ประกันรถยนต์ แคร์ ครบ คุ้ม
โปรโมชันประกันรถยนต์
เช็กสถานะกรมธรรม์ง่าย ๆ ได้เอง
ราคาเริ่มต้นของแผน
กว่า 30 บริษัท
ซื้อประกันรถยนต์กับแรบบิท แคร์ แคร์คุณเรื่องอะไรบ้าง
ประหยัดได้
ไม่มีเคลม ปีต่อไป ลด 50% ระบุชื่อผู้ขับขี่ลดเพิ่ม 20%
คำถามเกี่ยวกับประกันรถยนต์ออนไลน์
ประกันรถยนต์คืออะไร?
ประกันรถยนต์ คือ สัญญาที่ทำขึ้นระหว่างเจ้าของรถยนต์ (ผู้เอาประกันภัย) กับ บริษัท ประกันรถยนต์ (ผู้รับประกันภัย) โดยผู้เอาประกันภัยตกลงชำระค่าเบี้ยประกันตามที่กำหนด และบริษัทประกันภัยตกลงที่จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ บุคคลภายนอก หรือผู้ขับขี่/ผู้โดยสาร ตามเงื่อนไขความคุ้มครองที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันตามที่ระบุไว้ เช่น อุบัติเหตุ การชน การคว่ำ รถหาย ไฟไหม้ หรือภัยธรรมชาติ
พูดง่ายๆ ก็คือ คุณจ่ายเงินจำนวนหนึ่ง (เบี้ยประกัน) ให้บริษัทประกัน เพื่อแลกกับการที่บริษัทจะเข้ามาช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับรถยนต์ของคุณตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา ประกันรถ นั่นเอง
ประกันรถยนต์ เป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับผู้ใช้รถทุกคน การทำความเข้าใจว่า ประกันรถยนต์คืออะไร คุ้มครองอะไรบ้าง, และ ประกันรถยนต์ มีอะไรบ้าง แต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร จะช่วยให้คุณเลือกซื้อความคุ้มครองได้อย่างเหมาะสม การมี ประกันรถ ที่ดี ไม่เพียงแต่ช่วยคุ้มครองความเสียหายทางการเงิน แต่ยังมอบความอุ่นใจให้คุณในทุกการเดินทาง อย่าลืม เช็คประกันและต่ออายุให้ตรงเวลาเสมอ และหากกำลังมองหาข้อเสนอดีๆ ลองพิจารณาโปรโมชั่นจากโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถืออย่าง แรบบิท แคร์ เพื่อความคุ้มค่าสูงสุดของคุณ
การมีรถยนต์คู่ใจสักคันนำมาซึ่งความสะดวกสบายในการเดินทาง แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันบนท้องถนน ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ รถหาย หรือไฟไหม้ ประกันรถยนต์ หรือ ประกันรถ (รวมถึง car insurance ในภาษาอังกฤษ) จึงเปรียบเสมือนเกราะป้องกันทางการเงินที่สำคัญ ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประกันรถยนต์คุ้มครองอะไรบ้าง?
