ค่าออกซิเจนในเลือด คืออะไร? สำคัญอย่างไร? ค่าเท่าไหร่จึงปกติ
ค่าออกซิเจนในเลือด เป็นค่าสำคัญมากที่จำเป็นจะต้องตรวจหาค่าเพื่อระบุความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิดหรือโรคประจำตัวอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับปอดและหัวใจ ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับระบบหายใจ อย่างการหายใจไม่เต็มอิ่ม เหนื่อยหอบ การวัดค่าออกซิเจนในเลือดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง และจะรู้ได้อย่างไรว่าออกซิเจนในเลือดต้องมีค่าเท่าไหร่จึงจะปกติ หรือมีต่ำกว่าเท่าไหร่จึงอันตรายควรไปพบแพทย์โดยด่วน ติดตามคำตอบจากน้องแคร์ได้เลย!
ทำความรู้จักค่าออกซิเจนในเลือด คืออะไร?
ค่าออกซิเจนในเลือด หรือค่า SpO2 คือ ค่าที่ใช้สำหรับการระบุถึงปริมาณออกซิเจนที่มีการไหลเวียนอยู่ในเลือด ซึ่งค่าออกซิเจนในเลือดนี้มีความสำคัญที่แพทย์มักใช้ในการตรวจและติดตามอาการของผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอย่างโรคหอบหืด เป็นต้น ค่าออกซิเจนในเลือด เป็นการวัดปริมาณของออกซิเจนที่ผูกกับฮีโมโกลบินในเซลล์เม็ดเลือดแดงของเรา เพื่อบ่งบอกว่าเราสามารถส่งออกซิเจนไปยังอวัยวะและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ นักวิทยาศาสตร์และแพทย์มักจะวัดค่าออกซิเจนในเลือดผ่านทางสัญญาณที่ส่งผ่านผิวหนัง ค่าออกซิเจนในเลือดปกติส่วนใหญ่จะอยู่ที่ระดับ 95-100% หากระดับออกซิเจนในเลือดของคุณต่ำกว่า 90% มันอาจเป็นสัญญาณว่าอวัยวะของคุณไม่ได้รับออกซิเจนเพียงพอ เมื่อระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ มันอาจส่งผลให้คุณรู้สึกหายใจไม่อิ่ม การหายใจผิดปกติ อาการของค่าออกซิเจนในเลือดต่ำอาจรวมถึงอาการหายใจเร็ว รู้สึกเหนื่อยง่าย ผิวหนัง ริมฝีปาก หรือปลายนิ้วมือมีสีซีด และมีอาการซึม
สำหรับบางคน ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำอาจไม่ส่งผลกระทบอะไร แต่สำหรับคนที่มีปัญหาสุขภาพ อย่างเช่น โรคปอดหรือโรคภูมิแพ้ ระดับออกซิเจนที่ต่ำอาจส่งผลทำให้เกิดอาการเข้าเฉียบพลัน ซึ่งอันตรายมากต้องรีบเข้ารับการรักษา หรือที่เห็นได้ชัดในช่วงที่ผ่านมาที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด ก็มักจะพบว่ามีผู้ป่วยจำนวนมากเมื่อติดเชื้อโควิดแล้วจะมีอาการหายใจไม่เต็มอิ่ม เหนื่อยหอบ เนื่องจากค่าออกซิเจนในเลือดต่ำนั่นเอง
เราจะตรวจค่าออกซิเจนได้อย่างไร? ค่าออกซิเจนในเลือดปกติคือเท่าไหร่?
สำหรับการตรวจค่าออกซิเจนจะสามารถแบ่งออกได้ 2 วิธีการหลัก ๆ คือ การนำตัวอย่างเลือดไปตรวจทางแล็บ และการใช้เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว โดยแต่ละวิธีจะมีขั้นตอนและได้ค่าออกซิเจนปกติแตกต่างกัน ดังนี้
- วิธีนำตัวอย่างเลือดไปตรวจ : วิธีการตรวจค่าออกซิเจนในเลือดด้วยการนำตัวอย่างเลือดไปตรวจเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจวิเคราะห์ก๊าซในเลือด ซึ่งผลตรวจค่าออกซิเจนที่ได้ค่อนข้างจะแม่นยำ สามารถทราบถึงระดับของคาร์บอนไดออกไซด์และความเป็นกรดด่างในเลือดได้ด้วย วิธีการนี้ผลค่าออกซิเจนในเลือดที่อยู่ในระดับปกติส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 80-100 mm Hg
- วิธีการใช้เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว : วิธีการวัดค่าออกซิเจนในเลือดโดยใช้เครื่องวัดปลายนิ้วเป็นวิธีที่สะดวกและง่ายที่สุดที่สามารถทำด้วยตนเองที่บ้าน แต่ผลอาจจะไม่แม่นยำเท่ากับการตรวจจากตัวอย่างเลือดโดยตรง โดยวิธีนี้จะสามารถวัดได้เฉพาะค่าออกซิเจนในเลือดและอัตราการเต้นของหัวใจเท่านั้น โดยค่าออกซิเจนในเลือดสำหรับการวัดด้วยเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้วที่ถือว่าปกติควรอยู่ระหว่าง 96%–100%
ค่าออกซิเจนในเลือด โควิดสำคัญอย่างไร? ทำไมจึงต้องวัดหาค่า?
เนื่องจากค่าออกซิเจนในเลือดจะเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพในการทำงานของปอด เพราะปอดมีบทบาทในการแลกเปลี่ยนออกซิเจนในร่างกาย ซึ่งหากใครที่มีการติดเชื้อโควิดที่เชื้อสามารถเข้าไปทำลายปอดได้โดยตรง การตรวจหาค่าออกซิเจนในเลือด โควิดจึงเป็นวิธีการที่จะช่วยคัดกรองและเฝ้าระวังความรุนแรงของอาการได้เบื้องต้น โดยสังเกตได้จากค่าออกซิเจนในเลือดที่วัดได้ซึ่งปกติแล้วค่าออกซิเจนในเลือดของคนทั่วไปที่มีสุขภาพแข็งแรงไม่ป่วยจะอยู่ที่ 95%-100% ระดับชีพจรปกติอยู่ที่ 60-100 ครั้ง/นาที และหากใครที่วัดค่าออกซิเจนได้ต่ำกว่า 90% นั้นก็อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าอาจมีปัญหาเกี่ยวกับปอด ไม่ว่าจะเป็นโรคปอดบวม หรือโรคอื่น ๆ และในช่วงที่โรคโควิดระบาด ความเสี่ยงที่อาจจะเป็นไปได้ว่าคุณติดเชื้อโควิดจะสูงขึ้น
ผู้ที่มีระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ มักมีอาการเหนื่อยง่าย หายใจหอบ และอาจพบปัญหาในการหายใจอื่น ๆ ร่วมด้วย หากมีอาการเหล่านี้ก็ควรรีบไปหาหมอเพื่อตรวจการติดเชื้อโควิด อย่างไรก็ตามสำหรับบางคนการติดเชื้อโควิดอาจทำให้เกิดปัญหากับระบบประสาท ทำให้สมองคิดว่าปอดยังคงทำงานปกติ การวัดหาค่าออกซิเจนในเลือด โควิดโดยเร็วจึงมีความสำคัญที่จะทำให้ได้รับการรักษาที่ทันท่วงทีและลดโอกาสในการเสียชีวิตจากโรคนี้
กลุ่มเสี่ยงใดบ้างที่ควรตรวจค่าออกซิเจนในเลือด?
โดยทั่วไปแล้วบุคคลที่มีสุขภาพดีแข็งแรงและไม่มีโรคประจำตัว มักไม่มีความจำเป็นที่จะเช็กค่าออกซิเจนในเลือด แต่สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่แพทย์มักจะแนะนำให้วัดค่าออกซิเจนเพื่อความปลอดภัย มีดังนี้
- กลุ่มผู้ป่วยติดเชื้อโควิด
- กลุ่มผู้ป่วยโรคปอด
- กลุ่มผู้ที่มีการใช้ยาเกินขนาด
- กลุ่มผู้ที่มีอาการอาเจียนต่อเนื่องในปริมาณมาก
- กลุ่มผู้ที่รู้สึกหายใจไม่สะดวก หายใจไม่เต็มอิ่มหรือมีความเจ็บบริเวณหน้าอก
- กลุ่มผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุกระทบกระเทือนบริเวณศีรษะหรือคอ
- กลุ่มผู้ที่มีการสูดดมเอาก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์เข้าไปในปริมาณมาก
แพทย์จะใช้การตรวจออกซิเจนในเลือดเพื่อติดตามอาการและผลการรักษาของผู้ป่วยในกลุ่มเฉพาะ เช่น ผู้ที่เป็นโรคหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจ หรือผู้ป่วยห้อง ICU อย่างไรก็ตามการวัดออกซิเจนในเลือดเป็นเพียงขั้นตอนตรวจวัดเบื้องต้นในการวินิจฉัย ซึ่งไม่สามารถบ่งบอกสาเหตุที่แท้จริงของอาการและยังจำเป็นจะต้องใช้การตรวจด้วยวิธีอื่น ๆ ร่วมด้วยเพื่อความถูกต้องและแม่นยำในการตรวจรักษา
สำหรับผู้ที่มีการใช้เครื่องวัดค่าออกซิเจนปลายนิ้วด้วยตนเอง แล้วพบว่าค่าออกซิเจนในเลือดต่ำกว่าปกติ จึงรีบไปควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเพิ่มเติม และยิ่งถ้ามีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น หายใจไม่สะดวก หัวใจเต้นเร็ว ปวดศีรษะ มีเสียงหวีดเมื่อหายใจ หายใจหอบ ไอ ริมฝีปากเป็นสีแดงหรือสีฟ้า ฯลฯ ยิ่งต้องรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
วางแผนสุขภาพด้วยการซื้อประกันสุขภาพ จากแรบบิท แคร์ ลดความเสี่ยงค่าใช้จ่ายในการรักษาได้
การวางแผนสุขภาพด้วยการซื้อประกันสุขภาพเป็นวิธีที่ดีในการจัดการกับความเสี่ยงทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นกับคุณจากการรักษาโรคหรืออาการบาดเจ็บต่าง ๆ อย่างเช่น ค่าออกซิเจนในเลือด หากตรวจพบว่าคุณมีค่าออกซิเจนในเลือดที่ไม่ปกติ นั่นอาจหมายความว่าคุณกำลังมีปัญหาด้านสุขภาพอยู่ หากคุณมีประกันสุขภาพติดตัวไว้ประกันสุขภาพสามารถจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้เป็นอย่างดีโดยที่คุณไม่ต้องนำเงินเก็บทั้งหมดของคุณมาจ่ายเองทั้งหมด คุณเพียงแค่จ่ายเบี้ยประกันในแต่ละปีเพื่อรับผลประโยชน์ความคุ้มครองด้านสุขภาพเท่านั้น หนึ่งในสิ่งที่คุณควรพิจารณาในการวางแผนสุขภาพ คือ การเลือกซื้อประกันสุขภาพที่ให้ความครอบคลุมในเรื่องที่คุณมีความเสี่ยงสูงที่จะเจ็บป่วยรวมถึงโรคที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
คุณสามารถวางแผนสุขภาพของคุณได้ด้วยการเลือกประกันสุขภาพที่ทั้งสอดคล้องกับความต้องการและงบประมาณของคุณจากการใช้บริการเปรียบเทียบประกันสุขภาพ จากแรบบิท แคร์ ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้คุณสามารถเตรียมพร้อมสำหรับค่าใช้จ่ายในการรักษา โดยไม่ต้องใช้เงินออมหรือเงินที่คุณอาจต้องนำไปใช้ในเรื่องอื่น ๆ และในทางกลับกัน จะช่วยให้คุณสามารถควบคุมความเสี่ยงทางการเงินจากการรักษาที่ไม่คาดคิดได้เป็นอย่างดี และการวางแผนสุขภาพด้วยการทำประกันสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพควรดำเนินการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
- ประเมินความต้องการ : สำรวจและเข้าใจถึงสภาพสุขภาพของตนเอง โรคประจำตัว (ถ้ามี) และความต้องการในการรักษาพยาบาล หากคุณมีโรคประจำตัวหรืออยู่ในภาวะเสี่ยง คุณอาจต้องการประกันที่มีความคุ้มครองที่สูงมากขึ้น
- ค้นหาและเปรียบเทียบแผนประกัน : อ่านและทำความเข้าใจในรายละเอียดของแผนประกันสุขภาพที่มีอยู่ในตลาด ทั้งที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครอง ค่าเบี้ยประกัน และเงื่อนไขการรับประกัน
- ตรวจสอบความคุ้มครอง : ดูว่าประกันสุขภาพครอบคลุมค่าใช้จ่ายอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นค่ายา ค่ารักษาพยาบาล ค่าผ่าตัด ค่าห้องพยาบาล หรือค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการรักษาพยาบาลอื่น ๆ
- พิจารณาตัวเลือกที่มีอยู่ : ควรเลือกแผนประกันที่ตรงกับความต้องการและการจ่ายเงินที่สามารถรับไหว ในบางกรณี แผนประกันที่มีค่าเบี้ยประกันสูงกว่าอาจมีความคุ้มครองที่ดีกว่า
- ตรวจสอบเงื่อนไข : ตรวจสอบเงื่อนไขการเคลม วงเงินคุ้มครองสูงสุด การตัดสินใจยกเว้น และอื่น ๆ
- ประเมินซ้ำแผนประกันทุกๆ ปี : ตรวจสอบว่าแผนประกันของคุณยังคงตรงกับความต้องการของคุณหรือไม่
การวางแผนสุขภาพด้วยการซื้อประกันสุขภาพจะช่วยให้คุณสามารถป้องกันความเสี่ยงจากค่าใช้จ่ายในการรักษาสุขภาพที่ไม่คาดคิดได้ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านประกันภัยจากแรบบิท แคร์ เพื่อให้ได้แผนที่ดีที่สุดตามความต้องการของคุณ
มีประสบการณ์มากกว่า 3 ปี เป็นนักเขียนด้านประกันสุขภาพ ประกันชีวิต เพื่อสุขภาพที่ Rabbit Care และ Asia Direct
และ 12 ปี ในอุตสาหกรรม OTA อย่าง Laterooms.com , Expedia.com จึงมีความเชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยว
จบการศึกษาปริญญาตรี สาขาการจัดการการเงิน มหาวิทยาลัยขอนแก่น