

ขั้นตอนการซื้อกรมธรรม์

ขั้นตอนที่ 1
เลือกแผนประกันที่เหมาะกับคุณ

ขั้นตอนที่ 2
กรอกรายละเอียดส่วนตัว และ

ขั้นตอนที่ 3
รอรับกรมธรรม์
คำถามและข้อสงสัยที่พบบ่อย
ประกันบ้าน จําเป็นไหม?
บ้านคือทรัพย์สินชิ้นใหญ่และมีความสำคัญทางใจอย่างยิ่งสำหรับใครหลายคน การปกป้องดูแลบ้านจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยบริหารความเสี่ยงให้กับบ้านของคุณก็คือ ประกันที่อยู่อาศัย ดังนั้น คำถามยอดฮิตที่ว่า ประกันบ้านจําเป็นหรือไม่ นั้น คำตอบสั้นๆ คือ "แนะนำอย่างยิ่ง" แต่จะ "จำเป็น" โดยสิ้นเชิงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฉพาะของแต่ละบุคคล
- กรณีมีสินเชื่อบ้าน
หากกู้เงินซื้อบ้านกับสถาบันการเงิน ส่วนใหญ่แล้วธนาคารจะ บังคับ ให้ผู้ขอสินเชื่อทำ ประกันอัคคีภัยบ้าน เป็นอย่างน้อย เพื่อเป็นหลักประกันว่าหากเกิดเหตุไฟไหม้จนบ้านเสียหาย ธนาคารจะยังคงได้รับเงินทุนคืน อย่างไรก็ตาม ประกันอัคคีภัยบ้าน มักคุ้มครองเพียงความเสียหายจากไฟไหม้ ฟ้าผ่า และภัยระเบิดบางประเภทเท่านั้น ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อความเสี่ยงอื่นๆ การพิจารณาทำ ประกันบ้าน แบบครอบคลุม (Home Insurance) เพิ่มเติมจึงเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด เพื่อให้ได้ความคุ้มครองที่กว้างขึ้น
- กรณีบ้านปลอดภาระ
หากบ้านไม่มีภาระผูกพันกับธนาคาร เจ้าของบ้านไม่มีข้อบังคับทางกฎหมายให้ต้องทำ ประกันบ้าน ใดๆ แต่ลองถามตัวเองดูว่า หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วมใหญ่ หรือพายุพัดสร้างความเสียหายรุนแรง เราจะมีศักยภาพทางการเงินเพียงพอที่จะซ่อมแซมหรือสร้างบ้านใหม่ทั้งหมดหรือไม่? ทั้งนี้ ประกันบ้าน จะทำหน้าที่เป็นเครื่องมือโอนย้ายความเสี่ยงทางการเงินก้อนโตเหล่านี้ไปยังบริษัทประกันภัย ด้วยค่าเบี้ยประกันที่น้อยกว่ามูลค่าความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นมาก การมี ประกันบ้าน จึงเปรียบเสมือนการซื้อความสบายใจและหลักประกันให้กับทรัพย์สินอันมีค่าของคุณ
- ปัจจัยเสริมความจำเป็น
ปัจจัยเสริมที่ใช้พิจารณาในการทำประกันที่อยู่อาศัยจะมีทั้ง ที่ตั้ง บ้านอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยธรรมชาติ (ประกันบ้าน น้ำท่วมบ่อย, ใกล้แนวรอยเลื่อนจึงควรทำประกันบ้าน แผ่นดินไหว, พื้นที่ลมพายุ) หรือไม่? มูลค่า บ้านและทรัพย์สินภายในมีมูลค่าสูงแค่ไหน? และ ความสามารถในการรับความเสี่ยง เจ้าของบ้านยอมรับความเสียหายทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นได้มากน้อยเพียงใด?
