคุ้มครองเป็นค่าเสียหายเบื้องต้นโดยจะจ่ายทันทีโดยไม่ต้องรอพิสูจน์ความผิด และมีค่าสินไหมทดแทนส่วนเกินค่าเสียหายเบื้องต้นโดยจะจ่ายเมื่อพิสูจน์แล้วว่าผู้ประสบภัยไม่ใช่ฝ่ายผิด

 

2.) ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ (Voluntary Motor Insurance)

  • เป็น ประกันรถ ที่เจ้าของรถยนต์จะทำหรือไม่ก็ได้ ไม่ได้มีกฎหมายบังคับ
  • ซื้อเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความคุ้มครองให้ครอบคลุมมากขึ้น นอกเหนือจากที่ พ.ร.บ. คุ้มครอง
  • คุ้มครองทั้งบุคคลและทรัพย์สิน รวมถึงตัวรถยนต์คันเอาประกันภัยด้วย (ตามประเภทที่เลือก)
  • มีหลายประเภทให้เลือกตามความต้องการและงบประมาณ ซึ่งจะกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป

 

ดังนั้น หากถามว่า ประกันรถยนต์ มีอะไรบ้าง หรือ ประกันรถมีอะไรบ้าง ก็จะตอบได้ว่ามีทั้งภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และภาคสมัครใจนั่นเอง ส่วน ประกันรถมีกี่ประเภท ถ้าแบ่งตามกฎหมายก็มี 2 ประเภทนี้

ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ คือ อะไร?

ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ คือ กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ที่เจ้าของรถเลือกซื้อเพิ่มเติมด้วยความสมัครใจ เพื่อขยายความคุ้มครองให้มากกว่า ประกันรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ซึ่งคุ้มครองเฉพาะความเสียหายต่อชีวิตและร่างกายของบุคคลเท่านั้น

 

ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ จะให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากขึ้น ทั้งความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย (เช่น ค่าซ่อมรถตัวเอง) ความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก (เช่น ค่าซ่อมรถคู่กรณี) รวมถึงความคุ้มครองเพิ่มเติมอื่นๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาลของผู้ขับขี่/ผู้โดยสาร การประกันตัวผู้ขับขี่ และความคุ้มครองกรณีรถหาย/ไฟไหม้ ซึ่งรายละเอียดความคุ้มครองจะแตกต่างกันไปใน ประกันรถยนต์แต่ละประเภท ของภาคสมัครใจ

ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ มีกี่ประเภท? ประกันรถยนต์ แต่ละประเภท คุ้มครองอะไรบ้าง?

ประกันภาคสมัครใจ มีกี่ประเภท? ประกันรถแต่ละประเภทคุ้มครองอะไรบ้าง? โดยทั่วไปแล้ว บริษัท ประกันรถยนต์ จะแบ่ง ประกันรถยนต์ ภาคสมัครใจ ออกเป็นประเภทหลักๆ ตามระดับความคุ้มครอง ซึ่ง ประกันรถยนต์ แต่ละชั้น ประกันรถยนต์แต่ละประเภท มีรายละเอียดดังนี้

 

1.) ประกันรถยนต์ชั้น 1

  • ให้ความคุ้มครอง ครอบคลุมมากที่สุด
  • คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย ทั้งกรณีชนแบบมีคู่กรณี (รถชนรถ) และไม่มีคู่กรณี เช่น ชนเสา, ชนกำแพง, ครูดฟุตบาท, หินดีด, คว่ำ ฯลฯ
  • คุ้มครองกรณีรถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ และภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ฯลฯ
  • คุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกทั้งชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน
  • คุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล ค่ารักษาพยาบาล และการประกันตัวผู้ขับขี่

 

เหมาะสำหรับ: รถใหม่ป้ายแดง, ผู้ขับขี่มือใหม่, ผู้ที่ต้องการความคุ้มครองสูงสุด หรือผู้ที่จอดรถในพื้นที่เสี่ยง

 

2.) ประกันรถยนต์ 2+ (ประกันชั้น 2 พลัส / ประเภท 2+)

