ไขข้อสงสัย "ทำไมเหยียบเบรคแล้วมีเสียง"
ใครที่ต้องใช้รถในการเดินทางเป็นประจำทุกวันอาจจะเคยประสบกับปัญหาคาใจที่ว่า เหยียบเบรคแล้วมีเสียงเอี๊ยดเกิดขึ้นมาระหว่างทาง แถมบางครั้งเหยียบแล้วกลับไม่มีเสียง เลยไม่รู้เลยว่าเบรกรถมีเสียงนั้นมาจากสาเหตุอะไรกันแน่ เพราะบางทีก็มีเสียงเฉพาะในช่วงที่ถนนมีความเปียกชื้น หรือในช่วงฤดูฝนมากกว่าช่วงฤดูกาลอื่น ๆ แต่ทราบหรือไม่ว่า เมื่อเหยียบเบรคแล้วมีเสียงไม่ว่าจะเสียงเอี๊ยด หรือเสียงดังเกิดขึ้น นั่นหมายความว่ารถของคุณกำลังมีปัญหาเข้าให้แล้ว
เหยียบเบรคแล้วมีเสียง ควรเช็กอะไรบ้าง?
แน่นอนว่าเมื่อเบรกรถมีเสียง สิ่งที่หลายคนเข้าใจก็คือปัญหาหลักน่าจะมาจากที่ตัวเบรกของรถ แต่ในความเป็นจริงแล้ว นอกจากการเหยียบเบรคแล้วมีเสียงเอี๊ยดเกิดขึ้นนั้นนอกจากปัญหาจะเกิดจากระบบเบรกแล้ว ระบบช่วงล่างก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้การเหยียบเบรคแล้วมีเสียงเกิดขึ้นได้เช่นกัน โดยเราได้สรุปสิ่งที่ควรต้องรีบเช็กทันทีหลังจากพบว่าเบรกรถมีเสียงดังในระหว่างที่ขับขี่มาให้ 2 กรณีด้วยกัน ดังนี้
ช่วงล่างมีปัญหา
เมื่อเหยียบเบรคแล้วมีเสียงดังเอี๊ยดเกิดขึ้นให้ลองสังเกตดูว่ามีปัญหาในเรื่องของการบังคับทิศทางร่วมด้วยหรือไม่ ซึ่งหากมีอาการดังกล่าวร่วมด้วย ให้สันนิษฐานเอาไว้ก่อนเลยว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากช่วงล่างรถยนต์เริ่มมีปัญหา โดยจุดที่มักจะเกิดปัญหาในช่วงล่างก็มีทั้ง ลูกหมาก, ลูกปืนล้อ, ยางแท่นเครื่อง, ยางเกียร์ รวมทั้งชุดบังคับเลี้ยว ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาที่ไม่ควรปล่อยเอาไว้ เพราะอาการเริ่มแรกอาจจะมีเพียงแค่เบรกรถมีเสียง แต่หากปล่อยอาการเหยียบเบรคแล้วมีเสียงเอาไว้เป็นเวลานานอาจจะเกิดความเสียหายมากขึ้นจากการบังคับทิศทางได้ยาก โดยเฉพาะในเวลาที่ถนนลื่นได้ โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่ก็มีมากยิ่งขึ้นตามมา ทั้งนี้เมื่อปัญหาเกิดขึ้นเช่นนี้ให้รีบนำรถเข้าศูนย์หรือติดต่อช่างซ่อมประจำรถเพื่อตรวจเช็กสภาพและแก้ไขปัญหาที่ทำให้เบรกรถมีเสียงทันที
ระบบเบรกรถมีปัญหา
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่มักจะเป็นต้นเหตุหลักของการเหยียบเบรคแล้วมีเสียงดังเอี๊ยดเกิดขึ้น ซึ่งปัจจัยนี้ถือว่ามีผลโดยตรงกับระบบเบรกรถ โดยสามารถแยกตรวจสอบเป็นกรณีได้ดังนี้
