แคร์สุขภาพ

รู้ก่อนใคร ปลอดภัยชัวร์! เช็คอาการเตือนโรค PCOS 

ผู้เขียน : Mayya Style
Mayya Style

เป็นนักเขียนสายสุขภาพและการเงินที่มีประสบการณ์ในการเขียนมากมาย โดยได้ฝากผลงานในหลากหลายรูปแบบที่เน้นด้านบริหารร่างกายและจิตใจ ทำงานที่ Rabbit Care และ Asia Direct ได้อย่างมืออาชีพ

close
linkedin icon
แก้ไขโดย : Tawan
Tawan

Tawan มีประสบการณ์สร้างสรรค์ผลงานออนไลน์ 2 ปี เขียนด้านยานยนต์ ประกันยานยนต์ที่ Rabbit Care และ Asia Direct มีใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันชีวิตและนายหน้าประกันวินาศภัย มีความเชี่ยวชาญด้านประกันรถยนต์และประกันชีวิต

close
linkedin icon
 
Published: January 18,2023
  
 
โรค pcos

โรคสตรี เป็นโรคที่สาว ๆ มักจะเผชิญและพยายามหาวิธีเพื่อจะหลีกเลี่ยงมัน เช่น โรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ โรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ โรคซีสต์ในมดลูก และอื่น ๆ บางโรคมาพร้อมกับอาการเตือนที่ทำให้คุณรู้ตัวแบบเนิ่นๆ แต่บางโรครู้ตัวอีกทีอาจสายเกินไปที่จะรักษา เช่น มะเร็งรังไข่ ดังนั้นหากคุณมีอาการหรือความผิดปกติใด ๆ ในร่างกาย อย่านิ่งนอนใจเด็ดขาด น้องแคร์ขอแนะนำให้คุณพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษาทันที 

PCOS เป็นหนึ่งในโรคที่ทำให้ผู้หญิงหลาย ๆ คนกังวลใจไม่น้อย ว่าตัวเองเป็นหรือเปล่า อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ ดังนั้นน้องแคร์มีคำตอบมาให้คุณ ไปดูกันเลย!  

เปรียบเทียบประกันสุขภาพกับ Rabbit Care พิเศษ! ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน
icon angle up or down

เลือกแผนประกันสุขภาพที่คุณสนใจ

    ชื่อนามสกุล

    หมายเลขโทรศัพท์

    โรค PCOS คืออะไร?  

    PCOS

    PCOS เป็นอีกหนึ่งโรคสตรีโดยมีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า Polycystic ovary syndrome หรือที่หลายๆคนรู้จักกันในชื่อ “ภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ” ซึ่งพบได้ค่อนข้างบ่อยในผู้หญิงตั้งแต่วัยเจริญพันธุ์ จนถึงอายุ 40 ปีขึ้นไปหรือคนที่มีน้ำหนักตัวเยอะ เมื่อการทำงานของรังไข่ผิดปกติจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อร่างกาย เช่น ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไป หรือมีภาวะด้านนอกร่างกายที่ผิดแปลกไปจากเดิม

    สาเหตุของโรค PCOS  

    สาเหตุของ โรค PCOS เกิดขึ้นได้จาก 3 สาเหตุ ดังนี้

    1. เกิดจากพันธุกรรม (Heredity) : โรค PCOS อาจมีสาเหตุมาจากพันธุกรรม เช่น หากคุณแม่เป็นลูกที่เกิดมาอาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ในอนาคตได้ ดังนั้น น้องแคร์ขอแนะนำคุณแม่ทุกคนตรวจรักษาตัวเองก่อนล่วงหน้าว่าตนเองมีภาวะของโรคถุงน้ำในรังไข่หลายใบหรือไม่ 
    2. ฮอร์โมนแอนโดรเจนสูง (Hyperandrogenemia) : ฮอร์โมนแอนโดรเจน สามารถเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า ฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งหากฮอร์โมนชนิดนี้สูงในผู้หญิง จะทำให้เกิดผลกระทบมากมายตามมา เช่น มีขนขึ้นเป็นจำนวนมากบนร่างกาย เช่น ขนหน้าอก ขนแขน ขนขา ขนรักแร้ หรือขนที่อวัยวะเพศ บางรายอาจผิวมันง่าย หรือสิวขึ้นเยอะ มากไปกว่านั้นอาจมีรูปร่างหรือกล้ามเนื้อคล้ายกับผู้ชาย ดังนั้นน้องแคร์ขอแนะนำให้คุณหมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกายตนเอง และรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาโรคต่อไป
    3. เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin resistance) : ภาวะดื้ออินซูลินเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของโรค PCOS หากคุณมีภาวะนี้จะทำให้คุณมีน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้นและเสี่ยงเป็นโรคอ้วนในอนาคตได้ ภาวะดื้ออินซูลินจะมีอาการคล้ายกับโรคเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งจะส่งผลให้รังไข่ผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนออกมามากจนเกินไปและอาจส่งผลให้ประจำเดือนขาดหรือรอบประจำเดือนมาผิดปกติ

    ** แหล่งข้อมูลเรื่องสาเหตุของโรค PCOS จากโรงพยาบาลบํารุงราษฎร์

    สัญญาณเตือนของโรค PCOS

    อาการ PCOS

    วันนี้น้องแคร์จะมาบอกเคล็ดลับการเช็คตัวเองง่าย ๆ เกี่ยวกับโรค PCOS หากพบอาการเหล่านี้อย่าปล่อยไว้เด็ดขาด ควรรีบมาพบแพทย์โดยทันที ดังนี้

    มีความผิดปกติส่วนศีรษะ

    1. เกิดรังแค (Dandruff) : PCOS สามารถเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดรังแคได้โดยรังแคประเภทนี้เรียกว่า seborrheic dermatitis ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน ดังนั้น หากคุณสังเกตเห็นรังแคบนหนังศีรษะ ไม่เพียงแต่พบหมอผิวหนังแต่น้องแคร์ขอแนะนำให้คุณพบหมอทางด้านสูตินรีด้วย
    2. หัวล้าน (male pattern baldness) : อาการผมร่วงแบบผู้ชายมักพบในผู้หญิงที่เป็นโรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ หรือ PCOS เนื่องจากเป็นผลของฮอร์โมนเพศชายที่สูงขึ้น (แอนโดรเจน) เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงหลาย ๆ คนเกิดความเครียดและวิตกกังวลได้
    3. มีอาการซึมเศร้า (Depression) : อาการของโรค PCOS ทำให้เกิดความเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการทางร่างกาย เช่น ขนบนใบหน้าและร่างกายมากเกินไป ซึ่งความเครียดนี้สามารถนำไปสู่ความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า

    มีความผิดปกติที่ใบหน้า

    1. มีขนขึ้นที่ใบหน้าเป็นจำนวนมาก (Excessive hair growth) : ภาวะขนดกอาจเกิดจากกลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) โดยภาวะนี้เกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมนเพศ ดังนั้น หากคุณมีขนขึ้นมากเกินไป อย่าลังเลที่จะไปพบแพทย์
    2. ขนดก (Coarse hair growth) : ขนดกตามร่างกายและใบหน้าเป็นหนึ่งสาเหตุของโรค PCOS ขนดกสามารถเห็นได้ว่าเป็นขนหยาบสีเข้มซึ่งอาจปรากฏบนใบหน้า หน้าอก หน้าท้อง หลัง ต้นแขน หรือขาท่อนบน ขนดกเป็นอาการของความผิดปกติทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนที่เรียกว่าแอนโดรเจน

    มีความผิดปกติด้านผิวหนัง 

    1. มีจุดด่างดำขึ้น (Dark Patches) : การพบรอยด่างดำ อาจเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนโรค PCOS ซึ่งอาจพบรอยที่ไม่สม่ำเสมอในบางพื้นที่บนผิวหนังของคุณได้ โดยมักเกิดขึ้นในบริเวณที่มีผิวหนังพับและมักพบที่หลังคอ ใต้วงแขน และขาหนีบ หากคุณมีอาการนี้ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจหาโรค 
    2. มีสิวขึ้น (Cystic acne) : PCOS เป็นความผิดปกติของฮอร์โมนที่สามารถสร้าง androgen ในร่างกายมากเกินไปส่งผลให้เพิ่มการอักเสบในผิวหนังและนำไปสู่การเป็นสิวเรื้อรัง 

    มีความผิดปกติด้านช่องท้อง 

    1. น้ำหนักเกิน (Weight Gain) : PCOS ทำให้ร่างกายใช้ฮอร์โมนอินซูลินได้ยากขึ้น ซึ่งปกติจะช่วยเปลี่ยนน้ำตาลและแป้งจากอาหารให้เป็นพลังงาน ภาวะนี้เรียกว่าภาวะดื้อต่ออินซูลิน อาจทำให้อินซูลินและน้ำตาลกลูโคสสะสมในกระแสเลือดได้ จึงส่งผลให้น้ำหนักตัวของคุณเกินเกณฑ์มาตรฐานได้

    มีความผิดปกติด้านอุ้งเชิงกราน

    1. ประจำเดือนมาผิดปกติ (Irregular Menses) : สาว ๆ บางคนอาจคิดว่าเกิดจากฮอร์โมนหรือความเครียดที่ส่งผลให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ อย่านิ่งนอนใจเด็ดขาด เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรค PCOS ดังนั้นในแต่ละเดือนน้องแคร์ขอแนะนำให้ผู้หญิงทุกคนจดบันทึกการมาของรอบเดือน เช่น มากี่วัน ขาดไปกี่วัน เว้นนานเท่าไหร่ 
    2. เกิดภาวะมีบุตรยาก (Infertility) : ไข่ไม่ตก เนื่องจากเกิดจากการที่รังไข่ทำงานผิดปกติและความไม่สมดุลของฮอร์โมนเพศ จึงทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก หากคุณต้องการมีบุตร น้องแคร์ขอแนะนำให้คุณปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

    PCOS เสี่ยงเป็นโรคอะไรได้บ้าง

    1. โรคอ้วน 

    โรคอ้วนหรือการที่คุณน้ำหนักขึ้นมากจนเกินไปในระยะเวลาอันสั้น เป็นผลจากการที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งภัยเงียบของโรค PCOS ดังนั้น ไม่เพียงแต่ควบคุมอาหารหรือโภชนาการ แต่น้องแคร์ขอแนะนำให้คุณพบแพทย์ด้วยเพื่อหาสาเหตุและความผิดปกติต่อไป

    2. โรคโลหิตจาง 

    การที่ประจำเดือนมาไม่ปกติสามารถแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ มาน้อยเกินไป หรือมามากเกินไป ดังนั้นมีหลายกรณีมากที่ประจำเดือนมาเยอะจนผิดปกติ อาจทำให้คุณเสี่ยงเป็นโรคตกเลือดได้ ซึ่งประจำเดือนที่ปกติควรอยู่ที่ 30 – 50 มิลลิลิตรต่อรอบเดือน

    3. โรคเบาหวาน

    คุณอาจเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานได้เนื่องจากการที่อินซูลินทำงานไม่ปกติ มากไปกว่านั้นคุณอาจยังเสี่ยงเป็นโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากเบาหวานได้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคทางสมอง ไต และหัวใจ เป็นต้น

    4. โรคมะเร็งมดลูก

    หากคุณเป็นโรค PCOS คุณจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งมดลูก มะเร็งเต้านมเนื่องจากเยื่อบุมดลูกและเต้านมถูกกระตุ้นด้วยเอสโตรเจนจำนวนมาก

    การรักษาโรค PCOS 

    การรักษาโรค PCOS สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการมีบุตร และไม่ต้องการมีบุตร ดังนี้ : 

    1. ผู้ป่วยที่ต้องการมีบุตร 

    แพทย์จะทำการรักษาโดยใช้ยา Clomiphene citrate (CC) ขนาด 5 มิลลิกรัม โดยราคาของยาชนิดนี้ไม่แพงและให้ผลการรักษาที่ค่อนข้างดี โดยผู้ป่วยต้องรับประทานยาติดต่อกัน 5 วัน เพื่อทำให้ไข่ตก มากไปกว่านั้นหมออาจใช้ยาตัวอื่นควบคู่ไปด้วย เช่น ยาต้านเบาหวาน Metformin เพื่อเพิ่มอัตราการตกไข่และเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามหากคุณเป็นโรค PCOS แบบรุนแรง แพทย์อาจใช้วิธีการผ่าตัดโดยการส่องกล้อง และทำการจี้ไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นการตกไข่ซึ่งอาจทำให้ตั้งครรภ์ได้ในเวลาต่อมา 

    2. ผู้ป่วยที่ไม่ต้องการมีบุตร 

    อาการโดยทั่วไปของ PCOS คือการที่รอบเดือนที่ผิดปกติ ดังนั้นแพทย์จะให้คุมกำเนิด เพื่อควบคุมการมาของประจำเดือนและป้องกันภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญมากจนผิดปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยบางราย อย่างไรก็ตามหากประจำเดือนขาด แพทย์จะให้ยาฮอร์โมนโปรเจสตินแทน

    การตรวจโรค PCOS

    การตรวจโรค PCOS

    โดยส่วนมากแล้วการตรวจโรค PCOS แพทย์จะทำการตรวจโดยใช้วิธีการตรวจภายในควบคู่ไปกับวิธีอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอดหรือหน้าท้อง เพื่อดูความผิดปกติของรังไข่ มดลูก และท่อนำไข่ 

    ในปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวไกลและทันสมัย คุณสามารถตรวจโรคได้ด้วยตนเองง่าย ๆ ที่บ้านไม่ต้องเดินทางมาโรงพยาบาลโดยใช้ที่ตรวจของ Yesmom Fertility คุณสามารถซื้อชุดตรวจผ่านทางเว็บไซต์ของแบรนด์ได้โดยตรง ราคาชุดตรวจอยู่ที่ชุดละ 2,495 บาท วิธีการใช้ชุดตรวจมีอธิบายอย่างละเอียด

    ชุดตรวจประกอบไปด้วย 

    1. บัตรข้อมูลประจำตัว 1 ใบ 
    2. ฉลากป้ายชื่อ 1 ชิ้น
    3. ห่อแท่งเก็บเลือดพร้อมซองกันชื้น 1 ชุด
    4. กล่องแท่งเก็บเลือด 1 กล่อง
    5. เข็มเจาะเลือดชนิดปลอดภัย 3 ชิ้น 
    6. แผ่นแอลกอฮอล์ 3 ชิ้น
    7. ผ้าก๊อซ 1 ห่อ
    8. พลาสเตอร์ปิดแผล 3 ชิ้น
    9. ซองจดหมายพร้อมฉลากส่งกลับ 1 ชุดpcos

    PCOS รักษาหายขาดหรือไม่?

    ปัจจุบันโรค PCOS ยังไม่มีกรณีศึกษาว่ารักษาหาย แต่คุณสามารถป้องกันและบรรเทาได้ เมื่ออายุมากขึ้น ฮอร์โมนจากรังไข่จะลดลง ส่งผลให้โรค PCOS จะค่อยๆดีขึ้น 

    การป้องกันโรค PCOS

    การป้องกันโรค PCOS

    1. ควบคุมโภชนาการ

    น้ำหนักเกินเป็นหนึ่งในอาการของโรค PCOS ดังนั้นการลดน้ำหนักและควบคุมอาหารในแต่ละวันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง  เช่น การลดคาร์โบไฮเดรต ลดไขมัน และเพิ่มโปรตีน แต่อย่างไรก็ตามน้องแคร์ขอแนะนำให้คุณรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในแต่ละมื้อ เพียงแต่จำกัดปริมาณของอาหาร 

    2. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

    ในแต่ละวันคุณควรนอนให้ได้ประมาณ 6-8 ชั่วโมงเพื่อป้องกันการง่วงนอนในระหว่างวัน การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอจะทำให้ฮอร์โมนและอารมณ์ของคุณผิดปกติมากยิ่งขึ้นไปอีก

    3. ออกกำลังกาย 

    การออกกำลังกายเป็นสิ่งหนึ่งที่จำเป็นมากนอกจากจะทำให้คุณแข็งแรงและยังช่วยลดน้ำหนักแล้ว ยังช่วยปรับสารเคมีในสมองให้ดียิ่งขึ้น ทำให้จิตใจแจ่มใส ไม่เครียด น้องแคร์ขอแนะนำให้คุณออกกำลังกายวันละ 30 นาที อย่างน้อย 3 ครั้งต่ออาทิตย์ 

    โรคภัยไข้เจ็บสามารถเกิดขึ้นกับคุณหรือคนที่คุณรักได้ทุกเมื่อ อย่าลังเลที่จะซื้อประกันสุขภาพกับ แรบบิท แคร์ ติดตัวไว้สักฉบับ เพราะหากคุณไปรับการตรวจวินิจฉัยโรคด้วยวิธีอัลตราซาวนด์หรือรุนแรงมากจนถึงขั้นต้องผ่าตัด ก็หมดกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาล มาพร้อมกับบริษัทประกันชั้นนำของประเทศและแผนประกันที่มีความหลากหลาย ซื้อเลย! 


     

    บทความแคร์สุขภาพ

    Rabbit Care Blog Image 89748

    แคร์สุขภาพ

    โรคพุ่มพวงคืออะไร มีอาการอย่างไร อันตรายถึงชีวิตหรือไม่ ?

    โรคที่คนไทยเรียกกันจนติดปากว่าโรคพุ่มพวง เนื่องจากคนไทยเรารู้จักโรคนี้กันอย่างแพร่หลายเมื่อศิลปินชื่อดังอย่างคุณพุ่มพวง ดวงจันทร์
    Nok Srihong
    23/05/2024