  • คุ้มครอง คล้ายชั้น 1 แต่มีเงื่อนไขสำคัญ คือ คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย เฉพาะกรณีชนกับยานพาหนะทางบกเท่านั้น และต้องมีคู่กรณี (ไม่คุ้มครองการชนแบบไม่มีคู่กรณี เช่น ชนเสา คว่ำเอง ฯลฯ)
  • คุ้มครองกรณีรถยนต์สูญหายและไฟไหม้
  • คุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกทั้งชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน
  • คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล และการประกันตัวผู้ขับขี่ โดยรายละเอียดอาจแตกต่างกันไปในแต่ละแผน
  • เบี้ยประกันถูกกว่าชั้น 1

 

เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ขับรถค่อนข้างชำนาญ, ต้องการความคุ้มครองใกล้เคียงชั้น 1 ในราคาที่ย่อมเยาลง, มีความเสี่ยงเรื่องรถหาย/ไฟไหม้ แต่ไม่กังวลเรื่องชนแบบไม่มีคู่กรณีมากนัก

 

3.) ประกันรถยนต์ 3+ (ประกันชั้น 3 พลัส / ประเภท 3+)

  • คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย เฉพาะกรณีชนกับยานพาหนะทางบกเท่านั้น และต้องมีคู่กรณี (เหมือน 2+)
  • ไม่คุ้มครอง กรณีรถยนต์สูญหายและไฟไหม้
  • คุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกทั้งชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน
  • คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล และการประกันตัวผู้ขับขี่ โดยรายละเอียดอาจแตกต่างกันไปในแต่ละแผน
  • เบี้ยประกันถูกกว่าชั้น 2+

 

เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ขับรถชำนาญ, ไม่ค่อยได้ใช้รถ หรือใช้ในเส้นทางที่ไม่พลุกพล่าน, ไม่กังวลเรื่องรถหาย/ไฟไหม้, ต้องการคุ้มครองค่าซ่อมรถตัวเองเมื่อเกิดเหตุรถชนรถ

 

4.) ประกันรถยนต์ชั้น 2 (ประเภท 2)

  • ไม่คุ้มครอง ความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัยเลย (ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีคู่กรณี)
  • คุ้มครองกรณีรถยนต์สูญหายและไฟไหม้
  • คุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกทั้งชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน
  • คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล และการประกันตัวผู้ขับขี่ โดยรายละเอียดอาจแตกต่างกันไปในแต่ละแผน
  • เบี้ยประกันถูกกว่า 2+ และ 3+

 

เหมาะสำหรับ: รถที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน, จอดในที่ปลอดภัย แต่ยังกังวลเรื่องรถหาย/ไฟไหม้ และต้องการคุ้มครองคู่กรณี

 

5.) ประกันรถยนต์ชั้น 3 (ประเภท 3)

  • ให้ความคุ้มครอง น้อยที่สุด ในบรรดาประกันภาคสมัครใจ
  • ไม่คุ้มครอง ความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัยเลย
  • ไม่คุ้มครอง กรณีรถยนต์สูญหายและไฟไหม้
  • คุ้มครอง เฉพาะความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ทั้งชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน
  • อาจมีความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล และการประกันตัวผู้ขับขี่บ้างเล็กน้อย (ขึ้นอยู่กับแผน)
  • เบี้ยประกันถูกที่สุด

 

เหมาะสำหรับ: รถเก่าที่มีอายุหลายปี, รถที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน, ผู้ที่ต้องการเน้นความคุ้มครองให้คู่กรณีเป็นหลัก และสามารถรับผิดชอบค่าซ่อมรถตัวเองได้

 

สรุป: การเลือก ประกันรถยนต์แต่ละชั้น หรือ ประกันรถแต่ละชั้น ควรพิจารณาจากลักษณะการใช้งานรถ อายุรถ งบประมาณ และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

ประกันรถยนต์ คุ้มครองทันทีไหม?

โดยทั่วไปแล้ว ประกันรถยนต์ คุ้มครองทันทีไหม? คำตอบคือ ใช่ แต่มีเงื่อนไขสำคัญคือ กรมธรรม์ต้องมีผลบังคับใช้แล้ว

 