ดังนั้น ถึงแม้ ประกันที่อยู่อาศัย อาจไม่ใช่ข้อบังคับสำหรับทุกคน (ยกเว้นกรณีมีสินเชื่อ) แต่ด้วยมูลค่าบ้านที่สูงและความเสี่ยงที่ไม่คาดฝัน การทำ ประกันบ้าน ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อปกป้องทรัพย์สินและลดภาระทางการเงินในยามเกิดเหตุร้ายแรง ดังนั้น ทาง แรบบิท แคร์ จึงขอแนะนำว่า "ควรมีอย่างยิ่ง"
ประกันบ้าน คุ้มครองอะไรบ้าง?
ขอบเขตความคุ้มครองของ ประกันที่อยู่อาศัย นั้นแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของกรมธรรม์และแผนประกันที่เลือก แต่โดยทั่วไป ประกันที่อยู่อาศัย จะคุ้มครองอะไรบ้างนั้น สามารถแบ่งความคุ้มครองหลักๆ ได้ดังนี้:
1. ความเสียหายต่อสิ่งปลูกสร้าง (ตัวบ้าน)
- ภัยพื้นฐาน: ไฟไหม้, ฟ้าผ่า, ภัยระเบิด (มักรวมอยู่ใน ประกันอัคคีภัยบ้าน พื้นฐาน)
- ประกันบ้าน ภัยธรรมชาติ: ลมพายุ, ประกันบ้าน น้ำท่วม, ประกันบ้าน แผ่นดินไหว, ลูกเห็บ (มักเป็นส่วนหนึ่งของ ประกันบ้าน แบบครอบคลุม หรือเป็นความคุ้มครองเพิ่มเติม) ดูรายละเอียดในหัวข้อถัดไป
- ภัยจากน้ำ: ความเสียหายจากน้ำรั่วซึม ท่อน้ำแตก น้ำล้นจากถังเก็บน้ำ (ไม่รวมน้ำท่วมจากภายนอก)
- ภัยอื่นๆ: เช่น ภัยจากอากาศยาน, ภัยเนื่องจากควัน, ภัยจลาจลและนัดหยุดงาน (ขึ้นอยู่กับกรมธรรม์)
2. ความเสียหายต่อทรัพย์สินภายในบ้าน
ประกันบ้าน จะคุ้มครองเฟอร์นิเจอร์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, เสื้อผ้า และของใช้ส่วนตัวต่างๆ ที่อยู่ภายในบ้าน จากภัยที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ เช่น ไฟไหม้, น้ำท่วม, โจรกรรม ฯลฯ โดยวงเงินความคุ้มครองสำหรับทรัพย์สินภายในมักจะแยกต่างหากจากตัวบ้าน และอาจมีข้อยกเว้นสำหรับทรัพย์สินบางประเภท เช่น เงินสด, ทองคำ, โบราณวัตถุ, ต้นฉบับเอกสาร ฯลฯ ซึ่งอาจต้องซื้อความคุ้มครองเพิ่ม
3. การโจรกรรม
ประกันบ้าน คุ้มครองความเสียหายต่อตัวบ้านที่เกิดจากการงัดแงะ และการสูญหายของทรัพย์สินภายในบ้านอันเนื่องมาจากการลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์ โดยทั่วไปมักมีเงื่อนไขเรื่องร่องรอยการงัดแงะ
4. ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก
คุ้มครองความเสียหายต่อร่างกายหรือทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ที่เกิดขึ้นภายในบริเวณบ้าน และเจ้าของบ้านต้องรับผิดตามกฎหมาย (เช่น เพื่อนมาบ้านแล้วลื่นล้ม, กิ่งไม้ในบ้านหักไปโดนรถเพื่อนบ้าน)
ข้อควรจำ: สิ่งสำคัญที่สุดคือการอ่านรายละเอียดใน "กรมธรรม์" (Policy) ของ ประกันบ้าน ที่คุณสนใจอย่างละเอียด เพราะแต่ละบริษัทและแต่ละแผนประกันอาจมีขอบเขตความคุ้มครอง (Coverage), ข้อยกเว้น (Exclusions), วงเงินจำกัดความรับผิด (Sub-limits) และค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible) ที่แตกต่างกันไป การเข้าใจเงื่อนไขเหล่านี้จะช่วยให้คุณทราบแน่ชัดว่า ประกันบ้าน คุ้มครองอะไรบ้าง ในแผนที่คุณเลือก
ประกันบ้าน ภัยธรรมชาติ คุ้มครองอย่างไรบ้าง?
ความคุ้มครอง ประกันบ้าน เกี่ยวกับภัยธรรมชาติ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ ประกันบ้าน แบบครอบคลุมแตกต่างจาก ประกันอัคคีภัยบ้าน พื้นฐาน โดยทั่วไปจะคุ้มครองความเสียหายต่อตัวบ้านและทรัพย์สินภายในที่เกิดจากภัยธรรมชาติต่างๆ ดังนี้:
- ภัยลมพายุ: คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากแรงลมพัดโดยตรง เช่น หลังคาพัง, ผนังเสียหาย, ต้นไม้ล้มทับบ้าน (มักมีเงื่อนไขเกี่ยวกับความเร็วลมขั้นต่ำ)
- ประกันบ้าน น้ำท่วม: คุ้มครองความเสียหายจากน้ำที่ไหลล้น ทะลัก หรือซึมเข้าสู่ตัวบ้านจากแหล่งน้ำภายนอก เช่น แม่น้ำลำคลอง, ฝนตกหนักจนระบายไม่ทัน
- ประกันบ้าน แผ่นดินไหว: คุ้มครองความเสียหายต่อโครงสร้างบ้านและทรัพย์สินภายในที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของแผ่นดิน
- ภัยลูกเห็บ: คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากก้อนน้ำแข็ง (ลูกเห็บ) ตกใส่ เช่น หลังคาทะลุ, กระจกแตก
การเลือก ประกันบ้าน ที่มีความคุ้มครองเกี่ยวกับภัยธรรมชาติที่เพียงพอจึงสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหากบ้านของคุณตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย
ประกันบ้าน แผ่นดินไหว คุ้มครองอย่างไรบ้าง?
ความคุ้มครอง ประกันบ้าน แผ่นดินไหว เป็นส่วนหนึ่งของความคุ้มครองภัยธรรมชาติในกรมธรรม์ ประกันบ้าน แบบครอบคลุม หรืออาจเป็นภัยเพิ่มเติมที่ซื้อแยกต่างหาก
- ความคุ้มครอง: ชดเชยความเสียหายต่อโครงสร้างสิ่งปลูกสร้าง (ตัวบ้าน) และทรัพย์สินภายในที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ อันเนื่องมาจากการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวโดยตรง รวมถึงความเสียหายต่อเนื่องที่เกิดจากไฟไหม้ตามหลังแผ่นดินไหว (หากไฟไหม้เป็นภัยที่คุ้มครอง)
- ความสำคัญ: แม้ประเทศไทยจะไม่ได้อยู่ในเขตแผ่นดินไหวรุนแรงเท่าบางประเทศ แต่ก็มีความเสี่ยงในบางพื้นที่ (เช่น ภาคเหนือ ภาคตะวันตก) และแผ่นดินไหวจากประเทศเพื่อนบ้านก็อาจส่งผลกระทบได้ การมี ประกันบ้าน แผ่นดินไหว จึงช่วยเพิ่มความอุ่นใจ
หากเจ้าของบ้านมีความกังวลเรื่องความเสี่ยงจากแผ่นดินไหว แรบบิท แคร์ แนะนำว่า ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าแผน ประกันบ้าน มีความคุ้มครอง ประกันบ้าน แผ่นดินไหว รวมอยู่ด้วย และมีวงเงินที่เหมาะสม
ประกันบ้าน น้ำท่วม คุ้มครองอย่างไรบ้าง?
ประกันบ้าน น้ำท่วม เป็นอีกหนึ่งความคุ้มครองภัยธรรมชาติที่สำคัญอย่างยิ่งในประเทศไทย เนื่องจากหลายพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วมอยู่บ่อยครั้ง
- ความคุ้มครอง: ชดเชยความเสียหายต่อตัวบ้านและทรัพย์สินภายใน (ตามที่ระบุในกรมธรรม์) ที่เกิดจากน้ำซึ่งไหลบ่า ท่วมท้น หรือเอ่อล้นจากแหล่งน้ำสาธารณะ เช่น แม่น้ำ คลอง ทะเลสาบ หรือเกิดจากน้ำฝนที่ตกหนักจนท่วมขังและไหลเข้าสู่ตัวอาคาร
- ความแตกต่างจาก "ภัยจากน้ำ": ต้องแยก "ประกันบ้าน น้ำท่วม" (Flooding) ออกจาก "ภัยจากน้ำ" (Water Damage) ซึ่งหมายถึงน้ำรั่วจากท่อประปาภายในบ้านหรือน้ำล้นจากถังเก็บน้ำ ซึ่งมักเป็นความคุ้มครองพื้นฐานใน ประกันบ้าน ส่วนใหญ่ แต่ ประกันบ้าน น้ำท่วม จะเน้นน้ำจากภายนอกมากกว่า
สำหรับผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม การตรวจสอบเงื่อนไขความคุ้มครอง ประกันบ้าน น้ำท่วม อย่างละเอียดถี่ถ้วน และเลือกแผนที่ให้วงเงินคุ้มครองสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้ คือสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
ประกันบ้าน กรณีเสียชีวิต ควรทำอย่างไร
หลายคนเข้าใจผิดว่า ประกันบ้าน จะจ่ายเงินก้อนเมื่อเจ้าของบ้านเสียชีวิตเหมือนประกันชีวิต ซึ่ง ไม่ถูกต้อง ประกันบ้าน คุ้มครอง "ตัวทรัพย์สิน" (บ้าน) ไม่ใช่ "ตัวบุคคล" (เจ้าของบ้าน)
แล้วในกรณีที่เจ้าของบ้านเสียชีวิต ควรทำอย่างไรกับประกันบ้านบ้าง
- กรมธรรม์ยังคงมีผล: เมื่อเจ้าของบ้าน (ผู้เอาประกัน) เสียชีวิต กรมธรรม์ ประกันบ้าน จะยังคงมีผลคุ้มครองตัวบ้านต่อไปตามระยะเวลาที่เหลืออยู่ ตราบใดที่ยังมีการชำระเบี้ยประกัน
- แจ้งบริษัทประกัน: ทายาทหรือผู้จัดการมรดก ควรแจ้ง ให้บริษัทประกันภัยทราบถึงการเสียชีวิตของผู้เอาประกันโดยเร็วที่สุด พร้อมแสดงเอกสารหลักฐาน เช่น ใบมรณบัตร คำสั่งศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดก (ถ้ามี)
- การเปลี่ยนแปลงผู้รับประโยชน์/ผู้เอาประกัน: ทายาทหรือผู้จัดการมรดกอาจดำเนินการขอเปลี่ยนแปลงชื่อผู้เอาประกันในกรมธรรม์เป็นชื่อของทายาทผู้รับโอนกรรมสิทธิ์บ้าน หรือคงสถานะเดิมไว้จนกว่ากรมธรรม์จะหมดอายุ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัทประกันและสถานะทางกฎหมายของทรัพย์สิน
- การชำระเบี้ยประกัน: หากต้องการให้ความคุ้มครองดำเนินต่อไป ทายาทจะต้องรับผิดชอบในการชำระเบี้ยประกันตามกำหนด
- การเคลมประกัน (หากบ้านเสียหายหลังผู้เอาประกันเสียชีวิต): หากเกิดความเสียหายต่อตัวบ้าน (เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม) หลังจากผู้เอาประกันเสียชีวิตแล้ว ทายาทโดยธรรมหรือผู้จัดการมรดกสามารถเป็นผู้ดำเนินการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน (เคลมประกัน) ได้ตามปกติ โดยแสดงหลักฐานการเป็นทายาทหรือผู้มีอำนาจจัดการมรดกประกอบการเคลม
ดังนั้น ประกันบ้าน ในกรณีเสียชีวิตไม่ใช่การจ่ายเงินชดเชยการเสียชีวิต แต่เป็นการดูแลให้ความคุ้มครองตัวบ้านยังคงดำเนินต่อไป และทายาทต้องดำเนินการแจ้งเรื่องและจัดการกรมธรรม์ให้ถูกต้อง
ประกันอัคคีภัยบ้าน คุ้มครองอย่างไรบ้าง?
ประกันอัคคีภัยบ้าน คือรูปแบบพื้นฐานที่สุดของ ประกันบ้าน มักเป็นประเภทที่สถาบันการเงินบังคับให้ทำเมื่อขอสินเชื่อบ้าน ซึ่ง ประกันอัคคีภัยบ้าน จะให้ความคุ้มครองอย่างไรบ้างนั้น โดยหลักแล้วจะให้ความคุ้มครองที่จำกัดกว่า ประกันบ้าน แบบครอบคลุม ดังนี้
1. ภัยหลักที่คุ้มครอง:
- ไฟไหม้ (Fire): รวมถึงความเสียหายจากควัน และน้ำที่ใช้ในการดับเพลิง
- ฟ้าผ่า (Lightning): ความเสียหายโดยตรงต่อตัวบ้านและทรัพย์สินภายในบางส่วน (เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า อาจมีวงเงินจำกัด หรือไม่คุ้มครองเลย ต้องดูรายละเอียด)
- ภัยระเบิด (Explosion): การระเบิดของแก๊สหุงต้มหรือจากสาเหตุอื่นๆ ตามที่ระบุในกรมธรรม์
2. สิ่งที่มักจะคุ้มครอง:
- ตัวโครงสร้างสิ่งปลูกสร้าง (บ้าน): เป็นหลักประกันให้ธนาคาร วงเงินคุ้มครองมักจะเท่ากับวงเงินกู้ หรือตามที่ตกลงกัน
- ทรัพย์สินภายใน: ประกันอัคคีภัยบ้าน พื้นฐาน อาจ ไม่คุ้มครองทรัพย์สินภายในเลย หรือคุ้มครองในวงเงินที่ต่ำมาก
3. สิ่งที่มัก "ไม่" คุ้มครอง (ต้องซื้อเพิ่ม หรืออยู่ในประกันบ้านแบบครอบคลุม):
- ภัยธรรมชาติ (ประกันบ้าน น้ำท่วม, ลมพายุ, ประกันบ้าน แผ่นดินไหว, ลูกเห็บ)
- ภัยจากน้ำ (ท่อประปาแตกภายใน)
- ภัยจากการโจรกรรม
- ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก
- ค่าเช่าที่พักชั่วคราว
โดยสรุปแล้ว ประกันอัคคีภัยบ้าน เป็นเกราะป้องกันด่านแรกที่สำคัญ โดยเฉพาะความเสียหายจากไฟไหม้ แต่หากต้องการความคุ้มครองที่ครอบคลุมความเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับบ้าน การอัปเกรดหรือซื้อ ประกันบ้าน แบบครอบคลุมเพิ่มเติมจาก ประกันอัคคีภัยบ้าน เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาอย่างยิ่ง
ประกันบ้าน ราคา เท่าไร ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง?