สำหรับคำถามที่ว่า ประกันรถยนต์ คุ้มครองอะไรบ้าง หรือ ประกันรถคุ้มครองอะไรบ้าง นั้น ขอบเขตความคุ้มครองของ ประกันรถยนต์ นั้นแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับ ประเภท ประกันรถยนต์ ที่คุณเลือกซื้อ แต่โดยหลักการแล้ว ประกันรถยนต์คุ้มครองอะไรบ้าง สามารถแบ่งความคุ้มครองหลักๆ ได้ดังนี้:
1.) ความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย
- การชน: คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากการชนกับยานพาหนะทางบก (รถชนรถ) หรือการชนกับวัตถุอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยานพาหนะ (ชนเสา ชนกำแพง ชนต้นไม้) รวมถึงการคว่ำ (สำหรับประกันบางประเภท เช่น ชั้น 1)
- รถยนต์สูญหาย: คุ้มครองกรณีรถยนต์ถูกโจรกรรม ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์ (สำหรับประกันบางประเภท เช่น ชั้น 1, 2+)
- ไฟไหม้: คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์ที่เกิดจากไฟไหม้ ไม่ว่าจะเกิดจากอุบัติเหตุหรือเหตุอื่นๆ (สำหรับประกันบางประเภท เช่น ชั้น 1, 2+)
- ภัยธรรมชาติ (เช่น น้ำท่วม): คุ้มครองความเสียหายจากภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ลูกเห็บ หรือลมพายุ (มักเป็นความคุ้มครองหลักของ ประกันรถยนต์ชั้น 1 และอาจมีใน 2+ บางแผน)
2.) ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก
- ความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย: คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล ค่าสินไหมทดแทนกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ ของบุคคลภายนอก (คู่กรณี) ที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่รถยนต์คันเอาประกันภัยเป็นฝ่ายผิด
- ความเสียหายต่อทรัพย์สิน: คุ้มครองค่าซ่อมแซมทรัพย์สินของบุคคลภายนอก (เช่น รถยนต์ของคู่กรณี รั้วบ้าน หรือทรัพย์สินอื่นๆ) ที่เสียหายจากอุบัติเหตุที่รถยนต์คันเอาประกันภัยเป็นฝ่ายผิด
3.) ความคุ้มครองเพิ่มเติมตามเอกสารแนบท้าย
- ค่ารักษาพยาบาล: สำหรับประกันภาคสมัครใจ จะมีความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลของผู้ขับขี่และผู้โดยสารในรถยนต์คันเอาประกันภัยจากอุบัติเหตุ
- การประกันตัวผู้ขับขี่: คุ้มครองหลักทรัพย์ที่ใช้ในการประกันตัวผู้ขับขี่ในคดีอาญา กรณีเกิดอุบัติเหตุเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัส
ดังนั้น คำถามที่ว่า ประกันรถคุ้มครองอะไรบ้าง คำตอบจะขึ้นอยู่กับประเภทของประกันที่คุณเลือกเป็นสำคัญ
ประกันรถยนต์มีกี่ประเภท? ประกันรถยนต์มีอะไรบ้าง?
ประกันรถยนต์ มีกี่ประเภท? ประกันรถ มีอะไรบ้าง? โดยหลักๆ แล้ว ประกันรถยนต์ ในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ:
1.) ประกันรถยนต์ภาคบังคับ (Compulsory Motor Insurance - CMI)
หรือที่เรียกกันติดปากว่า "พ.ร.บ." (พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535) เป็น ประกันรถยนต์ ที่กฎหมายบังคับให้รถยนต์ทุกคันที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกต้องมี หากไม่มีจะต่อทะเบียนรถยนต์ไม่ได้ และมีโทษปรับ โดยจะให้คุ้มครองเฉพาะบุคคล ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร หรือบุคคลภายนอก (คู่กรณี) ที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกี่ยวกับรถคันนั้นๆ แต่ไม่คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือตัวรถยนต์
นอกจากนั้น ยังให้ความคุ้มครองเป็นค่าเสียหายเบื้องต้นโดยจะจ่ายทันทีโดยไม่ต้องรอพิสูจน์ความผิด และมีค่าสินไหมทดแทนส่วนเกินค่าเสียหายเบื้องต้นโดยจะจ่ายเมื่อพิสูจน์แล้วว่าผู้ประสบภัยไม่ใช่ฝ่ายผิด
2.) ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ (Voluntary Motor Insurance)
- เป็น ประกันรถ ที่เจ้าของรถยนต์จะทำหรือไม่ก็ได้ ไม่ได้มีกฎหมายบังคับ
- ซื้อเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความคุ้มครองให้ครอบคลุมมากขึ้น นอกเหนือจากที่ พ.ร.บ. คุ้มครอง
- คุ้มครองทั้งบุคคลและทรัพย์สิน รวมถึงตัวรถยนต์คันเอาประกันภัยด้วย (ตามประเภทที่เลือก)
- มีหลายประเภทให้เลือกตามความต้องการและงบประมาณ ซึ่งจะกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป
ดังนั้น หากถามว่า ประกันรถยนต์ มีอะไรบ้าง หรือ ประกันรถมีอะไรบ้าง ก็จะตอบได้ว่ามีทั้งภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และภาคสมัครใจนั่นเอง ส่วน ประกันรถมีกี่ประเภท ถ้าแบ่งตามกฎหมายก็มี 2 ประเภทนี้
ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ คือ อะไร?
ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ คือ กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ที่เจ้าของรถเลือกซื้อเพิ่มเติมด้วยความสมัครใจ เพื่อขยายความคุ้มครองให้มากกว่า ประกันรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ซึ่งคุ้มครองเฉพาะความเสียหายต่อชีวิตและร่างกายของบุคคลเท่านั้น
ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ จะให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากขึ้น ทั้งความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย (เช่น ค่าซ่อมรถตัวเอง) ความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก (เช่น ค่าซ่อมรถคู่กรณี) รวมถึงความคุ้มครองเพิ่มเติมอื่นๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาลของผู้ขับขี่/ผู้โดยสาร การประกันตัวผู้ขับขี่ และความคุ้มครองกรณีรถหาย/ไฟไหม้ ซึ่งรายละเอียดความคุ้มครองจะแตกต่างกันไปใน ประกันรถยนต์แต่ละประเภท ของภาคสมัครใจ
ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ มีกี่ประเภท? ประกันรถยนต์ แต่ละประเภท คุ้มครองอะไรบ้าง?
ประกันภาคสมัครใจ มีกี่ประเภท? ประกันรถแต่ละประเภทคุ้มครองอะไรบ้าง? โดยทั่วไปแล้ว บริษัท ประกันรถยนต์ จะแบ่ง ประกันรถยนต์ ภาคสมัครใจ ออกเป็นประเภทหลักๆ ตามระดับความคุ้มครอง ซึ่ง ประกันรถยนต์ แต่ละชั้น ประกันรถยนต์แต่ละประเภท มีรายละเอียดดังนี้
1.) ประกันรถยนต์ชั้น 1
- ให้ความคุ้มครอง ครอบคลุมมากที่สุด
- คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย ทั้งกรณีชนแบบมีคู่กรณี (รถชนรถ) และไม่มีคู่กรณี เช่น ชนเสา, ชนกำแพง, ครูดฟุตบาท, หินดีด, คว่ำ ฯลฯ
- คุ้มครองกรณีรถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ และภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ฯลฯ
- คุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกทั้งชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน
- คุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล ค่ารักษาพยาบาล และการประกันตัวผู้ขับขี่
เหมาะสำหรับ: รถใหม่ป้ายแดง, ผู้ขับขี่มือใหม่, ผู้ที่ต้องการความคุ้มครองสูงสุด หรือผู้ที่จอดรถในพื้นที่เสี่ยง
2.) ประกันรถยนต์ 2+ (ประกันชั้น 2 พลัส / ประเภท 2+)
- คุ้มครอง คล้ายชั้น 1 แต่มีเงื่อนไขสำคัญ คือ คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย เฉพาะกรณีชนกับยานพาหนะทางบกเท่านั้น และต้องมีคู่กรณี (ไม่คุ้มครองการชนแบบไม่มีคู่กรณี เช่น ชนเสา คว่ำเอง ฯลฯ)
- คุ้มครองกรณีรถยนต์สูญหายและไฟไหม้
- คุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกทั้งชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน
- คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล และการประกันตัวผู้ขับขี่ โดยรายละเอียดอาจแตกต่างกันไปในแต่ละแผน
- เบี้ยประกันถูกกว่าชั้น 1
เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ขับรถค่อนข้างชำนาญ, ต้องการความคุ้มครองใกล้เคียงชั้น 1 ในราคาที่ย่อมเยาลง, มีความเสี่ยงเรื่องรถหาย/ไฟไหม้ แต่ไม่กังวลเรื่องชนแบบไม่มีคู่กรณีมากนัก
3.) ประกันรถยนต์ 3+ (ประกันชั้น 3 พลัส / ประเภท 3+)
- คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย เฉพาะกรณีชนกับยานพาหนะทางบกเท่านั้น และต้องมีคู่กรณี (เหมือน 2+)
- ไม่คุ้มครอง กรณีรถยนต์สูญหายและไฟไหม้
- คุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกทั้งชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน
- คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล และการประกันตัวผู้ขับขี่ โดยรายละเอียดอาจแตกต่างกันไปในแต่ละแผน
- เบี้ยประกันถูกกว่าชั้น 2+
เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ขับรถชำนาญ, ไม่ค่อยได้ใช้รถ หรือใช้ในเส้นทางที่ไม่พลุกพล่าน, ไม่กังวลเรื่องรถหาย/ไฟไหม้, ต้องการคุ้มครองค่าซ่อมรถตัวเองเมื่อเกิดเหตุรถชนรถ
4.) ประกันรถยนต์ชั้น 2 (ประเภท 2)
- ไม่คุ้มครอง ความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัยเลย (ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีคู่กรณี)
- คุ้มครองกรณีรถยนต์สูญหายและไฟไหม้
- คุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกทั้งชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน
- คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล และการประกันตัวผู้ขับขี่ โดยรายละเอียดอาจแตกต่างกันไปในแต่ละแผน
- เบี้ยประกันถูกกว่า 2+ และ 3+
เหมาะสำหรับ: รถที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน, จอดในที่ปลอดภัย แต่ยังกังวลเรื่องรถหาย/ไฟไหม้ และต้องการคุ้มครองคู่กรณี
5.) ประกันรถยนต์ชั้น 3 (ประเภท 3)
- ให้ความคุ้มครอง น้อยที่สุด ในบรรดาประกันภาคสมัครใจ
- ไม่คุ้มครอง ความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัยเลย
- ไม่คุ้มครอง กรณีรถยนต์สูญหายและไฟไหม้
- คุ้มครอง เฉพาะความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ทั้งชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน
- อาจมีความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล และการประกันตัวผู้ขับขี่บ้างเล็กน้อย (ขึ้นอยู่กับแผน)
- เบี้ยประกันถูกที่สุด
เหมาะสำหรับ: รถเก่าที่มีอายุหลายปี, รถที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน, ผู้ที่ต้องการเน้นความคุ้มครองให้คู่กรณีเป็นหลัก และสามารถรับผิดชอบค่าซ่อมรถตัวเองได้
สรุป: การเลือก ประกันรถยนต์แต่ละชั้น หรือ ประกันรถแต่ละชั้น ควรพิจารณาจากลักษณะการใช้งานรถ อายุรถ งบประมาณ และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ประกันรถยนต์ คุ้มครองทันทีไหม?
โดยทั่วไปแล้ว ประกันรถยนต์ คุ้มครองทันทีไหม? คำตอบคือ ใช่ แต่มีเงื่อนไขสำคัญคือ กรมธรรม์ต้องมีผลบังคับใช้แล้ว
- กรณีซื้อประกันใหม่ หรือต่ออายุล่วงหน้า: ความคุ้มครองจะเริ่มต้นในวันที่และเวลาที่ระบุไว้ในหน้าตารางกรมธรรม์ ซึ่งโดยปกติบริษัทประกันจะกำหนดวันเริ่มคุ้มครองตามที่ตกลงกับลูกค้า (อาจจะเป็นวันที่ชำระเงิน หรือวันที่ลูกค้าระบุ) หากชำระเงินและเอกสารครบถ้วนก่อนถึงวันเริ่มคุ้มครอง เมื่อถึงวันที่ระบุ กรมธรรม์ก็จะมีผลทันที
- กรณีซื้อประกันแบบเร่งด่วน หรือ ใกล้หมดอายุ: บาง บริษัทประกันรถยนต์ หรือโบรกเกอร์ อาจมีบริการออกเอกสารคุ้มครองชั่วคราวให้ก่อน เช่น ใบยืนยันการรับประกันภัย ฯลฯ ซึ่งจะมีผลคุ้มครองทันทีหลังจากชำระเงิน แต่กรมธรรม์ฉบับจริงจะตามมาภายหลัง
- กรณีขาดต่ออายุ: หากปล่อยให้ประกันหมดอายุไปแล้ว ความคุ้มครองจะสิ้นสุดลงทันที หากต้องการความคุ้มครองต่อ ต้องดำเนินการซื้อใหม่ และความคุ้มครองจะเริ่มในวันที่ระบุในกรมธรรม์ฉบับใหม่
ข้อควรระวัง:
- ควรชำระเบี้ยประกันให้เรียบร้อยก่อนวันเริ่มคุ้มครองเสมอ
- ตรวจสอบวันที่และเวลาเริ่มต้นความคุ้มครองในกรมธรรม์ให้ถูกต้อง
- เก็บหลักฐานการชำระเงินและเอกสารยืนยันการรับประกันภัยไว้เสมอ
ดังนั้น เพื่อความมั่นใจ ควรสอบถามเงื่อนไขการเริ่มคุ้มครองกับบริษัทหรือตัวแทน/โบรกเกอร์ให้ชัดเจน ณ ตอนที่ซื้อ
ประกันรถยนต์ เชิงพาณิชย์ รถเช่า มีอะไรบ้าง?
