คำถามและข้อสงสัยเกี่ยวกับประกันสุขภาพ

ประกันสุขภาพ จะแบ่งประเภทความคุ้มครองทั้งหมด 4 แบบ คือ ประกันสุขภาพผู้ป่วยใน (IPD), ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก (OPD), ประกันชีวิต และประกันสุขภาพโรคร้ายแรง 

ประกันสุขภาพผู้ป่วยใน (IPD)

• เป็นประกันสุขภาพที่จะให้ความคุ้มครองแก่ผู้เอาประกันในกรณีที่เกิดอาการเจ็บป่วย หรือประสบอุบัติเหตุแล้วได้รับบาดเจ็บ ซึ่งแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าต้องพักรักษาตัวและเฝ้าระวังอาการอยู่ที่โรงพยาบาล โดยผู้เอาประกัน (ผู้ป่วย) ที่นอนพักอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง จึงจะมีสถานะเป็นผู้ป่วยใน 

ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก (OPD)

• เป็นประกันสุขภาพที่จะมอบความคุ้มครองให้กับผู้เอาประกันในกรณีที่มีอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่รุนแรงถึงขั้นต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ความคุ้มครองรูปแบบนี้มีทั้งแบบสำรองจ่ายและไม่ต้องสำรองจ่าย ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัท 

ประกันชีวิต (Life Insurance)

• ประกันชีวิตมีหลายประเภท โดยจะแยกตามลักษณะความคุ้มครองและรูปแบบของเงินผลประโยชน์ หลัก ๆ มี 5 ประเภทดังต่อไปนี้ ประกันชีวิตแบบคุ้มครองตลอดชีพ, ประกันชีวิตแบบคุ้มครองระยะสั้น, ประกันชีวิตแบบบำนาญ, ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์, ประกันชีวิตกลุ่ม, ประกันชีวิตสุขภาพ ทั้งนี้แผนประกันชีวิตทุกแผนยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ทั้งหมดตามเงื่อนไขที่กำหนด 

ประกันสุขภาพโรคร้ายแรง (Critical illness Insurance)

• ประกันที่จะมอบความคุ้มครองด้านสุขภาพ ที่ครอบคลุมไปถึงอาการเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ, โรคมะเร็ง, โรคหลอดเลือด หรือโรคอื่น ๆ ตามที่ระบุเอาไว้ในกรมธรรม์ ซึ่งประกันสุขภาพโรคร้ายแรงสำหรับโรคเหล่านี้ เป็นโรคที่เมื่อตรวจพบว่ามีอาการแล้วก็จะต้องเข้ารับการรักษาในกระบวนการที่ใช้เวลา และมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก วงเงินคุ้มครองของประกันสุขภาพโรคร้ายแรงจึงจะสูงกว่าประกันรูปแบบอื่น

ทั่วไป 

• ให้ความคุ้มครองชีวิตแก่ผู้ที่ทำประกันชีวิตเอาไว้

ทั้งนี้อัตราค่าเบี้ยประกันต่างกันที่ ช่วงอายุ เพศ และทุนประกัน

ประกันสุขภาพผู้ป่วยใน (IPD) เป็นประกันสุขภาพที่จะให้ความคุ้มครองแก่ผู้เอาประกันในกรณีที่เกิดอาการเจ็บป่วย หรือประสบอุบัติเหตุแล้วได้รับบาดเจ็บ ซึ่งแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าต้องพักรักษาตัวและเฝ้าระวังอาการอยู่ที่โรงพยาบาล โดยผู้เอาประกัน (ผู้ป่วย) ที่นอนพักอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง จึงจะมีสถานะเป็นผู้ป่วยใน

ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก (OPD) เป็นประกันสุขภาพที่จะมอบความคุ้มครองให้กับผู้เอาประกันในกรณีที่มีอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่รุนแรงถึงขั้นต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ความคุ้มครองรูปแบบนี้มีทั้งแบบสำรองจ่ายและไม่ต้องสำรองจ่าย ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัทครับ

ราคาเบี้ยประกันภัยนั้นจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาจากทางประกันภัย ยกตัวอย่างเช่นผู้เอาประกันภัย เพศชาย อายุ 35 ปี กรณีสมัครเฉพาะแผน IPD เท่านั้น เบี้ยเฉลี่ยโดยประมาณ 15,000 - 18,000 บาทต่อปี ด้วยทุนประกันภัยประมาณ 700,000 ถึง 1,000,000 บาทต่อปี และหากผู้เอาประกันภัย สมัครแผน IPD และ OPD เบี้ยเฉลี่ยโดยประมาณ 25,000 - 30,000 บาทต่อปี (ด้วยวงเงินความคุ้มครอง OPD 2,500 - 3,000 ต่อครั้ง)

ประกันสุขภาพโรคร้ายแรง (Critical illness Insurance) เป็นประกันที่จะมอบความคุ้มครองด้านสุขภาพ ที่ครอบคลุมไปถึงอาการเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ, โรคมะเร็ง, โรคหลอดเลือด หรือโรคอื่น ๆ ตามที่ระบุเอาไว้ในกรมธรรม์ ซึ่งประกันสุขภาพโรคร้ายแรงสำหรับโรคเหล่านี้ เป็นโรคที่เมื่อตรวจพบว่ามีอาการแล้วก็จะต้องเข้ารับการรักษาด้วยกระบวนการที่ใช้เวลา และมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก วงเงินคุ้มครองของประกันสุขภาพโรคร้ายแรงจึงจะสูงกว่าประกันรูปแบบอื่น

1. เพราะความเสี่ยงจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และอื่น ๆ อีกมากมาย

2. เพราะความเสี่ยงจากมลพิษทางอากาศ เช่น ฝุ่น PM 2.5, ควันจากท่อไอเสีย และควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ซึ่งหากสูดดมเข้าไปเป็นจำนวนมาก จะทำให้เกิดโรคมะเร็งหลอดลม, มะเร็งปอด โรคแทรกซ้อน และอื่น ๆ อีกมากมาย

3. เพราะทุกคนมีสิทธิ์เป็นโรคร้ายในอนาคต ซึ่งค่ารักษาที่ต้องจ่ายอาจแพงหลักล้าน การทำประกันจะช่วยคุ้มครองค่าใช้จ่ายโดยที่คุณลูกค้าไม่ต้องเดือดร้อนหรือมีปัญหาเรื่องเงินให้ต้องกังวล

4. หมดกังวลเมื่อเจอโรคร้ายหรืออุบัติเหตุไม่คาดฝัน จนต้องนอนโรงพยาบาลนาน ๆ เพื่อรักษาตัวเอง ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อเงินเดือนหรือรายได้ เพราะทางประกันมีความคุ้มครองเงินชดเชยรายได้มอบให้คุณลูกค้า

5. นอกจากการทำประกันจะช่วยคุ้มครองความเสี่ยงเรื่องค่ารักษาแล้ว ยังเป็นวิธีการออมเงินอย่างหนึ่ง ในกรณีที่คุณลูกค้าไม่ได้เคลมประกันตลอดระยะสัญญา ทางบริษัทประกันจะคืนค่าเบี้ยประกันปีสุดท้ายให้

6. มีที่ปรึกษาด้านสุขภาพ โดยจะมีทีมแพทย์ ทีมพยาบาล และทีมให้ความรู้เรื่องโรคภัย ซึ่งจะทำหน้าที่ให้คำแนะนำคุณลูกค้าอยู่ตลอด และให้การดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลสำหรับโรคร้ายแรง รวมถึงให้คำปรึกษาการดูแลตนเองให้สุขภาพดี

ประกันโรคมะเร็ง และประกันโรคร้ายแรง ในแต่ละแผนจะมีรายละเอียดความคุ้มครองที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งผู้ทำประกันภัยต้องศึกษารายละเอียดกรมธรรม์ก่อนว่าแผนที่คุณสนใจให้ความคุ้มครองโรคภัยอะไรบ้าง ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นโรคร้ายแรงที่ต้องใช้การรักษาเป็นพิเศษ หรือโรคที่มีค่ารักษาแพง ดังนั้นรูปแบบของการชดเชยประกันภัยโรคร้ายแรง มักจะมาในรูปแบบเจอ/จ่าย/จบ ซึ่งก็คือหากตรวจพบเจอโรคร้ายก็รับเงินก้อนชดเชยตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ หรือประกันบางแผนก็อาจจะชดเชยในรูปแบบของค่ารักษาพยาบาลตามวงเงินที่กำหนดก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ประกันสุขภาพโรคร้ายแรงบางแผนยังมีการให้เงินชดเชยรายวันอีกด้วย

หากต้องการประกันสุขภาพโรคร้ายแรง หรือประกันชีวิตโรคร้ายแรง ที่มีวงเงินความคุ้มครองสูง เบี้ยประกันต่ำ พร้อมบริการดี เลือกเปรียบเทียบแผนประกันกับเราแรบบิท แคร์ครับ

ราคาค่าเบี้ยประกันจะแตกต่างกันตาม ช่วงอายุ เพศ ทุนประกัน และแผนประกัน ที่คุณลูกค้าเลือกครับ

คุณลูกค้าสามารถใช้บริการปรึกษาแพทย์ เมื่อซื้อประกันสุขภาพกับทาง แรบบิท แคร์ สามารถทำได้ครบจบเพียงแอด Line Official Account @rabbitcare เพื่อเริ่มใช้ “บริการปรึกษาคุณหมอออนไลน์”

จากนั้น กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน เลือกนัดหมายวันเวลา และแพทย์ที่ต้องการขอรับคำปรึกษา ทังนี้บริการปรึกษาแพทย์ออนไลน์นั้น จะรับปรึกษาปัญหาสุขภาพในโรคภัยทั่วไป ไม่รวมโรคร้ายแรง และในกรณีที่มียาต้องทาน สามารถรับใบสั่งยาออนไลน์ เพื่อรับยาที่ร้านขายยาใกล้บ้านหรือใช้บริการส่งยาถึงบ้านได้เลย

คือการประกันความคุ้มครองสำหรับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล จากการเจ็บป่วยด้วยภัยและอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นครับ

แรบบิท แคร์มีแผนประกันที่ครอบคลุมทั้งแบบบุคคลและแบบครอบครัวให้บริการครับ

คือแบบสอบถามปัญหาสุขภาพ เพื่อเปรียบเทียบว่าแผนประกันนั้นสามารถให้ความคุ้มครองคุณลูกค้าได้หรือไม่ครับ

ระยะผ่อนผันคือช่วงเวลาที่โดยปกติกรมธรรม์ประกันภัยจะมีเงื่อนไขผ่อนผันการชำระเบี้ยประกันภัยออกไประยะหนึ่ง ประมาณ 30-60 วัน จากวันถึงกำหนดชำระ และในระหว่างระยะผ่อนผันนี้ สัญญาจะยังคงมีผลบังคับตามปกติครับ

ระยะเวลารอคอย คือ ระยะเวลาที่ผู้ซื้อประกันได้รับกรมธรรม์เรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่สามารถเคลมประกันได้ครับ ซึ่งการเคลมประกันนั้น จะเคลมได้เมื่อพ้นระยะเวลารอคอย โดยมีเงื่อนไขแตกต่างกัน ดังนี้ การเริ่มนับให้รอตั้งแต่วันที่บริษัทเริ่มวันคุ้มครอง หรือวันที่อนุมัติกรมธรรม์/กรมธรรม์มีผลบังคับ โดยระยะเวลารอคอย ของแต่ละแผนประกันจะเป็นไปตามเงื่อนไขของบริษัทประกันนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น

- แผนประกันสุขภาพทั่วไป จะมีระยะเวลารอคอย 30 วัน

- แผนประกันโรคร้ายแรง และโรคเฉพาะกลุ่ม อย่างเช่น ก้อนเนื้อ ถุงน้ำ การตัดทอลซิล นิ่ว อะดีนอยด์ ตัดต้อเนื้อ ต้อกระจก เส้นเลือดขอดที่ขา เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ จะมีระยะเวลารอคอย 90 วัน และ 120 วัน "

การสมัครแผนประกันสุขภาพส่วนใหญ่ ไม่ต้องตรวจสุขภาพก่อนการทำประกันภัยนะครับ แต่อย่างไรก็ตามเราขอแนะนำให้คุณลูกค้าควรมีการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เพื่อหาความเสี่ยงและความผิดปกติตามคำแนะนำของแพทย์นะครับ

เงินก้อน คือ จำนวนเงินเอาประกันภัยที่บริษัทประกันภัยตกลงที่จะจ่ายเต็มจำนวนหากผู้เอาประกันภัยเกิดต้องเผชิญกับโรคที่ระบุ โดยไม่ได้อิงตามค่ารักษาพยาบาลจริงของโรคนั้น ๆ ครับ

เบี้ยประกันสามารถลดหย่อนภาษีได้ครับ โดยผู้ที่ทำประกันสุขภาพให้ตัวเองสามารถนำเบี้ยชำระมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท และกรณีทำประกันสุขภาพ ร่วมกับประกันชีวิตทั่วไปหรือเงินฝากแบบมีประกันชีวิต ต้องไม่เกิน 100,000 บาท/ปี หรือทำร่วมกับประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถนำเบี้ยรวมไปหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 215,000 บาท/ปี

โดยประกันสุขภาพที่ทำกับทาง แรบบิท แคร์ สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งเบี้ยประกันที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้  จะต้องเป็น

1. ประกันภัยที่ดูแลแบบระยะยาว (Long term care)
2. ประกันโรคร้ายแรง (Critical illnesses)
3. ประกันอุบัติเหตุที่ให้ความคุ้มครองด้านการรักษาพยาบาล การทุพพลภาพ การสูญเสียอวัยวะ
4. ประกันสุขภาพที่มีความคุ้มครองเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาล การเข้ารับการรักษาเนื่องจากอาการเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ

โดยนำเบี้ยประกันสุขภาพของพ่อแม่ หรือของตนมาขอใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งเกณฑ์การลดหย่อนภาษีในแต่ละปีอาจมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขได้ ควรตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ เสมอ ก่อนการทำประกัน

และ ผู้เอาประกันสามารถนำเบี้ยประกันชีวิตไปใช้ในการลดหย่อนภาษีได้ ตามหลักเกณฑ์ของทางกรมสรรพากร ได้ตามรายละเอียดต่อไปนี้

1. เบี้ยประกันของกรมธรรม์ประกันชีวิต สามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้สูงสุด 100,000 บาท
2. เบี้ยประกันของกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถลดหย่อนภาษีได้ 2 วิธี คือ
        2.1 แบบเดียวกับกรมธรรม์ประกันชีวิตทั่วไป
        2.2 แบบนำเบี้ยประกันบำนาญที่ยังเหลือ ไปทำการลดหย่อนภาษีเงินได้ ตามจำนวนที่จ่ายจริง ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน ลดหย่อนได้ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับเงินที่ลงทุนกับกองทุนอื่น ๆ เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และกองทุนสงเคราะห์โรงเรียนเอกชน รวมทุกรายการลดหย่อนแล้วไม่เกิน 500,000 บาท

หลักการพิจารณาการรับประกันภัยคือ บรรทัดฐานหรือเงือนไขการรับประกันภัยที่บริษัทประกันภัยกำหนดขึ้นจากหลักสถิติที่บริษัทประกันภัยสามารถรองรับความเสี่ยงภัยนั้น ๆ ได้ครับ

มีการกำหนดอายุครับ โดยจะระบุในเงื่อนไขของกรมธรรม์นั้น ๆ โดยส่วนมากจะรับที่ช่วงอายุ 15 วัน - 65 ปี หรือตามเงื่อนไขของบริษัทประกันภัย

สำหรับประกันสุขภาพที่ทางเรามีให้บริการ จะมีบริษัท วิริยะประกันภัย เจนเนอราลี่ ไทยประกันชีวิต FWD LMG โตเกียวมารีนประกันชีวิต และ Aetna ครับ

เอกสารที่ต้องใช้มีเพียงบัตรประชาชนของผู้เอาประกันเท่านั้นครับ

คุณลูกค้าสามารถส่งเอกสารได้ตามช่องทางดังต่อไปนี้ครับ

• Line Official Account @rabbitcare
• Facebook Messenger : Rabbit Care
• Email : [email protected]

คุณลูกค้าสามารถแจ้งประสงค์ที่จะถอนความยินยอมข้อมูลส่วนบุคคลฯ หรือมีข้อสอบถามใด ๆ เกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลฯ ของคุณลูกค้า ภายใต้นโยบายความเป็นส่วนตัวฯ ในเว็บไซต์ https://rabbitcare.com/privacy-policy กรุณาติดต่อ แรบบิท แคร์ หรือเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลได้ที่

แรบบิท แคร์ (ซึ่งหมายความถึง บริษัท แรบบิท แคร์ จำกัด, บริษัท แรบบิท แคร์ โบรคเกอร์ จำกัด และบริษัท เอเอสเค ไดเร็ค กรุ๊ป จำกัด)

ที่อยู่ เลขที่ 1 อาคารคิวเฮ้าส์ ลุมพินี ชั้น 29 ถนนสาทรใต้ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120
อีเมล [email protected] หรือ หมายเลขโทรศัพท์ 02-022-4791