ราคาของ ประกันบ้าน หรือค่าเบี้ยประกัน (Premium) ของ ประกันบ้าน ไม่ได้มีอัตราตายตัว แต่จะแตกต่างกันไป โดยปัจจัยหลักๆ ที่มีผลต่อราคา ประกันบ้าน ได้แก่:
1. ทุนประกันภัย (Sum Insured): ปัจจัยสำคัญที่สุด คือ วงเงินความคุ้มครองที่คุณต้องการสำหรับ
- ตัวบ้าน (สิ่งปลูกสร้าง): คำนวณจากราคาประเมินค่าก่อสร้างใหม่ (ไม่รวมราคาที่ดิน) หรือตามที่ตกลงกับบริษัทประกัน
- ทรัพย์สินภายใน: มูลค่ารวมของเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และของใช้ต่างๆ ภายในบ้านที่คุณต้องการคุ้มครอง
- ยิ่งทุนประกันสูง ค่าเบี้ย ราคา ประกันบ้าน ก็จะสูงตามไปด้วย
2. ที่ตั้งและความเสี่ยงภัย:
- พื้นที่เสี่ยงภัยธรรมชาติ: บ้านที่ตั้งอยู่ในเขตเสี่ยงน้ำท่วมสูง เสี่ยงแผ่นดินไหว หรือเสี่ยงลมพายุรุนแรง จะมีราคาค่าเบี้ย ประกันบ้าน แพงกว่า
- ความใกล้ไกลสถานีดับเพลิง: บ้านที่อยู่ใกล้สถานีดับเพลิงอาจได้ส่วนลดเบี้ยประกัน
- สภาพแวดล้อม: เช่น อยู่ใกล้แหล่งเชื้อเพลิง หรือโรงงานอุตสาหกรรม ก็อาจมีผลต่อเบี้ยประกัน
3. ลักษณะสิ่งปลูกสร้าง:
- วัสดุที่ใช้: บ้านคอนกรีตล้วน (ชั้น 1) มักมีเบี้ยถูกกว่าบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ (ชั้น 2) หรือบ้านไม้ล้วน (ชั้น 3) เนื่องจากมีความเสี่ยงด้านอัคคีภัยต่างกัน
- อายุอาคาร: อาคารเก่ามากอาจมีเบี้ยสูงขึ้น หรือมีเงื่อนไขการรับประกันที่เข้มงวดขึ้น
- จำนวนชั้น ความซับซ้อนของโครงสร้าง
4. ขอบเขตความคุ้มครอง: ประเภทกรมธรรม์: ประกันบ้าน แบบครอบคลุม (คุ้มครองหลายภัย) ย่อมมีราคาสูงกว่า ประกันอัคคีภัยบ้าน
5. ค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible): คือจำนวนเงินที่คุณต้องรับผิดชอบเองก่อนที่ประกันจะเริ่มจ่าย หากคุณเลือกค่าเสียหายส่วนแรกสูง ค่าเบี้ย ประกันบ้าน มักจะถูกลง แต่เจ้าของบ้านต้องจ่ายเองมากขึ้นเมื่อเกิดเหตุ)
6. มาตรการป้องกันภัย: การติดตั้งอุปกรณ์ป้องกัน เช่น สัญญาณกันขโมย, อุปกรณ์ตรวจจับควัน, ถังดับเพลิง อาจช่วยให้ได้รับส่วนลดค่าเบี้ยประกัน
7. ประวัติการเคลม: หากมีประวัติการเคลมบ่อยครั้ง อาจส่งผลต่อเบี้ยประกันในปีถัดไป
8. นโยบายและโปรโมชั่นของบริษัทประกัน: แต่ละบริษัทมีโครงสร้างราคาและโปรโมชั่นที่แตกต่างกัน
การทราบปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าทำไม ประกันบ้าน จึงมีราคาแตกต่างกัน และช่วยในการเปรียบเทียบ ประกันบ้าน ได้ดียิ่งขึ้น
ประกันบ้าน ลดหย่อนภาษีได้ไหม?
คำถามที่ว่า ประกันบ้าน ลดหย่อนภาษีได้หรือไม่นั้น เป็นอีกหนึ่งคำถามที่พบบ่อย คำตอบคือ โดยทั่วไปแล้ว เบี้ย ประกันบ้าน (Home Insurance) และ ประกันอัคคีภัยบ้าน (Fire Insurance) ที่คุ้มครองความเสียหายต่อตัวทรัพย์สิน (บ้าน) นั้น "ไม่สามารถ" นำไปใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทยได้ เนื่องจากเบี้ย ประกันบ้าน ถือเป็นค่าใช้จ่ายในการคุ้มครองทรัพย์สิน ไม่เข้าเกณฑ์การลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามกฎหมายปัจจุบันนั่นเอง
ประกันบ้าน ที่ไหนดี ซื้อผ่านแรบบิท แคร์ มีข้อดีอย่างไร?
เมื่อพิจารณาแล้วว่าจะซื้อ ประกันบ้าน เปรียบเทียบ และซื้อผ่านช่องทางโบรกเกอร์ประกันภัยออนไลน์ที่น่าเชื่อถืออย่าง แรบบิท แคร์ ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากมีข้อดีหลายประการที่ช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มความคุ้มค่า ดังนี้:
- ศูนย์รวมการเปรียบเทียบ: แรบบิท แคร์ เป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมแผน ประกันบ้าน จากบริษัทประกันภัยชั้นนำหลายแห่งไว้ในที่เดียว ช่วยให้คุณสามารถเปรียบเทียบ ประกันบ้าน ความคุ้มครองและราคา ประกันบ้าน ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลาติดต่อทีละบริษัท
- ความสะดวกสบาย: สามารถเปรียบเทียบ ดูรายละเอียด และตัดสินใจซื้อ ประกันบ้าน ได้ง่ายๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยประหยัดเวลาและลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก
- ข้อมูลประกอบการตัดสินใจ: แพลตฟอร์มมักจะนำเสนอข้อมูลความคุ้มครองของแต่ละแผนอย่างชัดเจน มีการจัดเรียงข้อมูลเพื่อให้เปรียบเทียบได้ง่ายขึ้น ช่วยให้คุณเข้าใจความแตกต่างของแต่ละแผน ประกันบ้าน และเลือกสิ่งที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด
- คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ: แรบบิท แคร์ มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาและตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับ ประกันบ้าน หากคุณไม่แน่ใจว่าควรเลือกแผนไหน หรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม ก็สามารถติดต่อเพื่อขอรับคำปรึกษาได้
- โปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษ: ที่ แรบบิท แคร์ มักนำเสนอโปรโมชั่นหรือส่วนลดสุดพิเศษ ซึ่งช่วยให้เบี้ย ประกันบ้าน ที่คุณจ่ายไปคุ้มค่ายิ่งขึ้น
- ช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย: มักมีตัวเลือกการชำระเงินที่ยืดหยุ่น เช่น บัตรเครดิตหรือการโอนเงิน เป็นต้น
- บริการช่วยเหลือด้านการเคลม: เจ้าหน้าที่ของ แรบบิท แคร์ ยินดีบริการให้คำแนะนำหรือช่วยเหลือในขั้นตอนการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน (เคลมประกัน) ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
โดยสรุปแล้ว การซื้อ ประกันบ้าน ผ่าน แรบบิท แคร์ เป็นทางเลือกที่ช่วยให้การหา ประกันบ้าน ที่ดีได้ง่ายขึ้น ด้วยเครื่องมือเปรียบเทียบ ประกันบ้าน ที่มีประสิทธิภาพ ความสะดวกสบาย และอาจมาพร้อมข้อเสนอที่ดีกว่า ช่วยให้คุณได้รับความคุ้มครองที่ตรงใจในราคาที่เหมาะสม