- ผ้าเบรกรถเริ่มเสื่อมสภาพและใกล้จะหมดทำให้ทั้งผ้าเบรกและจานเบรกเกิดการเสียดสีกันทำให้เวลาเหยียบเบรคแล้วมีเสียงดังเอี๊ยดดังขึ้น หากตรวจเช็กรถด้วยตัวเองได้ให้ลองก้มมองดูสักนิดว่าผ้าเบรกมีความหนาลดลงหรือไม่ หรือมีความหนาไม่ถึง 4 มม. ก็มั่นใจได้เลยว่าถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนผ้าเบรกใหม่ให้กับรถของคุณได้แล้ว ทั้งนี้หากเหยียบเบรคแล้วมีเสียงครืด หรือมีอาการสั่นร่วมด้วย กรณีแบบนี้วิเคราะห์ได้ว่ามาจากผ้าเบรกแข็ง หรือมีการจับจานได้ไม่เต็ม ทำให้มีความผิดเพี้ยน และส่งผลให้เบรกรถมีเสียงดัง
- ก้านเบรกผิดรูป กรณีนี้มักจะเกิดขึ้นกับรถที่เคยประสบเหตุมาก่อนทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ตัวเบรกและส่งผลให้เบรกรถมีเสียงตามมา
- การเหยียบเบรคแล้วมีเสียงอาจมาจากร่องรอยขึ้นที่จานเบรก กรณีนี้อาจมาจากหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็นการสึกหรอจากการใช้งาน รอยไหม้จากการเหยียบเบรกแบบลาก รวมทั้งการเข้าไปติดของเศษหินบนท้องถนน ซึ่งปัจจัยนี้ก็มีผลต่อการเหยียบเบรคแล้วมีเสียงเอี๊ยดเกิดขึ้นได้ และรถอาจมีกลิ่นไหม้
เหยียบเบรคแล้วมีเสียงอาการที่บอกว่าระบบเบรกกำลังมีปัญหา
สำหรับทั้ง 3 อาการต่อไปนี้ไม่เพียงแค่ทำให้การเบรกรถมีเสียงเท่านั้น แต่หากปล่อยเอาไว้อาจจะเกิดอันตรายกับผู้ขับขี่ทั้งเจ้าของรถ และผู้ร่วมใช้ถนนได้เลยทีเดียว
1. เบรกแตก
ช่วงแรกของอาการนี้คือการเหยียบเบรคแล้วมีเสียงดังเอี๊ยดเกิดขึ้น ซึ่งอย่างที่เราเกริ่นนำไปแล้วว่าไม่ควรนิ่งนอนใจและส่งรถไปซ่อมเช็กสภาพทันที โดยอาการเบรกแตกนั้นจะสังเกตได้ง่าย ๆ คือเมื่อเหยียบเบรคแล้วมีเสียงดังเอี๊ยดแล้วเบรกจม หรือเหยียบแล้วเบรกไม่แข็งจนต้องเหยียบจนติดพื้น ซึ่งสาเหตุหลักมาจาก
- น้ำมันเบรกรั่ว โดยอาจจะมาจากสายอ่อนเบรกแตก ท่อเบรกแตก หรือการรั่วซึมของยางแม่ปั๊มเบรก ทำให้น้ำมันเบรกรั่วไหลออกจนหมด ส่งผลให้เหยียบเบรคแล้วมีเสียงก่อนจะเกิดการเบรกจมตามมา
- มีการติดตั้งที่ไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของแป้นเบรก นอตยึดขาเบรก ฝักเบรก หรือตัวคาริบเปอร์ยึดไม่แน่น จนทำให้ส่วนประกอบสำคัญของระบบเบรกหลุดออกทำให้เบรกรถมีเสียง
- ผ้าเบรกหลุด กรณีนี้ส่วนมากแล้วจะเริ่มจากการเหยียบเบรคแล้วมีเสียงเอี๊ยดเกิดขึ้น ซึ่งช่วงแรกจะเรียกได้ว่าผ้าเบรกหมด แต่เมื่อปล่อยเอาไว้จนผ้าเบรกบางลงกว่าเดิม จะทำให้ผ้าเบรกหลุดออกมาได้
2. เบรกสั่น
สำหรับกรณีนี้นอกจากการเหยียบเบรคแล้วมีเสียงดังเอี๊ยดเกิดขึ้นแล้ว จะต้องรับรู้ถึงแรงสั่นขึ้นลงที่เท้าในระหว่างเหยียบเบรกด้วย ซึ่งแรงสั่นอาจจะไม่ได้อยู่แค่ที่ตัวเบรกแต่บางครั้งยังสั่นไปจนถึงพวงมาลัยรถเลยทีเดียว ซึ่งสาเหตุก็มาจากการผิดรูปของจานเบรก อาจมาจากการขับรถเร็วจนเกินไปในช่วงมีน้ำท่วมขัง หรือการขับขี่อย่างรวดเร็วในพื้นผิวถนนที่มีความขรุขระส่งผลให้จานเบรกส่งสัญญาณเตือนด้วยการเหยียบเบรคแล้วมีเสียงนั่นเอง
3. เบรกรถมีเสียง
เป็นอาการเริ่มแรก และเป็นอาการที่บ่งบอกได้ถึงความผิดปกติของรถ แม้ว่าจะไม่ได้เหยียบเบรคแล้วมีเสียงดังเอี๊ยดทุกครั้ง แต่เมื่อใดก็ตามที่พบว่าเบรกรถมีเสียง ให้รีบดำเนินการส่งซ่อมตรวจเช็กเป็นการด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งจนกลายเป็นปัญหารุนแรงแต่อย่างใด
วิธีแก้ปัญหาเบื้องต้นกรณีที่เหยียบเบรคแล้วมีเสียงดังเอี๊ยด
สำหรับผู้ที่มีความคุ้นเคยกับระบบช่างยนต์อยู่แล้ว ในระหว่างที่ขับรถแล้วพบว่าเบรกรถมีเสียง ก็สามารถที่จะหาวิธีแก้ไขปัญหาเบื้องต้นด้วยตัวเองกันได้ ซึ่งวิธีแก้ไขเบื้องต้นของแต่ละสาเหตุมีดังนี้
- กรณีที่เหยียบเบรคแล้วมีเสียงดังเอี๊ยด แล้วพบว่าบริเวณผ้าเบรกสกปรกเต็มไปด้วยเศษดินและฝุ่น กรณีให้ถอดออกมาล้างทำความสะอาดนำเศษสิ่งสกปรกเหล่านั้นออกไปแล้วลองเช็กดูอีกครั้งว่าเบรกรถมีเสียงอยู่หรือไม่
- ในส่วนของกรณีที่ผ้าเบรกหมด หรือผ้าเบรกแข็ง ทั้งสองกรณีนี้จำเป็นที่จะต้องถอดออกมาเปลี่ยนใหม่เท่านั้น เพราะถือว่าเป็นความเสื่อมสภาพของตัวผ้าเบรกจนทำให้เหยียบเบรคแล้วมีเสียงดังเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม เรื่องของปัญหาการเหยียบเบรคแล้วมีเสียงถือได้ว่าเป็นเรื่องของอะไหล่ชิ้นส่วนสำคัญเกิดปัญหาขึ้น และเป็นเรื่องที่ถือว่าสำคัญไม่น้อย ควรจะต้องมีการแก้ไขปรับเปลี่ยน หรือซ่อมแซมโดยด่วน ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะปล่อยให้เบรกรถมีเสียงเป็นเวลานาน เพราะอาจจะสายเกินไป ทั้งนี้การที่จะลงมือซ่อมหรือเปลี่ยนเองจากการเหยียบเบรคแล้วมีเสียงก็อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก หากไม่มีความชำนาญ หรือคุ้นเคยในเรื่องของงานช่างยนต์ ควรรีบนัดศูนย์บริการเพื่อที่จะเข้าไปเปลี่ยนผ้าเบรกหรือเช็กสภาพรถไม่ให้เหยียบเบรคแล้วมีเสียง และให้มีความพร้อมต่อการใช้งานในทันที
นอกจากนี้แล้วการทำประกันรถยนต์ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีดี ๆ ที่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจ สบายใจในการขับขี่ได้มากขึ้น ทั้งนี้ก็ต้องไม่ลืมที่จะศึกษาเงื่อนไขและข้อควรปฏิบัติให้ละเอียดด้วย เพราะกรณีของการเหยียบเบรคแล้วมีเสียง เมื่อผู้ขับขี่ทราบถึงปัญหาของรถอยู่แล้ว แต่กลับปล่อยเอาไว้แล้วเกิดอุบัติเหตุ กรณีแบบนี้ก็อาจจะไม่ได้รับความคุ้มครองได้ กลายเป็นผู้ที่ต้องจ่ายค่าซ่อมแซมเองทั้งหมด ฉะนั้นแล้วทุกครั้งของการทำประกันรถยนต์ต้องอ่านเงื่อนไข และพิจารณาความคุ้มค่าให้ดีเสียก่อนตัดสินใจ รวมทั้งการหมั่นตรวจเช็กสังเกตอาการของรถอยู่เสมอไม่ว่าจะกรณีเหยียบเบรคแล้วมีเสียง หรือกรณีอื่น ๆ เพียงเล็กน้อย หากพบว่ารถผิดปกติ แจ้งศูนย์ส่งเข้าซ่อม และตรวจเช็กสภาพตามระยะที่ครบกำหนดอยู่เสมอ ก็จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย และมั่นใจในความคุ้มครองของประกันภัยรถยนต์ได้มากยิ่งขึ้นแน่นอน
ถ้าเบรคมีปัญหาจนเกิดอุบัติเหตุ ประกันรถยนต์คุ้มครองหรือไม่
หากเบรคมีปัญหาจนเกิดอุบัติเหตุ ประกันรถยนต์จะคุ้มครองหรือไม่ ขึ้นอยู่กับประเภทของประกันและรายละเอียดเกี่ยวกับการบำรุงรักษารถยนต์ของคุณ ดังนี้
1. ประกันภัยชั้น 1
- ความคุ้มครอง : ประกันภัยชั้น 1 จะคุ้มครองความเสียหายทั้งต่อรถของคุณเองและรถของคู่กรณี แม้ว่าอุบัติเหตุจะเกิดจากความผิดพลาดของเบรคก็ตาม
- เงื่อนไขการตรวจสอบ : บริษัทประกันอาจต้องการตรวจสอบสาเหตุของการเกิดปัญหาเบรค หากพบว่าปัญหาเกิดจากการบำรุงรักษาที่ไม่เหมาะสม เช่น ไม่ได้เปลี่ยนเบรคตามกำหนด หรือไม่ได้นำรถเข้าตรวจเช็คตามข้อกำหนดของผู้ผลิต อาจส่งผลให้การเคลมประกันถูกปฏิเสธหรือถูกลดวงเงินคุ้มครอง
2. ประกันภัยชั้น 2+ และ 3+
- ความคุ้มครอง : ประกันภัยชั้น 2+ และ 3+ จะคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งต่อรถของคุณเองและรถของคู่กรณีในกรณีที่ประสบอุบัติเหตุกับยานพาหนะทางบก อย่างไรก็ตาม บริษัทประกันอาจต้องการตรวจสอบสาเหตุของการเกิดปัญหาเบรค ถ้าหากเบรคมีปัญหาจากการบำรุงรักษาที่ไม่เหมาะสม ก็อาจส่งผลให้การเคลมประกันถูกปฏิเสธหรือถูกลดวงเงินคุ้มครองเช่นกัน
3. ประกันภัยชั้น 2 และ 3
- ความคุ้มครอง : ประกันภัยชั้น 2 และ 3 จะคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถของคู่กรณีเท่านั้น ไม่ครอบคลุมความเสียหายต่อรถของคุณเอง ดังนั้น หากเบรคมีปัญหาและคุณเป็นฝ่ายผิด ประกันจะคุ้มครองเฉพาะรถคู่กรณีเท่านั้น ส่วนรถของคุณจะไม่ได้รับความคุ้มครอง
ความรับผิดชอบของผู้ขับขี่
- การบำรุงรักษารถเป็นความรับผิดชอบของผู้ขับขี่ หากเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากเบรคมีปัญหา และมีการตรวจสอบพบว่าคุณไม่ได้บำรุงรักษาหรือซ่อมแซมรถตามระยะเวลาที่กำหนด บริษัทประกันอาจปฏิเสธการเคลมได้
- ในกรณีที่เป็นปัญหาที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ เช่น เบรคมีปัญหากะทันหันโดยที่ไม่มีสัญญาณเตือนมาก่อน บริษัทประกันมักจะให้ความคุ้มครองตามเงื่อนไขของประกัน
หากเบรคมีปัญหาจนเกิดอุบัติเหตุ ประกันภัยชั้น 1 จะคุ้มครองความเสียหายทั้งของรถคุณและคู่กรณี แต่ในกรณีของประกันชั้น 2 หรือ 3 จะคุ้มครองเฉพาะความเสียหายของคู่กรณีเท่านั้น การเคลมประกันอาจขึ้นอยู่กับการตรวจสอบว่ามีการบำรุงรักษารถตามกำหนดหรือไม่ หากพบว่าคุณละเลยการดูแลรถ อาจส่งผลต่อการเคลม
ความคุ้มครองประกันรถยนต์