Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ

รู้จักระบบเบรครถยนต์ การดูแลผ้าเบรค และวิธีรับมือเมื่อเบรคแตก!

เบรครถยนต์เป็นเรื่องสำคัญมากที่ผู้ใช้รถทุกคนควรเรียนรู้ทั้งระบบการทำงาน วิธีดูแล และตรวจเช็กสภาพอย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญคือควรจะรู้วิธีสังเกตว่าเบรครถยนต์ที่ใช้งานอยู่มีความผิดปกติอะไรหรือไม่ เพื่อที่จะได้ทำการซ่อมแซมให้ทันท่วงทีก่อนจะเกิดอุบัติเหตุ หรือในกรณีสุดวิสัยที่สุดถ้าหากว่ารถเบรคแตกขณะที่กำลังขับขี่อยู่ ก็ควรจะมีความรู้เบื้องต้นว่าควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรให้สามารถหยุดรถได้อย่างปลอดภัยต่อทั้งตัวเอง ผู้โดยสาร และผู้ใช้ถนนท่านอื่น ๆ รวมถึงต้องทำให้เกิดความเสียหายต่อรถยนต์ให้น้อยที่สุด ดังนั้นบทความนี้ แรบบิท แคร์ จะพาทุกคนมาเจาะลึกเรื่องเบรคตั้งแต่เบื้องต้นไปจนถึงขั้นตอนการซ่อมแซมให้ครบจบในบทความเดียว!

ระบบเบรครถยนต์คืออะไร ทำงานอย่างไร?

เบรครถยนต์ มีหน้าที่เพิ่มประสิทธิภาพในการหยุดรถในทุกสภาพ โดยเบรคจะช่วยตัวควบคุมการทรงตัวของรถประกอบกันหลายส่วน

  1. ระบบควบคุมเสถียรภาพแบบไดนามิค DSC (Dynamic Stability Control) สามารถเพิ่มแรงดันเบรคเมื่อระบบเบรคเฟดหรือจม จากการที่มีก๊าซเข้าไปแทรกระหว่างตัวจานและผ้าเบรคเมื่อเบรคร้อนเกินไปทำให้การสัมผัสของจานกับผ้าเบรคไม่ดีและเบรคไม่อยู่ รวมทั้งการเพิ่มแรงดันเบรครถยนต์เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ที่ต้องหยุดรถกะทันหัน

  2. ระบบ Dry Brake เป็นระบบที่จะเปิดอัตโนมัติทันทีที่คนขับเปิดสวิตช์ปัดน้ำฝนเพื่อจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการหยุดรถบนพื้นถนนที่เปียกลื่น

  3. ระบบควบคุมการยืดเกาะแบบไดนามิค DTC (Dynamic Traction Control) จะเป็นระบบ DSC อีกรูปแบบที่ใช้สำหรับการขับออกตัวบนทางลื่นและช่วยเพิ่มแรงยืดเกาะให้กับรถ ในรถรุ่นใหม่ ๆ จะถูกผนวกรวมเข้ากับระบบ DSC แบบใหม่แล้ว

  4. ระบบควบคุมการเบรครถยนต์ขณะเข้าโค้ง CBC (Cornering Brake Control) ช่วยให้ผู้ขับสามารถใช้ความเร็วได้สูงขึ้นและยังควบคุมรถที่มีอาการลื่นไถลในขณะเข้าโค้งได้เป็นอย่างดี และทำให้ล้อหมุนฟรีขณะขับเคลื่อนน้อยลง

ระบบเบรครถยนต์ที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีอยู่ 2 แบบ คือ ดิสก์เบรค ที่ประกอบไปด้วยแผ่นจานดิสก์, ก้ามปูเบรค, (Caliper), ผ้าเบรค และ ลูกปั๊มน้ำมันเบรค ทำงานโดยเมื่อเราเหยียบเบรคระบบจะดันผ้าเบรคไปสัมผัสกับจานเบรคทำให้เกิดความฝืดจนรถหยุด รถยนต์บางรุ่นมีเบรคติดอยู่แค่ 2 ล้อหน้า แต่รถบางรุ่นใช้ดิสเบรคทั้ง 4 ล้อ ข้อดีของดิสก์เบรค คือ ถ่ายเทความร้อนและไล่น้ำออกจากระบบเบรคได้ดี ช่วยลดอาการเบรคหายหรือเบรคเฟด อีกทั้งเบรคชนิดนี้ยังทำความสะอาดและบำรุงรักษาง่าย เบรคเร็ว ตอบสนองต่อการเหยียบเบรคได้ทันที แต่จะมีราคาสูง ผ้าเบรคหมดไวต้องเปลี่ยนบ่อย และแม้จะเบรคได้เร็วกว่าแต่ก็มีแรงเบรคน้อยเพราะไม่มีระบบช่วยเสริมแรงอย่าง Multiplying Action หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Servo action อย่างในดรัมเบรค จึงทำให้คนขับต้องใช้แรงมากขึ้นในการกดเหยียบเบรครถยนต์

ระบบเบรครถยนต์แบบที่ 2 คือ ดรัมเบรค ที่ประกอบด้วยตัวดรัมเป็นโลหะรูปวงกลมติดกับดุมล้อ หมุนไปพร้อมกับล้อ และมีฝักเบรคที่ประกอบด้วย ผ้าเบรค กลไกปรับแต่งเบรค สปริงดึงกลับ ลูกสูบน้ำมันเบรค โดยสายน้ำมันเบรคจะเชื่อมต่อกับตัวลูกสูบในการดันผ้าเบรคให้ไปเสียดทางกับตัวดรัมเพื่อให้เกิดความฝืดในการชะลอความเร็วรถ ส่วนใหญ่ใช้ในรถบรรทุกหรือเป็นรถที่ขึ้นลงเขาบ่อย เพื่อให้มีแรงเบรครถยนต์ที่มากกว่าเพื่อหยุดรถโดยสู้กับแรงโน้มถ่วง รวมถึงรถยนต์ส่วนบุคคลโดยทั่วไปจะใช้เฉพาะล้อหลัง จุดเด่น คือ หยุดรถได้เร็ว เพราะก้ามเบรคและดรัมเบรคถูกยึดติดกับดุมล้อ เหมาะกับรถยนต์ที่มีน้ำหนักมาก แต่ผ้าดรัมเบรคจะมีความสามารถในการถ่ายเทความร้อนและระบายน้ำได้ไม่ดีเท่าดิสก์เบรค

เบรครถยนต์ ABS คืออะไร แตกต่างจากเบรคทั่วไปอย่างไร?

ระบบเบรค ABS หรือ Anti-Lock Brake System คือ หนึ่งในส่วนของระบบเบรคที่ถูกออกแบบมาให้ป้องกันล้อเกิดการล็อกขณะที่เกิดอุบัติเหตุหรือมีเหตุการณ์เหยียบเบรคกะทันหันจนเสี่ยงรถเสียหลักหรือยากต่อการควบคุมทิศทาง โดยระบบจะทำงานก็ต่อเมื่อเหยียบเบรคกะทันหันหรือมากกว่าปกติ

เบรครถยนต์ ABS มีระบบการทำงานอย่างไร?

การทำงานของระบบเบรค ABS ขึ้นกับ เฟืองวงแหวนที่ติดอยู่กับวงแหวนเพลาหมุนของล้อ ซึ่งทำงานเป็นระบบกลไกร่วมกับเซนเซอร์ตรวจจับอัตราการหมุนของฟันเฟือง โดยจะตรวจเช็กว่าอัตราการหมุนปกติหรือไม่ หากพบว่ามีการเหยียบเบรคกะทันหันหรือเหยียบเบรคอย่างแรง ระบบจะส่งรายงานไปยังตัวประมวลผล แล้วจะทำการคลายและจับของผ้าเบรคสลับกันซ้ำเกือบ 20 ครั้งใน 1 วินาที ทำให้การควบคุมรถยนต์ดีขึ้น จากนั้นระบบก็จะจะหยุดทำงานก็ต่อเมื่อเราผ่อนแรงกดที่แป้นเบรค ทั้งนี้ในรถบางรุ่นแป้นเหยียบอาจเกิดการสั่นหรือดันกลับได้ เพราะงั้นผู้ใช้งานรถยนต์จะต้องตั้งสติให้ดี ห้ามตกใจ เพราะอาจพลาดทำให้ระบบเบรค ABS หยุดทำงานได้

ระบบเบรครถยนต์ ABS ช่วยต่อการขับขี่อย่างไรบ้าง?

สำหรับข้อดีของ ระบบเบรค ABS ช่วยต่อการขับขี่อย่างไรบ้าง ความจริงแล้วมีมากกว่าในเรื่องของความปลอดภัย ดังนี้

1) ขับขี่ได้อย่างปลอดภัย
แน่ล่ะว่า ข้อแรกต้องเป็นเรื่องของขับขี่ได้อย่างปลอดภัย โดยระบบเบรค ABS จะสามารถลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ ตามข้อมูลจากคณะกรรมาธิการยุโรป เพราะหากเกิดอุบัติเหตุหรือสถานการณ์ที่เสี่ยงให้เกิดอุบัติเหตุ ระบบเบรครถยนต์ ABS ก็จะช่วยให้ควบคุมรถยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าแบบไม่มี ABS

2) ลดโอกาสเกิดการสูญเสีย
ไม่ใช่แค่ปลอดภัยกับผู้ขับขี่รถยนต์ที่มีระบบเบรครถยนต์ ABS แต่ยังปลอดภัยกับคนรอบข้างไปจนถึงสิ่งต่างๆ รอบตัว ลดโอกาสเกิดการสูญเสียจากปัญหารถคุมไม่อยู่จนบางทีอาจไปโดนคนอื่นที่ไม่ได้เป็นต้นเหตุของการเบรคกะทันหันได้

3) ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
แม้ว่า รถยนต์รุ่นใหม่ที่มีระบบเบรค ABS ส่วนใหญ่จะมีราคาสูงกว่ารถยนต์ที่ไม่มีระบบเหล่านี้ แต่หากลองคิดในระยะยาวความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการซ่อมแซม ค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจตามมาได้อีก

4) บริษัทประกันภัยยินดีรับประกัน และอาจได้ส่วนลดอีก
สืบเนื่องจากการประหยัดค่าใช้จ่ายและลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุนี่ล่ะที่ทำให้รถยนต์มีระบบเบรครถยนต์ ABS ได้รับการต้อนรับจากบริษัทประกันภัยทั้งหลายอย่างดี พวกเขายินดีอนุมัติรับประกันให้อย่างรวดเร็ว แถมบางทีก็อาจได้ส่วนลดเป็นพิเศษด้วยล่ะ

5) เพิ่มมูลค่าเวลาขายต่อ
ถ้าคิดอีกแง่หนึ่ง ถึงราคารถยนต์แบบมีระบบเบรค ABS จะมีราคาสูง แต่ก็ต้องยอมรับว่า เวลาขายก็ได้ราคาดีกว่า และเป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติที่ช่วยให้คนตัดสินใจซื้อต่อได้ง่ายขึ้นด้วย

ระบบเบรครถยนต์ ABS ในรถยนต์ถือเป็นหนึ่งในระบบของรถยนต์ที่มีประโยชน์กับผู้ขับขี่มาก แต่ก็อย่าลืมว่า ถึงจะมีระบบรถยนต์ที่ดีมากขนาดไหนก็ต้องใช้งานท้องถนนกันแบบระมัดระวังอยู่เสมอ เพราะแม้จะป้องกันอย่างดี แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้ เลยขอแนะนำให้สมัคร ‘ประกันรถยนต์ชั้น 1’ ของ แรบบิท แคร์ ด้วยแผนประกันที่ใช่และโปรโมชั่นที่ชอบจากพันธมิตรประกันภัยชั้นนำกว่า 30 บริษัท คุ้มค่ากับกางลงทุน ไม่หวั่นเรื่องค่าใช้จ่ายแม้เกิดเหตุไม่คาดฝัน

ควรทำอย่างไรเมื่อรถยนต์ “เบรครถยนต์แตก”

ขณะขับรถหากเกิดอาการเหยียบเบรคแล้วจม เหยียบเบรครถยนต์ซ้ำ ๆ จนรู้สึกว่าไม่สามารถเหยียบเบรคได้อีกต่อไป ให้สันนิษฐานได้เลยว่าตอนนั้นรถของเราคงเกิดอาการเบรครถยนต์แตกเป็นที่เรียบร้อย หลายคนจะเริ่มตื่นตะหนกแล้วว่า “เบรคแตก ทําไง”

เบรครถยนต์แตกทำไงดี?

  1. ตั้งสติและจับพวงมาลัยให้มั่น อย่าให้รถส่ายไปมา
  2. ค่อย ๆ ถอนคันเร่งเพื่อลดความเร็ว
  3. ย้ำเบรครถยนต์แรง ๆ ถี่ ๆ เพื่อกระตุ้นให้ระบบเบรคพอทำงานได้
  4. เหยียบคลัตช์และลดเกียร์ต่ำลงเรื่อย ๆ ในรถเกียร์ธรรมดา หรือเกียร์ 2 / เกียร์ L ในรถเกียร์ออโต้
  5. ชิดซ้ายให้เร็วที่สุดเปิดไฟฉุกเฉินและบีบแตรเพื่อส่งสัญญาณเตือนรถคันอื่น ๆ
  6. ค่อย ๆ ดึงเบรคมือขึ้นอย่างช้า ๆ จนสุด
  7. เมื่อเบรครถยนต์แตกบนทางลาดชันให้ถอนคันเร่ง ลดเกียร์ต่ำ และควรใช้เบรคมือเมื่อรถเข้าสู่ช่วงที่ลาดชันน้อย ป้องกันเครื่องยนต์เสียหายจากความร้อน

เบรครถยนต์แตกเกิดจากหลายสาเหตุ คือ น้ำมันเบรคเสื่อมสภาพจนลูกยางเสื่อมสภาพทำให้น้ำมันเบรครั่ว, น้ำมันส่งเบรคส่งแรงดันได้ไม่เต็มที่เพราะการไล่อากาศออกไปไม่หมดตอนเปลี่ยนน้ำมันเบรคใหม่, น้ำมันเบรคหมด, น้ำมันเบรคชื้นทำให้เมื่อเกิดการเสียดสีตอนเบรคน้ำจะระเหยจนทำให้ลูกสูบทำงานไม่ได้และเบรคไม่อยู่, สายเบรคขาด สายอ่อน ท่อทางเดินน้ำมันเบรครั่ว หรือการที่ผ้าเบรครถยนต์หมด ผ้าเบรคไหม้ ก็มีโอกาสทำให้รถเบรคแตกได้เช่นกัน

การซ่อมเบรครถยนต์ กรณีเบรคแตกเกิดจากการรั่วภายใน สามารถซื้อชุดซ่อมที่มี ลูกยาง, สปริง และโอริง มาเปลี่ยนเองหรือส่งซ่อมได้ ในกรณีที่ผิวด้านในกระบอกเบรคยังมีสภาพดี ไม่มีส่วนที่ขรุขระหรือในทางเทคนิคจะเรียกว่าตามดก็สามารถเปลี่ยนชุดซ่อมได้เลย แต่ถ้าหากผิวกระบอกเบรคด้านในมีร่องรอยมากควรเปลี่ยนทั้งหมดเพื่อการใช้งานในระยะยาวที่มีประสิทธิภาพ โดยราคาชุดซ่อมจะขึ้นกับรุ่นรถและร้านที่จำหน่าย ราคาเฉลี่ยตกที่ 600 - 1,000 บาทขึ้นไป ส่วนอะไหล่กระบอกเบรครถยนต์ทั้งชุดอยู่ที่ราว 3,000 บาทขึ้นไป โดยศูนย์บริการของค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ก็จะมีค่าแรงเป็นรายชั่วโมงบวกเข้าไปในค่าซ่อมเบรครถยนต์ด้วย

วิธีการดูแลเบรครถยนต์

วิธีเช็คระบบเบรครถยนต์ด้วยการสังเกต คือ เดินดูรอบ ๆ ที่ล้อแต่ละข้าง มองเข้าไปในล้อและเบรคว่ามีคราบน้ำมันเบรคซึมออกมาบ้างหรือไม่ โดยเฉพาะรถที่มีอายุมากมักจะเกิดการรั่วซึมของน้ำมันเบรคได้ง่ายกว่า และควรจะเช็คน้ำมันเบรคก่อนออกเดินทางทุกครั้ง ถ้าน้ำมันเบรคอยู่ระดับ Max หรือต่ำกว่านิดหน่อยก็ถือว่ายังปกติ แต่ถ้าน้ำมันเบรคพร่องมาก ๆ ก็เป็นไปได้ว่าผ้าเบรคเริ่มบางแล้ว ยิ่งถ้าน้ำมันเบรคลดไปเกินครึ่งหรือใกล้ระดับ Min แล้วก็ควรรีบนำรถเข้าตรวจเช็คระบบเบรค แต่ถ้าเปิดดูกระปุกน้ำมันเบรคแล้วพบว่าน้ำมันเบรคพร่องไปเยอะโดยที่ผ้าเบรคไม่ได้หมดอาจเป็นเพราะมีการรั่วซึมของระบบเบรครถยนต์เกิดขึ้นได้ ต่อจากนั้นอย่าลืมตรวจสอบลูกยางป้องกันน้ำมันรั่วด้วยการถอดล้อออก จากนั้นถอดจานเบรคแล้วเปิดยางกันฝุ่นที่ครอบตัวกระบอกปั๊มออกมา หากมีน้ำมันเบรครั่วออกมาจากจุดนั้นแปลว่าลูกยางเสื่อมและต้องเปลี่ยนโดยเร็ว

วิธีต่อมาคือการฟังเสียงผ้าเบรคสีกับจานเบรคเวลาเหยียบเบรครถยนต์ หากมีเสียง เอี๊ยด หรือเสียงที่ผิดปกติจากแต่เดิมแสดงว่าผ้าเบรคน่าจะเริ่มบางแล้ว และถ้าเสียงยิ่งดังแหลมสูงมากก็เป็นเครื่องหมายว่าถึงเวลานำรถไปเปลี่ยนผ้าเบรคได้แล้ว เพราะผ้าเบรคคงจะหมดหรือบางมาก ๆ หากฝืนใช้ต่อจะทำให้เกิดอาการเบรคจม เบรคฝืด ทำให้จานเบรคเป็นรอยนำไปสู่การเสียค่าซ่อมบำรุงเพิ่มขึ้นด้วย

การนำรถเข้าศูนย์เพื่อเช็กระบบเบรครถยนต์ สำหรับชุดเบรคล้อหน้าตามมาตรฐานการตรวจสภาพรถยนต์ทั่วไป ควรตรวจเช็กเมื่อขับขี่ถึงระยะ 5,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน ส่วนชุดเบรคล้อหลังควรตรวจเช็กเมื่อขับขี่ถึงระยะ 10,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือนเช่นกัน ท่อน้ำมันเบรคควรเช็กเมื่อขับขี่ถึงระยะ 10,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน เนื่องจากเมื่อใช้งานมาระยะหนึ่งท่อน้ำมันเบรคอาจเกิดการรั่วซึมได้ซึ่งอันตรายมาก ส่วนน้ำมันเบรครถยนต์ควรเช็กเมื่อขับขี่ถึงระยะ 40,000 กิโลเมตร หรือทุก 24 เดือน

วิธีใช้งานที่ช่วยถนอมเบรครถยนต์ อย่างแรกคือ อย่าใช้น้ำมันเบรคที่เสื่อมคุณภาพ เพราะจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการเบรคได้ เช่น จะทำให้ลูกยางป้องกันน้ำมันรั่วในกระบอกปั๊มล้อเสื่อมสภาพตามไปด้วย และจะทำให้น้ำมันเบรครั่วไหล ถัดมาคือไม่ควรนำน้ำมันเบรคต่างยี่ห้อ หรือ ต่างมาตรฐานมาใช้งานผสมกัน เพราะอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีทำให้คุณสมบัติของน้ำมันเบรคเปลี่ยนไป ดังนั้นหากต้องการเปลี่ยนยี่ห้อ หรือใช้น้ำมันเบรคที่มีมาตรฐานสูงขึ้น ควรล้างระบบเบรคก่อนเปลี่ยนถ่ายน้ำมันใหม่เข้าไปท้ายที่สุดเราต้องตรวจสอบรถยนต์อย่างสม่ำเสมอและนำรถเข้าศูนย์เพื่อตรวจเช็กสภาพให้ตรงตามรอบทุกครั้งเพื่อให้รถยนต์อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมใช้งานมากที่สุด

ผ้าเบรครถยนต์ อุปกรณ์สำคัญที่คู่ความปลอดภัยร่วมกับระบบเบรค

ผ้าเบรครถยนต์ เป็นชิ้นส่วนหนึ่งของรถยนต์ ที่ช่วยเพิ่มแรงเสียดทานโดยการกดเข้ากับดิสก์หรือ ดรัมเบรค เพื่อสร้างแรงด้านการหมุนที่เกิดขึ้นที่เกิดจากการเร่งเครื่องยนต์ไปยังชุดล้อ ส่วนมากระบบเบรคจะติดตั้งไว้คู่กับดุมล้อเสมอ ผ้าเบรครถยนต์จะอยู่ระหว่างคันขาเบรคกับดรัมเบรค ถ้าผ้าเบรคเกิดการชำรุดทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพก็จะส่งผลต่ออะไหล่ส่วนอื่นๆ ทั้งจานเบรค เบรคคาลิปเปอร์ ก็จะมีอายุการใช้งานที่น้อยลง


ผ้าเบรครถยนต์ มีกี่ประเภท?


ผ้าเบรครถยนต์จะถูกแบ่งตามวัสดุที่ใช้ในการผลิต ซึ่งปัจจุบันถูกแบ่งเป็น 5 ประเภท ได้แก่

1. ผ้าเบรค ASBESTOS : เป็นผ้าเบรคที่ทำจากแร่ใยหิน ราคาถูก สร้างแรงเสียดทานได้ดี แต่เมื่อเบรคจะเกิดเขม่าสีขาวๆ อันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ
2. ผ้าเบรค NAO : เป็นผ้าเบรคที่ทำจากใยสังเคราะห์ เช่น เส้นใยเคฟลาร์ เส้นใยเซรามิก ให้แรงเสียดทานสูง น้ำหนักเบา ควบคุมไม่ให้เกิดฝุ่นหรือเสียงได้ง่าย แต่ทนอุณหภูมิการใช้งานที่สูงมากๆ ได้ไม่ดี
3. ผ้าเบรค Semi-Metallic : เป็นผ้าเบรคที่ทำจากใยเหล็ก ทนต่อการใช้งานที่อุณหภูมิสูงได้ดี ปลอดภัยต่อระบบทางเดินหายใจ แต่มีข้อจำกัดในด้านการควบคุมไม่ให้เกิดเสียงและฝุ่น
4. ผ้าเบรค Metallic : เป็นผ้าเบรคที่ทำจากผงเหล็กละเอียด ทนต่ออุณหภูมิการใช้งานได้สูงมาก เนื้อผ้าเบรคจะหมดช้า
5. ผ้าเบรค Advance Material : เป็นผ้าเบรคที่ผลิตเทคโนโลยีชั้นสูง มีคุณลักษณะพิเศษต่างๆ ส่วนผสมของเนื้อผ้าเบรคนิ่มสร้างความฝืดได้ง่าย สามารถลดความเร็วได้ทันที ระยะเบรคสั้นลง ฝุ่นน้อย ไม่มีเสียง

นอกจากผ้าเบรครถยนต์จะมีหลายประเภทแล้ว ผ้าเบรคยังแบ่งเป็นหลายเกรดอีกด้วย

  • ผ้าเบรครถยนต์เกรดมาตรฐาน (S-Standard) : เนื้อผ้าเบรคจะมีความนิ่ม สร้างความฝืดได้ง่ายไม่ต้องอุ่นผ้าเบรคก่อน สามารถลดความเร็วได้ทันที เหมาะสำหรับใช้งานในรถยนต์ทั่วไป รถยนต์ที่ใช้ความเร็วไม่มาก
  • ผ้าเบรครถยนต์เกรดกลาง (M-Medium-Metal) : เนื้อผ้าเบรคมีส่วนผสมของโลหะอ่อน มีความแข็งปานกลาง ทนทานต่อความร้อนสะสมในการเบรคสูงขึ้นกว่าเกรดผ้าเบรคเกรดมาตรฐาน ไม่ต้องอุ่นผ้าเบรคก่อน เหมาะสำหรับใช้งานในรถยนต์ที่ใช้ความเร็วระดับปานกลาง
  • ผ้าเบรครถยนต์เกรดกึ่งแข่ง (R-Racing) : เนื้อผ้าเบรคมีการผสมของผงเนื้อโลหะในปริมาณสูง ต้องทำการอุ่นผ้าเบรคให้ร้อนก่อน เหมาะสำหรับใช้งานในรถยนต์ที่สมรรถนะสูง ใช้ความเร็วสูง มีความร้อนสะสมที่ผ้าเบรคจากการเบรคถี่ๆ เช่น รถแข่ง รถซุปเปอร์คาร์


ผ้าเบรครถยนต์ อายุการใช้งานแค่ไหน?


ผ้าเบรคจะสามารถใช้งานได้ประมาณ 48,000 – 56,000 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับลักษณะการเหยียบเบรคของผู้ขับขี่ หากเหยียบเบรคบ่อยๆ ผ้าเบรคก็จะสึกไวกว่า หรือถ้านำรถยนต์ไปตรวจสภาพแล้วพบว่าผ้าเบรคมีความหนาน้อยกว่า 3 เซนติเมตรก็ควรเปลี่ยนทันที หรือถ้าคุณมักใช้รถยนต์ขึ้น-ลงเขาบ่อย ๆ ก็อาจต้องเปลี่ยนผ้าเบรครถยนต์บ่อยกว่าปกติ


ผ้าเบรครถยนต์ ควรเปลี่ยนเมื่อไหร่?


  • เหยียบเบรคแล้วรถไม่หยุด ต้องเหยียบเบรคซ้ำๆ หรือเหยียบเบรคให้ลึกกว่าเดิม
  • เมื่อเหยียบเบรคแล้วรถยนต์หยุดช้ากว่าเดิม
  • สำหรับเบรคหลังตอนจอดรถจะต้องดึงเบรคมือสูงกว่าปกติ
  • รถบางรุ่งจะมีสัญลักษณ์ไอค่อนแจ้งเตือนผ้าเบรคใกล้หมดบนแผงคอนโซล
  • ได้ยินเสียงหวีดเวลาแตะเบรค พวงมาลัยสั่น หรือได้กลิ่นไหม้ เวลาเหยียบเบรค


เลือกผ้าเบรครถยนต์อย่างไรให้เหมาะกับรถของเรา?


การเลือกผ้าเบรคที่เหมาะสมนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง จะได้ประหยัดเงินและใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งรถยนต์แต่ละประเภทนั้นก็จะมีวิธีการเลือกผ้าเบรคที่แตกต่างกันดังนี้

ผ้าเบรครถยนต์สำหรับรถที่ใช้งานทั่วไป เช่น ขับเดินทางไปทำงาน ใช้งานปกติ แนะนำให้ใช้ผ้าเบรคแบบรุ่นมาตรฐานทั่วไปอย่าง ผ้าเบรค Semi-Metallic หรือ ผ้าเบรค ASBESTOS หรืออาจใช้ผ้าเบรครุ่นเดียวกับที่มากับรถตั้งแต่ออกมาจากโรงงาน ซึ่งทางโรงงานประกอบรถจะเลือกผ้าเลือกที่เหมาะสมกับสมรรถภาพของรถยนต์อยู่แล้ว

ผ้าเบรครถยนต์สำหรับรถสปอร์ต แนะนำให้ใช้ผ้าเบรคแบบริสซิ่ง หรือผ้าเบรคแบบสปอร์ต อย่าง Advance Material เพื่อประสิทธิภาพในการหยุดรถที่ดีกว่าเดิม สามารถลดความร้อนสะสมขณะเบรคได้เป็นอย่างดี มีความทนทาน เหมาะกับรถที่แล่นด้วยความเร็วและต้องใช้แรงเบรคเยอะ ๆ

ผ้าเบรครถยนต์สำหรับรถตู้/รถกระบะ/รถSUV แนะนำให้ใช้ผ้าเบรคแบบ Semi-metallic เพราะมีความทนทานสูง เหมาะกับการเบรคบ่อย ๆ สามารถลดความร้อนสะสมจากการใช้งานยาวนานได้


ผ้าเบรคยี่ห้อไหนดี?


การเปลี่ยนผ้าเบรครถยนต์นั้นเราแนะนำให้เลือกซื้อผ้าเบรคคุณภาพจากแบรนด์ชั้นนำ เพราะจะใช้งานยาวนานกว่า การเบรคมีคุณภาพกว่าผ้าเบรคโนเนม โดยแบรนด์ผ้าเบรคที่เป็นที่นิยมแพร่หลายนั้นมีมากมาย เช่น

  • Compact Brakes ผ้าเบรครถยนต์แบรนด์ดังระดับโลก คุณภาพคับแก้ว การผลิตได้มาตรฐานสากลคนนิยมใช้งานทั่วไป มีรุ่นให้เลือกหลายชนิดตามประเภทของรถ ไม่ว่าจะเป็นผ้าเบรคสำหรับรถยนต์ใช้งานทั่วไป ผ้าเบรครถสปอร์ต ผ้าเบรครถกระบะ ผ้าเบรครถบรรทุก
  • Bendix ผ้าเบรครถยนต์ชื่อดังที่นิยมใช้งานในประเทศเราเป็นเวลานาน การันตีคุณภาพมาตรฐานจากการผลิตด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ให้ประสิทธิภาพการหยุดรถสูง มีรุ่นให้เลือกมากมายตามประเภทของรถ
  • TRW ผ้าเบรครถยนต์แบรนด์ดังจากประเทศเยอรมนี โดยแบรนด์นี้อาจไม่ได้รับความนิยมในบ้านเรามากนัก แต่กลับเป็นที่นิยมมากในแถบยุโรป ด้วยเหตุนี้แบรนด์รถยุโรปชั้นนำจึงเลือกใช้ผ้าเบรค TRW ติดตั้งมากับรถตั้งแต่ออกจากโรงงานผลิต
  • Brembo ผ้าเบรคสุดพรีเมี่ยมที่สายเรสซิ่งเลือกใช้งาน ด้วยประสิทธิภาพสูง มีกระบวนการผลิตแบบพิเศษ ทำให้แบรนด์ผ้าเบรคนี้ได้รับการติดตั้งอยู่ในรถซุปเปอร์คาร์มากมาย
  • NEXZTER แบรนด์ผ้าเบรครถยนต์คุณภาพดี ราคาจับต้องได้ จากประเทศญี่ปุ่น ผลิตด้วยกระบวนการล้ำสมัยใช้วัสดุคุณภาพสูง ใช้งานได้อย่างทนทาน มีรุ่นให้เลือกมากมายตามประเภทและการใช้งานของรถ
  • Akebono เป็นแบรนด์ผ้าเบรคจากประเทศญี่ปุ่น ผ้าเบรคแบรนด์นี้เหมาะกับรถญี่ปุ่นและรถยุโรปทุกประเภท ลักษณะเด่นคือไร้เสียงรบกวนและสามารถใช้ได้อย่างยาวนาน มี 3 รุ่นมาให้ได้เลือกสรรกัน คือ Akebono Proact, Akebono Euro, Akebono Performance


เปลี่ยนผ้าเบรครถยนต์ราคาเท่าไหร่?


ในเมืองไทยมีร้านเปลี่ยนผ้าเบรคที่น่าเชื่อถือหลายแห่ง หากแบรนด์ดัง ๆ หน่อยก็จะเป็น Cockpit, B-quik, Bridgestone เป็นต้น หรือคุณสามารถเปลี่ยนกับอู่ซ่อมทั่วไปได้เช่นกัน โดยราคาเปลี่ยนผ้าเบรคจะขึ้นกับประเภทของผ้าเบรครวมถึงค่าบริการของร้านผู้ให้บริการ โดยศูนย์บริการหรือคาร์แคร์ชั้นนำจะคิดราคาเปลี่ยนผ้าเบรครถยนต์ที่ประมาณ 1,000 -2,000 บาท ส่วนของรถกระบะจะเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 1,500 บาท แต่ถ้าคุณเลือกเปลี่ยนกับอู่ซ่อมราคาก็จะถูกกว่า โดยบางอู่อาจคิดราคาคุณเพียงแค่หลักร้อยเท่านั้น แต่ผ้าเบรคอาจคุณภาพไม่ดีเท่ากับการเลือกเปลี่ยนที่ศูนย์บริการ รวมถึงถ้าคุณเลือกอู่ไม่ดีก็อาจโดนย้อมแมวได้ ดังนั้นควรศึกษารีวิวและเลือกใช้บริการอู่ที่ไว้วางใจได้ หรือจะให้มั่นใจยิ่งขึ้นก็เลือกเปลี่ยนผ้าเบรครถยนต์กับศูนย์บริการหรือคาร์แคร์ไปเลยดีกว่า

มีประกันภัยแบบไหนที่คุ้มครองระบบเบรครถยนต์บ้าง?

หากต้องต้องการความคุ้มครองในส่วนของระบบเบรคโดยมีเงินเคลมค่าซ่อม คุณสามารถทำประกันภัยได้ดังนี้

  • ประกันภัยรถยนต์ทั่วไป ชั้น 1, ชั้น 2+, ชั้น 3+ ซึ่งจะสามารถเคลมซ่อมระบบเบรครถยนต์ได้เมื่อได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุ แต่ทั้งนี้ประกันจะไม่ได้ให้ความคุ้มครองความเสียหายเสื่อมสภาพจากการใช้งาน
  • ประกันอะไหล่รถยนต์ เป็นประกันภัยเพิ่มเติมที่จะคุ้มครองชิ้นส่วนต่าง ๆ ของรถยนต์โดยเฉพาะ ซึ่งจะคุ้มครองในส่วนของความเสียหายจากการใช้งานปกติ เช่น ใช้รถไปแล้วระบบเบรครถยนต์เสียหรือมีปัญหาเองโดยที่ไม่ได้เกิดอุบัติเหตุ แต่ทั้งนี้ประกันอะไหล่รถยนต์จะไม่ได้คุ้มครองความเสียหายจากอุบัติเหตุเหมือนประกันรถยนต์ทั่วไป

ส่วนผ้าเบรครถยนต์นั้นจะไม่มีประกันตัวไหนให้ความคุ้มครองเลยเนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่มีการเสื่อมสภาพจากการใช้งานเป็นปกติอยู่แล้ว การขับขี่บนท้องถนนจะต้องมีสติเพื่อรองรับกับเหตุไม่คาดฝันเสมอ คุณต้องหมั่นตรวจสอบระบบเบรครถยนต์และผ้าเบรคไว้เป็นประจำ และสิ่งสุดท้ายที่ควรจะมีก็คือ ประกันรถยนต์ ที่ไว้ใจได้อย่างแรบบิท แคร์ได้คอยดูแลให้คำแนะนำเรื่องของการซ่อมแซม รวมไปถึงครอบคลุมเรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนนให้ เพื่อการขับขี่อย่างสบายใจไร้กังวล

ความคุ้มครองประกันรถยนต์

ความคุ้มครองรถผู้ทำประกัน
ประเภทประกันภัย
ชั้น 1
ชั้น 2+
ชั้น 2
ชั้น 3+
ชั้น 3
ชนแบบมีคู่กรณีชนแบบมีคู่กรณี
x
x
ชนแบบไม่มีคู่กรณีชนแบบไม่มีคู่กรณี
x
x
x
x
ไฟไหม้ไฟไหม้
x
x
รถหายรถหาย
x
x
ภัยธรรมชาติภัยธรรมชาติ
x
x
ช่วยเหลือ 24 ชม. ช่วยเหลือ 24 ชม.
x
x
x
ซื้อประกันรถยนต์   
คลิก
คลิก
คลิก
คลิก
คลิก
ความคุ้มครองอื่นๆ ครอบคลุมทุกชั้นประกัน
คุ้มครองคู่กรณี และทรัพย์สินคู่กรณี
อุบัติเหตุ ค่ารักษาพยาบาลบุคคลที่สาม
คุ้มครองชิวิตบุคคลที่สาม
คุ้มครองชีวิตผู้ขับขี่
ค่ารักษาพยาบาลตัวผู้ขับขี่
การประกันตัวผู้ขับขี่

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา