

โปรแกรมคำนวณยอดชำระสินเชื่อต่อเดือน
โปรแกรมคำนวณยอดชำระสินเชื่อต่อเดือน
คำนวณดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลง่ายๆ รู้ยอดผ่อนก่อนกู้จริง!
การกู้เงินผ่านสินเชื่อส่วนบุคคลเป็นทางเลือกที่สะดวกสำหรับผู้ที่ต้องการเงินก้อนโดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่สิ่งที่หลายคนมองข้ามคือ “วิธีคิดดอกเบี้ย” ที่อาจทำให้ต้องจ่ายเงินคืนมากกว่าที่คาดไว้ หากไม่เข้าใจวิธีคำนวณให้ดีพอ การคำนวณดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะจะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการเงินได้แม่นยำและตัดสินใจเลือกสินเชื่อได้เหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ของตนเอง
สูตรที่ใช้ในการคำนวณยอดผ่อนชำระเงินกู้
โปรแกรมคำนวณเงินกู้ข้างต้นเป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับคำนวณจำนวนเงินที่ต้องจ่ายเป็นดอกเบี้ยสำหรับยอดสินเชื่อ และสูตรที่ใช้ในการคำนวณสินเชื่อ คือ
PMT = periodic payment หรือ ยอดผ่อนชำระต่อเดือน
r = อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อต่อเดือน
PV = เงินต้นคงเหลือ
n = จำนวนงวดที่ต้องผ่อนชำระ
เราจะลองใช้สูตรดังกล่าวมาช่วยหาค่า PMT หรือยอดผ่อนชำระต่อเดือนของน้องแคร์กัน โดยที่น้องแคร์มีเงินต้นที่ต้องการกู้ คือ 500,000 บาท ในอัตราดอกเบี้ย 7.25% ต่อปี และน้องแคร์ต้องการกำหนดผ่อนชำระให้หมดภายใน 60 งวด
PMT = (0.0725/12) * 500000 / (1 - (1 + (0.0725/12))^(-60))
Step 1: อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อต่อเดือน
อัตราดอกเบี้ยต่อเดือน = อัตราดอกเบี้ยต่อปี / 12
อัตราดอกเบี้ยต่อเดือน = 0.0725 / 12
อัตราดอกเบี้ยต่อเดือน = 0.00604166666
Step 2: คำนวณตัวคูณในสูตร
ตัวคูณ = (1 - (1 + อัตราดอกเบี้ยต่อเดือน)^-จำนวนงวด)
ตัวคูณ = (1 - (1 + 0.00604166666)^-60)
ตัวคูณ = 0.30330624331
Step 3: คำนวณผลต่างของเงินต้นและดอกเบี้ยสินเชื่อต่อเดือน
ผลต่าง = อัตราดอกเบี้ยต่อเดือน * เงินต้นคงเหลือ
ผลต่าง = 0.00604166666 * 500,000
ผลต่าง = 3020.83333
Step 4: คำนวณจำนวนเงินผ่อนต่อเดือน
จำนวนเงินผ่อนต่อเดือน = ผลต่าง / ตัวคูณ
จำนวนเงินผ่อนต่อเดือน = 3020.83333 / 0.30330624331
จำนวนเงินผ่อนต่อเดือน = 9959.68067467
ดังนั้น ผู้กู้หรือในที่นี่คือน้องแคร์จะต้องผ่อนชำระเงินกู้ด้วยการชำระเงิน 9,960 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 60 งวด โดยจะชำระดอกเบี้ยและเงินต้นพร้อมกันในทุก ๆ งวด จนกว่าจะชำระหมด
ตารางผลการคำนวณดอกเบี้ยเงินกู้
ตัวอย่างเช่น น้องแคร์มียอดเงินต้นคงเหลือ 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 7.25% ต่อปี กำหนดผ่อนชำระ 60 งวด สามารถทำเป็นตารางได้ดังนี้
| งวด | เงินต้น | ดอกเบี้ย | เงินต้น | คงเหลือ | 
| 1 | 500,000 | 3,021 | 6,939 | 493,061 | 
| 2 | 493,061 | 2,979 | 6,981 | 486,080 | 
| 3 | 486,080 | 2,937 | 7,023 | 479,057 | 
| 4 | 479,057 | 2,894 | 7,065 | 471,992 | 
| 5 | 471,992 | 2,852 | 7,108 | 464,884 | 
| 6 | 464,884 | 2,809 | 7,151 | 457,733 | 
| 7 | 457,733 | 2,765 | 7,194 | 450,539 | 
| 8 | 450,539 | 2,722 | 7,238 | 443,301 | 
| 9 | 443,301 | 2,678 | 7,281 | 436,020 | 
| 10 | 436,020 | 2,634 | 7,325 | 428,694 | 
| 11 | 428,694 | 2,590 | 7,370 | 421,325 | 
| 12 | 421,325 | 2,546 | 7,414 | 413,910 | 
| ปีแรก | 
 | 33,427 | 86,090 | 
 | 
ตารางข้างต้นคำนวณดอกเบี้ยที่แสดงไว้เพียงข้อมูลบางส่วนสำหรับ 12 งวดเท่านั้น หากน้องแคร์ผ่อนชำระยอดเงินกู้ต่องวด ฿9,959.68 ในทุกๆ งวดต่อเนื่องครบ 12 งวด ในปีแรก น้องแคร์จะทำการจ่ายเงินต้นทั้งสิ้น ฿119,516.19 ที่เกิดมาจาก 2 รายการ ดังนี้
- จำนวนดอกเบี้ยที่ชำระ = ฿33,426.66
- จำนวนเงินต้นที่ชำระ = ฿86,089.53
| ปีที่ | จำนวนผ่อนชำระ | ดอกเบี้ย | เงินต้น | 
| 1 | 119,516 | 33,427 | 86,090 | 
| 2 | 119,516 | 26,974 | 92,543 | 
| 3 | 119,516 | 20,037 | 99,479 | 
| 4 | 119,516 | 12,580 | 106,936 | 
| 5 | 119,516 | 4,564 | 114,952 | 
| รวม | 597,581 | 97,581 | 500,000 | 
ตารางที่ 2 ได้ทำการสรุปการคำนวณดอกเบี้ยออกมาเป็นรายปีสำหรับ 60 งวด หรือ 5 ปี โดยที่ยอดชำระเท่ากันทุกเดือนคือ ฿9,959.68 หากน้องแคร์ผ่อนชำระยอดเงินกู้ต่อเนื่องครบ 60 งวด น้องแคร์จะทำการจ่ายเงินต้นต้นทั้งสิ้น ฿597,580.88 ที่เกิดมาจาก 2 รายการ ดังนี้
- จำนวนดอกเบี้ยที่ชำระใน 60 งวด = ฿97,580.86
- จำนวนเงินต้นที่ชำระใน 60 งวด = ฿500,000.02
ประโยชน์ของการใช้เครื่องมือคำนวณสินเชื่อ
การใช้เครื่องมือคำนวณสินเชื่อมีประโยชน์มากมายสำหรับผู้ที่ต้องการกู้เงินหรือต้องการวางแผนการผ่อนชำระเงินกู้ให้เหมาะสมกับรายได้และความสามารถในการผ่อนชำระ สามารถคำนวณค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการกู้เงินได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว โดยสามารถปรับแต่งเงื่อนไขต่างๆ เช่น อัตราดอกเบี้ย จำนวนงวดที่ผ่อนชำระ หรือยอดเงินกู้ เพื่อหาวิธีการผ่อนชำระที่เหมาะสมกับความสามารถในการผ่อนชำระของผู้กู้
เราสามารถใช้เครื่องมือคำนวณสินเชื่อเพื่อทำการคำนวณต่างๆ ดังนี้
1. เงินต้นคงเหลือ
เป็นตัวบอกว่ายอดเงินที่เหลือในบัญชี และต้องใช้เป็นตัวอ้างอิงในการคำนวณดอกเบี้ยและยอดผ่อนชำระต่อเดือน
2. อัตราดอกเบี้ยต่อเดือน
ช่วยให้ผู้กู้สามารถคำนวณว่าจะต้องจ่ายดอกเบี้ยเท่าไหร่ในแต่ละเดือน และนำมาคำนวณหายอดผ่อนชำระต่อเดือนได้
3. จำนวนงวดที่ผ่อนชำระ
เป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้ผู้กู้วางแผนการชำระหนี้ได้อย่างแม่นยำ โดยจะต้องดูรายได้และค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน เพื่อให้ไม่เกิดการผ่อนชำระเกินความสามารถในการผ่อนชำระและเกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในอนาคต
หลังจากคำนวณสินเชื่อจนได้ยอดผ่อนชำระต่อเดือนจากโปรแกรมคำนวณเงินกู้แล้วควรทำอย่างไรต่อ?
หลังจากได้ยอดผ่อนชำระต่อเดือนจากโปรแกรมคำนวณเงินกู้แล้ว การตรวจสอบเงื่อนไขและข้อกำหนดของสินเชื่อเป็นขั้นตอนสำคัญในการประเมินความเสี่ยงและประเมินความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ของผู้ขอสินเชื่อ โดยผู้กู้ควรทำต่อไปดังนี้
- ตรวจสอบว่ายอดผ่อนชำระต่อเดือนที่ได้จากเครื่องมือคำนวณสินเชื่อเป็นไปตามที่ต้องการหรือไม่
- ตรวจสอบความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ของผู้ขอสินเชื่อ โดยการตรวจสอบรายได้และค่าใช้จ่ายของผู้ขอสินเชื่อ เช่น ทำบัญชีรายได้ต่อเดือน ค่าใช้จ่ายประจำเดือน และหนี้สินอื่นที่มีอยู่ขึ้นมา
- ตรวจสอบเงื่อนไขและข้อกำหนดของสินเชื่ออีกครั้ง เช่น อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาผ่อนชำระ ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพื่อประเมินว่าสินเชื่อนี้เหมาะสมกับความต้องการและสภาพการเงินของผู้กู้หรือไม่
- รวบรวมเอกสารที่จำเป็นเพื่อยื่นคำขอกู้สินเชื่อ ซึ่งอาจรวมถึงสำเนาบัตรประชาชน สลิปเงินเดือน หรือเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง
- ยื่นคำขอกู้สินเชื่อและรอการพิจารณาจากสถาบันการเงิน โดยอาจใช้เวลาสักครู่ในการพิจารณา
- หลังจากได้รับการอนุมัติกู้สินเชื่อ ผู้กู้ต้องทำการเซ็นสัญญากู้และติดตามขั้นตอนการโอนเงินกู้ให้เป็นที่เรียบร้อย
ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคล
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่แต่ละคนได้รับจากธนาคารถึงไม่เท่ากัน ทั้งที่ขอกู้จำนวนเงินเท่ากัน คำตอบคือ แต่ละคนมี "ความเสี่ยงทางการเงิน" ไม่เท่ากัน ซึ่งธนาคารจะพิจารณาจากปัจจัยหลัก 3 ประการนี้
1. เครดิตสกอร์
เครดิตสกอร์ (Credit Score) คือคะแนนที่แสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ โดยคิดจากพฤติกรรมทางการเงินในอดีต เช่น การจ่ายค่างวดตรงเวลา การกู้หลายบัญชีพร้อมกัน หรือมีประวัติค้างชำระหรือไม่
- เครดิตสกอร์สูง (มากกว่า 700 ขึ้นไป): มีโอกาสได้ดอกเบี้ยต่ำ
- เครดิตสกอร์ต่ำ (ต่ำกว่า 600): ดอกเบี้ยจะสูงขึ้น หรืออาจไม่ได้รับอนุมัติ
เคล็ดลับ: ตรวจสอบเครดิตบูโรของคุณเป็นประจำที่เว็บไซต์ เครดิตบูโรแห่งชาติ
2. รายได้และภาระหนี้
ธนาคารจะประเมินความสามารถในการชำระเงินคืนผ่าน "อัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้" (Debt to Income Ratio)
- หากคุณมีรายได้มาก และภาระหนี้น้อย จะถูกมองว่าเสี่ยงต่ำ
- ผู้มีรายได้น้อยแต่ภาระหนี้สูง อาจถูกปฏิเสธหรือเสนออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น
ตัวอย่าง:
 หากคุณมีรายได้ 30,000 บาทต่อเดือน และมีภาระหนี้รวม 10,000 บาท
 ⇒ ภาระหนี้/รายได้ = 33% ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย (ไม่เกิน 40%)
 
3. ระยะเวลาการกู้
 โดยทั่วไปแล้ว
- ยิ่งกู้นาน อัตราดอกเบี้ยมักจะสูงกว่า เพราะผู้ให้กู้มีความเสี่ยงมากขึ้นในระยะยาว
- หากเลือกผ่อนในระยะสั้น เช่น 6-12 เดือน อัตราดอกเบี้ยมักจะต่ำกว่า แต่ค่างวดต่อเดือนจะสูง
คำแนะนำ: เลือกระยะเวลากู้ที่สมดุลระหว่างค่างวดต่อเดือนและดอกเบี้ยรวมทั้งสัญญา
คำแนะนำการกู้สินเชื่อ
1. เปรียบเทียบก่อนกู้ทุกครั้ง
 อย่ารีบเซ็นสัญญาโดยไม่เปรียบเทียบหลาย ๆ ที่ ดูทั้งดอกเบี้ย เงื่อนไขการชำระคืน และค่าธรรมเนียมที่แอบแฝง
2. เลือกสินเชื่อให้เหมาะกับคุณ
- ถ้าคุณมีรายได้แน่นอนและต้องการควบคุมค่าใช้จ่ายแบบชัดเจน อาจเลือกสินเชื่อแบบ Flat Rate
- หากคุณมีโอกาสจ่ายคืนได้เร็วกว่ากำหนด ควรเลือกแบบลดต้นลดดอก
3. ใช้เครื่องมือคำนวณดอกเบี้ย
เช่นเว็บไซต์ธนาคาร แอปคำนวณสินเชื่อ ช่วยให้เห็นภาพรวมของเงินกู้ได้ดียิ่งขึ้น
สินเชื่อที่ แรบบิท แคร์ แนะนำ