รถยนต์ที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ เช่น รถบรรทุก รถกระบะขนส่งสินค้า รถแท็กซี่ รถตู้สาธารณะ หรือ รถเช่า มีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุสูงกว่ารถยนต์ส่วนบุคคลทั่วไป เนื่องจากมีการใช้งานที่บ่อยกว่าและวิ่งในระยะทางที่ไกลกว่า ดังนั้น จึงต้องใช้ ประกันรถยนต์เชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะ ซึ่งมักจะมีเบี้ยประกันที่สูงกว่า และอาจมีเงื่อนไขความคุ้มครองที่แตกต่างจากประกันรถยนต์ส่วนบุคคล
โดยทั่วไปแล้ว ประเภทของประกันจะคล้ายกับรถยนต์ส่วนบุคคล คือ มีทั้ง พ.ร.บ. (ภาคบังคับ) และภาคสมัครใจ (ชั้น 1, 2+, 3+, 3) แต่จะระบุในกรมธรรม์ชัดเจนว่าเป็นการใช้งานเชิงพาณิชย์ หรือสำหรับรถเช่า
ความแตกต่างที่สำคัญ:
- อัตราเบี้ยประกัน: สูงกว่ารถยนต์ส่วนบุคคล เนื่องจากความเสี่ยงสูงกว่า
- เงื่อนไขความคุ้มครอง: อาจมีเงื่อนไขเพิ่มเติม หรือข้อยกเว้นบางประการที่แตกต่างกัน เช่น จำนวนผู้โดยสารที่คุ้มครอง ลักษณะสินค้าที่บรรทุก
- ทุนประกัน: อาจพิจารณาตามลักษณะการใช้งานและประเภทของรถ
- การรับประกัน: บางบริษัทอาจมีข้อจำกัดในการรับประกันรถยนต์ในเชิงพาณิชย์บางประเภท หรือรถเช่า
ประกันรถกระบะ ที่ใช้ในการบรรทุกสินค้าเพื่อการค้า ก็ถือเป็น ประกันรถยนต์เชิงพาณิชย์ ประเภทหนึ่ง ซึ่งเบี้ยประกันจะแตกต่างจากประกันสำหรับรถกระบะที่ใช้ส่วนบุคคล
สำหรับรถเช่า: ผู้ประกอบการรถเช่าจำเป็นต้องทำประกันภัยสำหรับรถเช่าโดยเฉพาะ ซึ่งครอบคลุมความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับตัวรถและบุคคลภายนอก ผู้เช่าควรตรวจสอบเงื่อนไขความคุ้มครองของ ประกันรถ ที่มาพร้อมกับรถเช่าให้ละเอียดก่อนตัดสินใจเช่า
ข้อแนะนำ: หากคุณใช้รถยนต์เพื่อการค้า ขนส่ง หรือให้เช่า ควรแจ้งวัตถุประสงค์การใช้งานให้ บริษัทประกันภัย ทราบอย่างถูกต้อง เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสมและหลีกเลี่ยงปัญหาในการเคลมภายหลัง การใช้ประกันผิดประเภท เช่น ใช้ประกันส่วนบุคคลกับรถที่วิ่งรับจ้าง เป็นต้น อาจทำให้บริษัทปฏิเสธความคุ้มครองได้
ประกันรถเก่า ประกันรถมือสอง ควรเลือกอย่างไร?