  • กรณีซื้อประกันใหม่ หรือต่ออายุล่วงหน้า: ความคุ้มครองจะเริ่มต้นในวันที่และเวลาที่ระบุไว้ในหน้าตารางกรมธรรม์ ซึ่งโดยปกติบริษัทประกันจะกำหนดวันเริ่มคุ้มครองตามที่ตกลงกับลูกค้า (อาจจะเป็นวันที่ชำระเงิน หรือวันที่ลูกค้าระบุ) หากชำระเงินและเอกสารครบถ้วนก่อนถึงวันเริ่มคุ้มครอง เมื่อถึงวันที่ระบุ กรมธรรม์ก็จะมีผลทันที
  • กรณีซื้อประกันแบบเร่งด่วน หรือ ใกล้หมดอายุ: บาง บริษัทประกันรถยนต์ หรือโบรกเกอร์ อาจมีบริการออกเอกสารคุ้มครองชั่วคราวให้ก่อน เช่น ใบยืนยันการรับประกันภัย ฯลฯ ซึ่งจะมีผลคุ้มครองทันทีหลังจากชำระเงิน แต่กรมธรรม์ฉบับจริงจะตามมาภายหลัง
  • กรณีขาดต่ออายุ: หากปล่อยให้ประกันหมดอายุไปแล้ว ความคุ้มครองจะสิ้นสุดลงทันที หากต้องการความคุ้มครองต่อ ต้องดำเนินการซื้อใหม่ และความคุ้มครองจะเริ่มในวันที่ระบุในกรมธรรม์ฉบับใหม่

 

ข้อควรระวัง:

 

  • ควรชำระเบี้ยประกันให้เรียบร้อยก่อนวันเริ่มคุ้มครองเสมอ
  • ตรวจสอบวันที่และเวลาเริ่มต้นความคุ้มครองในกรมธรรม์ให้ถูกต้อง
  • เก็บหลักฐานการชำระเงินและเอกสารยืนยันการรับประกันภัยไว้เสมอ

 

ดังนั้น เพื่อความมั่นใจ ควรสอบถามเงื่อนไขการเริ่มคุ้มครองกับบริษัทหรือตัวแทน/โบรกเกอร์ให้ชัดเจน ณ ตอนที่ซื้อ

ประกันรถยนต์ เชิงพาณิชย์ รถเช่า มีอะไรบ้าง?

รถยนต์ที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ เช่น รถบรรทุก รถกระบะขนส่งสินค้า รถแท็กซี่ รถตู้สาธารณะ หรือ รถเช่า มีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุสูงกว่ารถยนต์ส่วนบุคคลทั่วไป เนื่องจากมีการใช้งานที่บ่อยกว่าและวิ่งในระยะทางที่ไกลกว่า ดังนั้น จึงต้องใช้ ประกันรถยนต์เชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะ ซึ่งมักจะมีเบี้ยประกันที่สูงกว่า และอาจมีเงื่อนไขความคุ้มครองที่แตกต่างจากประกันรถยนต์ส่วนบุคคล

 

โดยทั่วไปแล้ว ประเภทของประกันจะคล้ายกับรถยนต์ส่วนบุคคล คือ มีทั้ง พ.ร.บ. (ภาคบังคับ) และภาคสมัครใจ (ชั้น 1, 2+, 3+, 3) แต่จะระบุในกรมธรรม์ชัดเจนว่าเป็นการใช้งานเชิงพาณิชย์ หรือสำหรับรถเช่า

 

ความแตกต่างที่สำคัญ:

 

  • อัตราเบี้ยประกัน: สูงกว่ารถยนต์ส่วนบุคคล เนื่องจากความเสี่ยงสูงกว่า
  • เงื่อนไขความคุ้มครอง: อาจมีเงื่อนไขเพิ่มเติม หรือข้อยกเว้นบางประการที่แตกต่างกัน เช่น จำนวนผู้โดยสารที่คุ้มครอง ลักษณะสินค้าที่บรรทุก
  • ทุนประกัน: อาจพิจารณาตามลักษณะการใช้งานและประเภทของรถ
  • การรับประกัน: บางบริษัทอาจมีข้อจำกัดในการรับประกันรถยนต์ในเชิงพาณิชย์บางประเภท หรือรถเช่า

 

ประกันรถกระบะ ที่ใช้ในการบรรทุกสินค้าเพื่อการค้า ก็ถือเป็น ประกันรถยนต์เชิงพาณิชย์ ประเภทหนึ่ง ซึ่งเบี้ยประกันจะแตกต่างจากประกันสำหรับรถกระบะที่ใช้ส่วนบุคคล

 

สำหรับรถเช่า: ผู้ประกอบการรถเช่าจำเป็นต้องทำประกันภัยสำหรับรถเช่าโดยเฉพาะ ซึ่งครอบคลุมความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับตัวรถและบุคคลภายนอก ผู้เช่าควรตรวจสอบเงื่อนไขความคุ้มครองของ ประกันรถ ที่มาพร้อมกับรถเช่าให้ละเอียดก่อนตัดสินใจเช่า

 

ข้อแนะนำ: หากคุณใช้รถยนต์เพื่อการค้า ขนส่ง หรือให้เช่า ควรแจ้งวัตถุประสงค์การใช้งานให้ บริษัทประกันภัย ทราบอย่างถูกต้อง เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสมและหลีกเลี่ยงปัญหาในการเคลมภายหลัง การใช้ประกันผิดประเภท เช่น ใช้ประกันส่วนบุคคลกับรถที่วิ่งรับจ้าง เป็นต้น อาจทำให้บริษัทปฏิเสธความคุ้มครองได้

ประกันรถเก่า ประกันรถมือสอง ควรเลือกอย่างไร?

การเลือกประกันสำหรับ ประกันรถเก่า หรือ ประกันรถมือสอง มีข้อควรพิจารณาดังนี้

 

  • อายุรถ: รถยนต์ที่มีอายุมาก บริษัทประกันภัยหลายแห่งอาจไม่รับทำ ประกันชั้น 1 หรือหากรับก็จะมีเบี้ยประกันที่สูงมาก และอาจมีเงื่อนไขจำกัดเรื่องทุนประกัน (วงเงินคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถ)
  • สภาพรถและการใช้งาน: หากรถยังอยู่ในสภาพดี และคุณยังต้องการความคุ้มครองที่ครอบคลุม เช่น ค่าซ่อมรถตัวเองกรณีชนแบบไม่มีคู่กรณี หรือกังวลเรื่องรถหาย/ไฟไหม้ อาจพิจารณา ประกันรถยนต์ 2+ ซึ่งให้ความคุ้มครองใกล้เคียงชั้น 1 ในส่วนที่สำคัญ (ยกเว้นการชนแบบไม่มีคู่กรณี) และเบี้ยถูกกว่า
  • ความเสี่ยง: หากคุณขับขี่อย่างระมัดระวัง ใช้รถน้อย หรือจอดในที่ปลอดภัย และไม่กังวลเรื่องค่าซ่อมรถตัวเองมากนัก อาจเลือก ประกันรถยนต์ 3+ (คุ้มครองซ่อมรถเราเฉพาะกรณีรถชนรถ) หรือ ประกันชั้น 3 (คุ้มครองเฉพาะคู่กรณี) เพื่อเน้นประหยัดค่าเบี้ย
  • งบประมาณ: ประกันรถยนต์เก่ามักมีค่าเบี้ยที่ถูกลงตามประเภทความคุ้มครองที่ลดหลั่นกันมา ควรเลือกให้เหมาะสมกับงบประมาณที่ตั้งไว้
  • ทุนประกัน: สำหรับรถเก่า ทุนประกัน (วงเงินสูงสุดที่บริษัทจะจ่ายกรณีรถเสียหายสิ้นเชิงหรือสูญหาย) จะไม่สูงเท่ารถใหม่ ควรตรวจสอบว่าทุนประกันที่ได้รับเหมาะสมกับมูลค่าปัจจุบันของรถหรือไม่

 

คำแนะนำ: สำหรับประกันสำหรับรถมือสองที่เพิ่งซื้อมา หากอายุรถยังไม่เกิน 5-7 ปี การเลือก ประกันชั้น 1 อาจยังคุ้มค่า แต่หากรถมีอายุมากขึ้น การพิจารณาประกันชั้น 2+ หรือ 3+ น่าจะเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลกว่า ทั้งนี้ ควรเปรียบเทียบ ใบเสนอราคา ประกันรถยนต์ จากหลายๆ บริษัทเพื่อหาข้อเสนอที่ดีที่สุด

เช็คประกันรถยนต์หมดอายุ ทำอย่างไร?

การปล่อยให้ประกันรถยนต์หมดอายุ โดยเฉพาะ พ.ร.บ. ถือว่าผิดกฎหมาย และหากเกิดอุบัติเหตุในช่วงที่ประกันขาด คุณจะต้องรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมดด้วยตัวเอง ดังนั้น การ เช็คประกันรถยนต์หมดอายุ เป็นสิ่งที่ควรทำเป็นประจำ สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้

 

  1. ดูจากกรมธรรม์ประกันภัย: วิธีที่ง่ายและแน่นอนที่สุดคือการเปิดดูเอกสารกรมธรรม์ ประกันรถยนต์ (ทั้ง พ.ร.บ. และภาคสมัครใจ) ที่คุณได้รับ จะมีระบุ "วันที่เริ่มคุ้มครอง" และ "วันที่สิ้นสุดความคุ้มครอง" ไว้อย่างชัดเจน
  2. ดูจากป้ายวงกลม (ป้ายภาษี): ที่กระจกหน้ารถ จะมีป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีรถยนต์ประจำปี ซึ่งจะระบุวันสิ้นอายุภาษี ปกติแล้ววันหมดอายุของ พ.ร.บ. จะตรงกับวันสิ้นอายุภาษี เพราะต้องต่อ พ.ร.บ. ก่อนจึงจะต่อภาษีได้ วิธีนี้ใช้เช็ควันหมดอายุของ พ.ร.บ. ได้ แต่เช็คประกันภาคสมัครใจไม่ได้
  3. ติดต่อบริษัทประกันภัยโดยตรง: โทรศัพท์สอบถาม Call Center ของบริษัทประกันภัยที่คุณทำประกันไว้ โดยแจ้งหมายเลขทะเบียนรถ หรือเลขที่กรมธรรม์ เจ้าหน้าที่จะสามารถตรวจสอบวันหมดอายุให้ได้
  4. ติดต่อตัวแทน/โบรกเกอร์: หากคุณซื้อประกันผ่านตัวแทนหรือโบรกเกอร์ สามารถติดต่อสอบถามจากผู้ขายได้โดยตรง โดยเฉพาะผู้ที่มีกรมธรรม์ประกันรถกับทาง แรบบิท แคร์ สามารถเช็คกรมธรรม์ ออนไลน์ได้ง่าย ๆ 2 วิธี ดังนี้

     

        4.1 เช็คประกันออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ Rabbit Care เพียงกรอกเลขระบุตัวตน ก็สามารถเช็ควันหมดอายุประกันรถ รวมทั้งตรวจสอบเบี้ยประกันรถได้เลย!

        4.2 เช็คประกันออนไลน์ผ่านไลน์ เพียงเข้ามาที่ Line Rabbit Care จากนั้น กดเมนูบนขวา "ตรวจสอบสถานะกรมธรรม์รถ" พร้อมกรอกข้อมูล บัตรประชาชน หรือ หนังสือเดินทาง หรือ เบอร์มือถือ เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถดูรายละเอียดกรมธรรม์ประกันรถของตัวเองได้แล้ว

 

  1. ตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชัน หรือ เว็บไซต์: บริษัทประกันภัย หรือโบรกเกอร์บางแห่ง อาจมีแอปพลิเคชันหรือระบบออนไลน์ให้ลูกค้าล็อกอินเข้าไปตรวจสอบข้อมูลกรมธรรม์ รวมถึงวันหมดอายุได้

 

ข้อแนะนำ: ควรตั้งแจ้งเตือนในปฏิทิน หรือบันทึกวันหมดอายุไว้ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อให้มีเวลาเพียงพอในการเปรียบเทียบเบี้ยประกันและดำเนินการต่ออายุให้ทันเวลา

ประกันรถยนต์ ลดหย่อนภาษีได้ไหม?

คำถามยอดฮิต ประกันรถยนต์ ลดหย่อนภาษีได้ไหม? คำตอบคือ โดยทั่วไปแล้ว เบี้ยประกันรถยนต์ ภาคสมัครใจ ไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้

ประกันรถยนต์ จ่ายยังไง?

ประกันรถยนต์ จ่ายยังไง ปัจจุบัน โบรกเกอร์ประกันภัยอย่าง แรบบิท แคร์ มีช่องทางการชำระเงินที่หลากหลายเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า ดังนี้

 

  • ชำระเงินโดยตรงด้วยเงินสด เช็ค แคชเชียร์เช็ค หรือตั๋วแลกเงิน
  • ชำระเงินด้วยบัตรเครดิตทุกประเภทที่ร่วม VISA, Master Card และบัตรเดบิตทุกธนาคาร
  • ชำระเงินผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร โดยนำแบบฟอร์มใบแจ้งชำระเงิน (Pay-in Slip) ไปชำระด้วยเงินสดหรือเช็คได้ที่ธนาคารทั่วประเทศ
  • ชำระผ่านตู้เอทีเอ็ม

 

ข้อควรทราบ:

 

  • การผ่อนชำระ: หากเลือกผ่อนชำระ ต้องชำระให้ตรงตามกำหนด หากผิดนัดชำระ ความคุ้มครองอาจถูกระงับหรือยกเลิกได้
  • ช่องทางออนไลน์: การชำระเงินผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันมีความสะดวก รวดเร็ว และมักมีโปรโมชั่นพิเศษ
  • หลักฐานการชำระเงิน: ไม่ว่าจะชำระด้วยวิธีใด ควรเก็บหลักฐานการชำระเงินไว้เสมอ จนกว่าจะได้รับกรมธรรม์ฉบับจริง

 

การเลือกช่องทางการชำระเงินขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละบุคคล แต่การผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตเป็นทางเลือกที่ช่วยแบ่งเบาภาระได้ดี โดยเฉพาะสำหรับ ประกันชั้น 1 ที่มีราคาสูง

โปรโมชั่นประกันรถ จาก แรบบิท แคร์ มีอะไรบ้าง?

แรบบิท แคร์ (Rabbit Care) ในฐานะโบรกเกอร์ประกันภัยชั้นนำ มีการนำเสนอ โปรโมชั่นประกันรถยนต์ ที่น่าสนใจจากหลากหลาย บริษัทประกันภัย พันธมิตร เพื่อให้ลูกค้าได้รับความคุ้มค่าสูงสุดจากโปรโมชั่นประกันรถที่ แรบบิท แคร์ มี อย่างไรก็ตาม โปรดทราบว่าโปรโมชั่นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดโดยตรงกับเจ้าหน้าที่ของ แรบบิท แคร์

 

  • ส่วนลดค่าเบี้ยประกัน: มอบส่วนลดพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ หรือลูกค้าต่ออายุ
  • ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน: ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย ด้วยการผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการโดยไม่มีดอกเบี้ย
  • ของแถมและบัตรกำนัล: เช่น บัตรเติมน้ำมัน, บัตรกำนัลห้างสรรพสินค้า หรือของสมนาคุณอื่นๆ ตามแต่ละช่วงเวลาที่กำหนด
  • บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน (Roadside Assistance): บริการเสริมฟรี เช่น บริการรถยก รถลาก บริการช่างซ่อมฉุกเฉิน บริการเติมน้ำมัน หรือบริการให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง
  • โปรโมชั่นร่วมกับพันธมิตร: ส่วนลดหรือสิทธิพิเศษเมื่อใช้บริการอื่นๆ ที่เป็นพันธมิตรกับ แรบบิท แคร์
  • CareOS เทคโนโลยีเปรียบเทียบราคา: แรบบิท แคร์ มีระบบช่วยเช็คและเปรียบเทียบประกันรถยนต์ ใบเสนอราคา ประกันรถยนต์ จากหลายบริษัท ทำให้ลูกค้าเห็นข้อเสนอที่หลากหลายและเลือกแผนที่คุ้มค่าที่สุดได้ง่ายขึ้น

 

ข้อแนะนำ: หากคุณกำลังมองหา ประกันรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็น ประกันรถเก๋งประกันรถกระบะ, ประกันรถยนต์เก่า, ประกันรถยนต์ไฟฟ้า หรือประเภทอื่นๆ เช่น ประกันรถแบบรายเดือน, ประกันรถตามไมล์ การเช็คโปรโมชั่นประกันรถล่าสุดจาก แรบบิท แคร์ ถือเป็นทางเลือกที่ดี คุณสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ของ แรบบิท แคร์ หรือติดต่อสอบถามโดยตรง เพื่อรับคำแนะนำ เปรียบเทียบราคา และเลือกซื้อประกันที่ตรงใจพร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษได้

 

หมายเหตุ: โปรโมชั่นประกันรถและเงื่อนไขต่างๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลง โปรดตรวจสอบรายละเอียดล่าสุดกับทาง แรบบิท แคร์ ก่อนตัดสินใจซื้อประกันรถทุกครั้ง โดยลูกค้าทุกท่านสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ แรบบิท แคร์ ได้ที่ โทร 1438 ได้ทุกวัน เวลา 8.00 - 21.00 น.

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา