แคร์สุขภาพ

เช็คให้ดี! กินอาหารแบบไหน เสี่ยงเป็นไขมันพอกตับ ภัยเงียบที่ต้องรีบรักษา

ผู้เขียน : Mayya Style
Mayya Style

เป็นนักเขียนสายสุขภาพและการเงินที่มีประสบการณ์ในการเขียนมากมาย โดยได้ฝากผลงานในหลากหลายรูปแบบที่เน้นด้านบริหารร่างกายและจิตใจ ทำงานที่ Rabbit Care และ Asia Direct ได้อย่างมืออาชีพ

close
linkedin icon
แก้ไขโดย : Nok Srihong
Nok Srihong

มีประสบการณ์มากกว่า 3 ปี เป็นนักเขียนด้านประกันสุขภาพ ประกันชีวิต เพื่อสุขภาพที่ Rabbit Care และ Asia Direct และ 12 ปี ในอุตสาหกรรม OTA อย่าง Laterooms.com , Expedia.com จึงมีความเชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยว จบการศึกษาปริญญาตรี สาขาการจัดการการเงิน มหาวิทยาลัยขอนแก่น

close
linkedin icon
 
Published: September 7,2023
ไขมันพอกตับ

ใครที่กำลังมีความสุขกับการกินอาหารจำพวกของทอด ของมัน ปิ้งย่าง ต่อไปนี้ต้องระวังแล้วล่ะ เพราะการมีพฤติกรรมการกินแบบนี้บ่อย ๆ หรือกินแบบนี้เป็นชีวิตจิตใจจะทำให้คุณมีความเสี่ยงเป็นไขมันพอกตับโดยไม่รู้ตัว! ไขมันพอกตับเป็นอย่างไร ต้องรักษาอย่างไร น้องแคร์มีคำตอบ!

เปรียบเทียบประกันสุขภาพกับ Rabbit Care พิเศษ! ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน
icon angle up or down

เลือกแผนประกันสุขภาพที่คุณสนใจ

    ชื่อนามสกุล

    หมายเลขโทรศัพท์

    ไขมันพอกตับ คืออะไร? สาเหตุการเกิดภาวะไขมันพอกตับ เกิดขึ้นได้อย่างไร?

    ภาวะไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease) หรือภาวะไขมันเกาะตับเกิดจากการสะสมไขมันในเซลล์ตับ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถใช้ไขมันที่รับประทานได้ทั้งหมด ทุกคนมีความเสี่ยงที่จะมีภาวะไขมันพอกตับแม้ไม่อ้วน โดยพบว่าคนอ้วนมีความเสี่ยงไขมันพอกตับ 60 % และคนที่ไม่อ้วนมีความเสี่ยงไขมันพอกตับ 19 % หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้ตับแข็งและเป็นสาเหตุของมะเร็งตับได้ ภาวะนี้สามารถพบได้ทั้งเพศและวัยทุกช่วง แต่พบมากที่สุดในกลุ่มอายุ 40-50 ปี เนื่องจากประสิทธิภาพของระบบการเผาผลาญอาหารเริ่มลดลง

    สำหรับสาเหตุของโรคไขมันพอกตับสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มได้แก่

    • โรคไขมันพอกตับจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (alcoholic fatty liver disease) โรคนี้มีความรุนแรงขึ้นกับประเภทและปริมาณของแอลกอฮอล์ที่ดื่ม รวมถึงระยะเวลาที่ดื่มแอลกอฮอล์
    • โรคไขมันพอกตับไม่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ (non-alcoholic fatty liver disease) โรคนี้เกิดจากสภาวะที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานของร่างกาย เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ระดับไขมันในเลือดสูง หรือไวรัสตับอักเสบซี

    กลไกการเกิดโรคไขมันพอกตับคือเมื่อมีการรับประทานอาหารเกินไป ตับจะเก็บสะสมพลังงานเหล่านี้เป็นไขมัน ถ้าตับไม่สามารถนำไขมันไปใช้หรือย่อยสลายไขมันตามปกติได้ เช่น ในกรณีที่ปริมาณไขมันที่รับเข้ามาเกินกว่าที่ตับจะสามารถใช้งานได้ ไขมันก็จะเริ่มสะสมขึ้นในเนื้อเยื่อตับ

    ภาวะไขมันพอกตับ อาการเป็นอย่างไร?

    สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงไขมันพอกตับ อาการนั้นแทบจะไม่มีอะไรแจ้งเตือนคุณเลย โดยเฉพาะในระยะแรกของการเกิดภาวะไขมันพอกตับ มักจะมีอาการปกติเหมือนไม่ได้มีอะไรรุนแรง แต่คุณสามารถสังเกตอาการที่อาจบ่งชี้ได้ว่าคุณมีภาวะไขมันพอกตับแล้วล่ะ ดังนี้

    1. รู้สึกอ่อนเพลียและไม่มีแรงโดยไ่มีสาเหตุ : ร่างกายจะรู้สึกอ่อนเพลียและไม่มีพลังงานแม้จะพักผ่อนมาเยอะแล้ว เนื่องจากตับไม่สามารถแปลงสารอาหารให้เป็นพลังงานได้อย่างปกติ
    2. รู้สึกเบื่ออาหาร น้ำหนักลด : เสื่อมความสามารถในการย่อยอาหารและระบบการเผาผลาญของร่างกายทำงานผิดปกติ ทำให้รู้สึกไม่สนใจการรับประทานอาหารและลดน้ำหนัก โดยเกิดจากการดื้อต่ออินซูลินในร่างกายเนื่องจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลได้อย่างเต็มที่
    3. ความผิดปกติทางเกี่ยวกับท้องและระบบย่อยอาหาร: ตับเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการย่อยอาหารและการส่งออกน้ำดี เมื่อตับทำงานไม่เป็นปกติ จะทำให้กระบวนการย่อยอาหารไม่เป็นไปตามปกติ ซึ่งอาจเกิดอาการท้องอืดและความไม่สบายในท้องขึ้น
    4. เจ็บหรือคันที่จุดที่ตำแหน่งของตับ: หากตับอักเสบหรือบวมขึ้น เจ็บจุกและความเจ็บปวดอาจเกิดขึ้นที่จุดที่ตับตั้งอยู่
    5. ปัญหาเกี่ยวกับการนอน: ร่างกายอาจมีปัญหาในการหลับหรือหลับไม่สนิท เนื่องจากตับทำงานผิดปกติทำให้ระดับเมลาโทนินที่ช่วยควบคุมกระบวนการนอนลดลง ซึ่งทำให้เกิดปัญหาในการหลับได้
    6. คันตามผิวหนัง: เนื่องจากตับไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ จะเกิดการคั่งของน้ำดี ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการคันทางผิวหนัง

    อาการเหล่านี้ถือเป็นอาการทั่วไปที่ไม่ค่อยมีใครคิดว่าเกี่ยวข้องกับสภาวะไขมันในตับ แต่หากไม่ระวังและดูแลตั้งแต่เริ่มต้น อาการเบาๆเหล่านี้อาจพัฒนาเป็นโรคร้ายแรง เช่น ตับอักเสบเรื้อรัง พังผืดในตับ ตับแข็ง และมะเร็งตับได้

    กลุ่มคนที่เสี่ยงเป็นไขมันพอกตับ เป็นคนกลุ่มใดบ้าง?

    การเป็นไขมันพอกตับเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้ทั้งเพศและอายุ ลองตรวจสอบดูว่าคุณเป็นกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่อโรคไขมันพอกตับหรือไม่

    • กลุ่มคนที่มีภาวะอ้วน: ผู้ชายที่มีรอบเอวเกิน 40 นิ้วและผู้หญิงที่มีรอบเอวเกิน 35 นิ้ว
    • กลุ่มคนที่มีระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงกว่า 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
    • กลุ่มคนที่มีโรคประจำตัวเช่นเบาหวานและระดับไขมันในเลือดสูง
    • กลุ่มคนที่มีความดันโลหิตสูง: ความดันโลหิตที่ระดับ 140/90 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
    • กลุ่มคนที่มีระดับไขมันดี (HDL) ต่ำ: ผู้ชายที่มีน้อยกว่า 40 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรและผู้หญิงที่มีน้อยกว่า 50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร

    ถ้าคุณมีปัญหาสุขภาพเหล่านี้อยู่แล้ว ควรป้องกันตัวเองไม่ให้เป็นไขมันพอกตับ มิฉะนั้นอาจเป็นปัญหาที่ทำให้คุณกังวล เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวมของคุณได้

    ไขมันพอกตับ ห้ามกินอะไรบ้างนะ?

    เนื่องจากภาวะไขมันพอกตับเกิดจากการสะสมไขมันในตับ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการรักษาสุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญในการป้องกันและฟื้นฟูอาการไขมันพอกตับเบื้องต้น เพื่อลดภาระที่ตับต้องรับมาจากไขมัน นี่คืออาหารที่ควรหลีกเลี่ยงในผู้ป่วยไขมันพอกตับ

    • อาหารที่มีไขมันสูง : หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารจานด่วน อาหารประเภททอด อาหารมัน ไขมันสัตว์ เนื่องจากการบริโภคไขมันมากอาจทำให้ไขมันสะสมในตับมากขึ้น
    • อาหารที่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูง : ควรลดการบริโภคน้ำตาลและอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น น้ำหวาน ขนมหวาน ข้าวสาลี เนื่องจากน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูงอาจทำให้เกิดภาวะอ้วนและเสี่ยงต่อการเกิดโรคไขมันพอกตับ
    • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ห้ามดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากสามารถเป็นสาเหตุของภาวะไขมันพอกตับจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
    • อาหารที่มีโซเดียมสูง: ควรลดการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น เกลือ อาหารที่มีโซเดียมสูงอาจทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงและส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับ

    นอกจากการหลีกเลี่ยงอาหารที่กล่าวมา ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ผัก ผลไม้ อาหารที่มีใยอาหารสูง และควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน

    เป็นไขมันพอกตับ รักษาอย่างไร? 

    การรักษาไขมันพอกตับมีหลายวิธีและขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับความรุนแรงของภาวะที่คุณเป็น โดยวิธีเบื้องต้นพื้นฐาน ได้แก่ 

    1. ลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวและอาหารที่หลากหลายอย่างได้, เช่น อาหารแป้ง น้ำตาล, และอาหารหนึ่งชนิดที่ไม่เหมาะสม

    2. ปรับเปลี่ยนอาหารให้เป็นไปตามแนะนำในการรับประทานอาหารที่เหมาะสม เช่น มีสัดส่วนมากของผัก, ผลไม้ เป็นต้น

    3. ควบคุมน้ำหนัก เพื่อลดการสะสมของไขมัน และ ปรึกษากับแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายเพื่อรับคำแนะนำในการเริ่มต้นและสร้างโปรแกรมออกกำลังกายที่เหมาะสม

    4. ลดหรือหยุดการบริโภคแอลกอฮอล์

    5. ตรวจสุขภาพประจำตัวเพื่อตรวจสอบสภาพของไขมันพอกตับและสุขภาพโดยรวมอย่างสม่ำเสมอ

    6. หลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือสารเคมีที่อาจเสี่ยงต่อตับ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับการใช้หรือหยุดยาเหล่านั้น

    ไขมันพอกตับ รักษาหายไหม?

    โรคไขมันพอกตับ สามารถหายขาดได้โดยการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดูแลสุขภาพและการรักษาเป็นระยะยาว เช่น การลดน้ำหนัก, การงดรับประทานของมันของทอด หรือ ลดการบริโภคไขมันเลว ทั้งนี้ แรบบิท แคร์ ขอแนะนำให้คุณปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ รวมถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดูแลสุขภาพของคุณ และอาจต้องทำการตรวจสุขภาพแบบประจำเพื่อติดตามความคืบหน้าและปรับแผนรักษาตามความเหมาะสมในแต่ละกรณี

    เหล่านี้ คือข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับโรคไขมันพอกตับ หากใครเป็นแล้วไม่รู้ต้องทำยังไง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีการรับมือที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ เพื่อที่จะได้อยู่กับคนที่คุณรักไปนาน ๆ และอย่าลืม ทำประกันสุขภาพ กับ แรบบิท แคร์ ไว้สักฉบับ เพื่อเจ็บป่วย นอนโรงพยาล จะได้เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ คุ้มครองทั้ง IPD , และ OPD โทรเลย 1438 


     

    บทความแคร์สุขภาพ

    Rabbit Care Blog Image 89748

    แคร์สุขภาพ

    โรคพุ่มพวงคืออะไร มีอาการอย่างไร อันตรายถึงชีวิตหรือไม่ ?

    โรคที่คนไทยเรียกกันจนติดปากว่าโรคพุ่มพวง เนื่องจากคนไทยเรารู้จักโรคนี้กันอย่างแพร่หลายเมื่อศิลปินชื่อดังอย่างคุณพุ่มพวง ดวงจันทร์
    Nok Srihong
    23/05/2024