การเลือกประกันสำหรับ ประกันรถเก่า หรือ ประกันรถมือสอง มีข้อควรพิจารณาดังนี้
- อายุรถ: รถยนต์ที่มีอายุมาก บริษัทประกันภัยหลายแห่งอาจไม่รับทำ ประกันชั้น 1 หรือหากรับก็จะมีเบี้ยประกันที่สูงมาก และอาจมีเงื่อนไขจำกัดเรื่องทุนประกัน (วงเงินคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถ)
- สภาพรถและการใช้งาน: หากรถยังอยู่ในสภาพดี และคุณยังต้องการความคุ้มครองที่ครอบคลุม เช่น ค่าซ่อมรถตัวเองกรณีชนแบบไม่มีคู่กรณี หรือกังวลเรื่องรถหาย/ไฟไหม้ อาจพิจารณา ประกันรถยนต์ 2+ ซึ่งให้ความคุ้มครองใกล้เคียงชั้น 1 ในส่วนที่สำคัญ (ยกเว้นการชนแบบไม่มีคู่กรณี) และเบี้ยถูกกว่า
- ความเสี่ยง: หากคุณขับขี่อย่างระมัดระวัง ใช้รถน้อย หรือจอดในที่ปลอดภัย และไม่กังวลเรื่องค่าซ่อมรถตัวเองมากนัก อาจเลือก ประกันรถยนต์ 3+ (คุ้มครองซ่อมรถเราเฉพาะกรณีรถชนรถ) หรือ ประกันชั้น 3 (คุ้มครองเฉพาะคู่กรณี) เพื่อเน้นประหยัดค่าเบี้ย
- งบประมาณ: ประกันรถยนต์เก่ามักมีค่าเบี้ยที่ถูกลงตามประเภทความคุ้มครองที่ลดหลั่นกันมา ควรเลือกให้เหมาะสมกับงบประมาณที่ตั้งไว้
- ทุนประกัน: สำหรับรถเก่า ทุนประกัน (วงเงินสูงสุดที่บริษัทจะจ่ายกรณีรถเสียหายสิ้นเชิงหรือสูญหาย) จะไม่สูงเท่ารถใหม่ ควรตรวจสอบว่าทุนประกันที่ได้รับเหมาะสมกับมูลค่าปัจจุบันของรถหรือไม่
คำแนะนำ: สำหรับประกันสำหรับรถมือสองที่เพิ่งซื้อมา หากอายุรถยังไม่เกิน 5-7 ปี การเลือก ประกันชั้น 1 อาจยังคุ้มค่า แต่หากรถมีอายุมากขึ้น การพิจารณาประกันชั้น 2+ หรือ 3+ น่าจะเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลกว่า ทั้งนี้ ควรเปรียบเทียบ ใบเสนอราคา ประกันรถยนต์ จากหลายๆ บริษัทเพื่อหาข้อเสนอที่ดีที่สุด
เช็คประกันรถยนต์หมดอายุ ทำอย่างไร?
การปล่อยให้ประกันรถยนต์หมดอายุ โดยเฉพาะ พ.ร.บ. ถือว่าผิดกฎหมาย และหากเกิดอุบัติเหตุในช่วงที่ประกันขาด คุณจะต้องรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมดด้วยตัวเอง ดังนั้น การ เช็คประกันรถยนต์หมดอายุ เป็นสิ่งที่ควรทำเป็นประจำ สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
- ดูจากกรมธรรม์ประกันภัย: วิธีที่ง่ายและแน่นอนที่สุดคือการเปิดดูเอกสารกรมธรรม์ ประกันรถยนต์ (ทั้ง พ.ร.บ. และภาคสมัครใจ) ที่คุณได้รับ จะมีระบุ "วันที่เริ่มคุ้มครอง" และ "วันที่สิ้นสุดความคุ้มครอง" ไว้อย่างชัดเจน
- ดูจากป้ายวงกลม (ป้ายภาษี): ที่กระจกหน้ารถ จะมีป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีรถยนต์ประจำปี ซึ่งจะระบุวันสิ้นอายุภาษี ปกติแล้ววันหมดอายุของ พ.ร.บ. จะตรงกับวันสิ้นอายุภาษี เพราะต้องต่อ พ.ร.บ. ก่อนจึงจะต่อภาษีได้ วิธีนี้ใช้เช็ควันหมดอายุของ พ.ร.บ. ได้ แต่เช็คประกันภาคสมัครใจไม่ได้
- ติดต่อบริษัทประกันภัยโดยตรง: โทรศัพท์สอบถาม Call Center ของบริษัทประกันภัยที่คุณทำประกันไว้ โดยแจ้งหมายเลขทะเบียนรถ หรือเลขที่กรมธรรม์ เจ้าหน้าที่จะสามารถตรวจสอบวันหมดอายุให้ได้
ติดต่อตัวแทน/โบรกเกอร์: หากคุณซื้อประกันผ่านตัวแทนหรือโบรกเกอร์ สามารถติดต่อสอบถามจากผู้ขายได้โดยตรง โดยเฉพาะผู้ที่มีกรมธรรม์ประกันรถกับทาง แรบบิท แคร์ สามารถเช็คกรมธรรม์ ออนไลน์ได้ง่าย ๆ 2 วิธี ดังนี้
4.1 เช็คประกันออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ Rabbit Care เพียงกรอกเลขระบุตัวตน ก็สามารถเช็ควันหมดอายุประกันรถ รวมทั้งตรวจสอบเบี้ยประกันรถได้เลย!
4.2 เช็คประกันออนไลน์ผ่านไลน์ เพียงเข้ามาที่ Line Rabbit Care จากนั้น กดเมนูบนขวา "ตรวจสอบสถานะกรมธรรม์รถ" พร้อมกรอกข้อมูล บัตรประชาชน หรือ หนังสือเดินทาง หรือ เบอร์มือถือ เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถดูรายละเอียดกรมธรรม์ประกันรถของตัวเองได้แล้ว
- ตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชัน หรือ เว็บไซต์: บริษัทประกันภัย หรือโบรกเกอร์บางแห่ง อาจมีแอปพลิเคชันหรือระบบออนไลน์ให้ลูกค้าล็อกอินเข้าไปตรวจสอบข้อมูลกรมธรรม์ รวมถึงวันหมดอายุได้
ข้อแนะนำ: ควรตั้งแจ้งเตือนในปฏิทิน หรือบันทึกวันหมดอายุไว้ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อให้มีเวลาเพียงพอในการเปรียบเทียบเบี้ยประกันและดำเนินการต่ออายุให้ทันเวลา
ประกันรถยนต์ ลดหย่อนภาษีได้ไหม?
คำถามยอดฮิต ประกันรถยนต์ ลดหย่อนภาษีได้ไหม? คำตอบคือ โดยทั่วไปแล้ว เบี้ยประกันรถยนต์ ภาคสมัครใจ ไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้
ประกันรถยนต์ จ่ายยังไง?
ประกันรถยนต์ จ่ายยังไง ปัจจุบัน โบรกเกอร์ประกันภัยอย่าง แรบบิท แคร์ มีช่องทางการชำระเงินที่หลากหลายเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า ดังนี้
- ชำระเงินโดยตรงด้วยเงินสด เช็ค แคชเชียร์เช็ค หรือตั๋วแลกเงิน
- ชำระเงินด้วยบัตรเครดิตทุกประเภทที่ร่วม VISA, Master Card และบัตรเดบิตทุกธนาคาร
- ชำระเงินผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร โดยนำแบบฟอร์มใบแจ้งชำระเงิน (Pay-in Slip) ไปชำระด้วยเงินสดหรือเช็คได้ที่ธนาคารทั่วประเทศ
- ชำระผ่านตู้เอทีเอ็ม
ข้อควรทราบ:
- การผ่อนชำระ: หากเลือกผ่อนชำระ ต้องชำระให้ตรงตามกำหนด หากผิดนัดชำระ ความคุ้มครองอาจถูกระงับหรือยกเลิกได้
- ช่องทางออนไลน์: การชำระเงินผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันมีความสะดวก รวดเร็ว และมักมีโปรโมชั่นพิเศษ
- หลักฐานการชำระเงิน: ไม่ว่าจะชำระด้วยวิธีใด ควรเก็บหลักฐานการชำระเงินไว้เสมอ จนกว่าจะได้รับกรมธรรม์ฉบับจริง
การเลือกช่องทางการชำระเงินขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละบุคคล แต่การผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตเป็นทางเลือกที่ช่วยแบ่งเบาภาระได้ดี โดยเฉพาะสำหรับ ประกันชั้น 1 ที่มีราคาสูง
โปรโมชั่นประกันรถ จาก แรบบิท แคร์ มีอะไรบ้าง?
แรบบิท แคร์ (Rabbit Care) ในฐานะโบรกเกอร์ประกันภัยชั้นนำ มีการนำเสนอ โปรโมชั่นประกันรถยนต์ ที่น่าสนใจจากหลากหลาย บริษัทประกันภัย พันธมิตร เพื่อให้ลูกค้าได้รับความคุ้มค่าสูงสุดจากโปรโมชั่นประกันรถที่ แรบบิท แคร์ มี อย่างไรก็ตาม โปรดทราบว่าโปรโมชั่นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดโดยตรงกับเจ้าหน้าที่ของ แรบบิท แคร์
- ส่วนลดค่าเบี้ยประกัน: มอบส่วนลดพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ หรือลูกค้าต่ออายุ
- ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน: ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย ด้วยการผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการโดยไม่มีดอกเบี้ย
- ของแถมและบัตรกำนัล: เช่น บัตรเติมน้ำมัน, บัตรกำนัลห้างสรรพสินค้า หรือของสมนาคุณอื่นๆ ตามแต่ละช่วงเวลาที่กำหนด
- บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน (Roadside Assistance): บริการเสริมฟรี เช่น บริการรถยก รถลาก บริการช่างซ่อมฉุกเฉิน บริการเติมน้ำมัน หรือบริการให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง
- โปรโมชั่นร่วมกับพันธมิตร: ส่วนลดหรือสิทธิพิเศษเมื่อใช้บริการอื่นๆ ที่เป็นพันธมิตรกับ แรบบิท แคร์
- CareOS เทคโนโลยีเปรียบเทียบราคา: แรบบิท แคร์ มีระบบช่วยเช็คและเปรียบเทียบประกันรถยนต์ ใบเสนอราคา ประกันรถยนต์ จากหลายบริษัท ทำให้ลูกค้าเห็นข้อเสนอที่หลากหลายและเลือกแผนที่คุ้มค่าที่สุดได้ง่ายขึ้น
ข้อแนะนำ: หากคุณกำลังมองหา ประกันรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็น ประกันรถเก๋ง, ประกันรถกระบะ, ประกันรถยนต์เก่า, ประกันรถยนต์ไฟฟ้า หรือประเภทอื่นๆ เช่น ประกันรถแบบรายเดือน, ประกันรถตามไมล์ การเช็คโปรโมชั่นประกันรถล่าสุดจาก แรบบิท แคร์ ถือเป็นทางเลือกที่ดี คุณสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ของ แรบบิท แคร์ หรือติดต่อสอบถามโดยตรง เพื่อรับคำแนะนำ เปรียบเทียบราคา และเลือกซื้อประกันที่ตรงใจพร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษได้
หมายเหตุ: โปรโมชั่นประกันรถและเงื่อนไขต่างๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลง โปรดตรวจสอบรายละเอียดล่าสุดกับทาง แรบบิท แคร์ ก่อนตัดสินใจซื้อประกันรถทุกครั้ง โดยลูกค้าทุกท่านสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ แรบบิท แคร์ ได้ที่ โทร 1438 ได้ทุกวัน เวลา 8.00 - 21.00 น.