Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ

แบตเตอรี่รถยนต์มีกี่ประเภท? ต้องดูแลอย่างไร? เคลมประกันได้ไหม?

แบตเตอรี่ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการจ่ายกระแสไฟฟ้าและจัดเก็บแหล่งพลังงานไฟฟ้าของรถยนต์ มีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยมขนาดกลาง โดยแบตเตอรี่จะทำหน้าที่ป้อนกระแสไฟฟ้าเข้าไปยังอุปกรณ์ส่วนต่าง ๆ ของรถยนต์ ในปัจจุบันแบตเตอรี่รถยนต์ มีทั้งหมด 4 ประเภท วันนี้ แรบบิท แคร์ รวบรวมข้อมูลแบตเตอรี่รถยนต์มาให้แล้ว

แบตเตอรี่แบบน้ำ (Conventional Battery)

เป็นแบตเตอรี่แบบดั้งเดิม ซึ่งแบตเตอรี่แบบน้ำจะต้องตรวจเช็ค และเติมน้ำกลั่นอยู่เสมอ เพราะมีการสูญเสียน้ำค่อนข้างสูง หากปล่อยให้น้ำระเหยออกจากแบตเตอรี่หมด จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ อายุการใช้งานสั้นลง โดยแบตเตอรี่แบบน้ำเป็นแบตเตอรี่ที่ต้องมีการเติมน้ำกลั่น เป็นแบตเตอรี่ชนิดตะกั่วกรด มีสารข้างในเป็นโลหะผสมกับตะกั่วและพลวง โดยจะมีสารละลายอิเล็กโทรไลท์เป็นของเหลวอยู่ด้านในของแบตเตอรี่ จึงต้องมีการดูแลในเรื่องของปริมาณน้ำกลั่นไม่ให้ขาด จะต้องรักษาปริมาณน้ำกลั่นที่อยู่ในแบตเตอรี่อยู่เสมอ และยังเป็นแบตเตอรี่ชนิดที่คนนิยมใช้กันมากที่สุด

ข้อดี-ข้อเสียของแบตเตอรี่แบบน้ำ

ข้อดีของแบตเตอรี่แบบแห้ง

  • มีราคาถูกสุด - แบตเตอรี่แบบแห้งเป็นแบตเตอรี่ชนิดที่มีราคาถูกที่สุด เมื่อเทียบกับแบตเตอรี่ชนิดอื่น ๆ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้แบตเตอรี่แบบน้ำจึงได้รับความนิยมมากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องแลกมาด้วยการดูแลรักษาที่จะต้องใส่ใจมากกว่าแบตเตอรี่แบบอื่น
  • ทนทานต่อสภาวะประจุไฟเกิน - แบตเตอรี่จะพบกับปัญหาสภาวะประจุไฟเกิน หรือการคายประจุในแบตเตอรี่ ที่ทำให้แบตเตอรี่เกิดความเสียหายได้ ซึ่งแบตเตอรี่แบบน้ำเป็นแบตเตอรี่ที่ความทนทานสูง และยังทนทานต่อการเกิดสภาวะประจุไฟฟ้าเกินได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับแบตเตอรี่ได้

ข้อเสียของแบตเตอรี่แบบแห้ง

  • ต้องเติมน้ำกลั่นอย่างสม่ำเสมอ - แบตเตอรี่แบบแห้งจะต้องได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ ก่อนการใช้งานรถทุกครั้งผู้ขับขี่จะต้องตรวจสอบระดับน้ำกรดเป็นประจำ และจะต้องพกน้ำกลั่นติดไว้ในรถอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้สะดวกในการเติมน้ำกลั่นหากระดับน้ำในแบตเตอรี่ลดน้อยลง เพราะถ้าหากปล่อยให้ระดับของเหลวในแบตเตอรี่เหลือน้อย ก็มีสิทธิ์รถดับระหว่างทางได้
  • อายุการใช้งานน้อยสุด - ในบรรดาแบตเตอรี่ทั้งหมด แบตเตอรี่แบบน้ำจะมีอายุการใช้งานน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับแบบอื่น ๆ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลอีกด้วย หากมีการดูแลหมั่นเติมน้ำกลั่นอย่างสม่ำเสมอ ไม่ปล่อยให้น้ำกลั่นลดจนแห้ง ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานออกไปได้
  • ระมัดระวังน้ำกรดไหลออกมา - เมื่อทำการเติมน้ำกลั่นแล้วก็ต้องปิดฝาให้สนิท เพื่อไม่ให้มีน้ำกรดไหลออกมาสร้างความเสียหายต่ออะไหล่ชิ้นอื่น ๆ
  • เมื่อแบตเตอรี่มีปัญหาจะต้องหารถมาพ่วงแบตฯ - หากรถของคุณสตาร์ทไม่ติด อันเนื่องมาจากปัญหาของแบตเตอรี่ คุณจะต้องหารถอีกคันเพื่อมาพ่วงแบตเตอรี่ให้กับรถของคุณ และจะต้องมีสายที่ใช้สำหรับพ่วงแบตเตอรี่ติดรถไว้อยู่เสมอ เพื่อเตรียมความพร้อมหากรถของคุณเกิดปัญหา

แบตเตอรี่แบบน้ำเหมาะกับการใช้งานแบบไหน?

แบตเตอรี่แบบน้ำจะเหมาะกับคนที่พอรู้เรื่องอะไหล่รถยนต์เบื้องต้น เพราะจะต้องมีการเติมน้ำกลั่นเพื่อรักษาระดับน้ำในแบตเตอรี่อยู่เสมอ ซึ่งจะต้องเป็นคนที่มีเวลาระดับหนึ่ง เพราะจะต้องดูเรื่องความสะอาดของหัวจุกแบตเตอรี่ ไม่ให้มีขี้เกลือมาเกาะ ที่สำคัญจะต้องมีพวกอุปกรณ์พ่วงแบตเตอรี่และน้ำกลั่น ติดรถไว้เสมอเพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลแบตเตอรี่แบบน้ำด้วย

แบตเตอรี่แบบแห้ง (Sealed Maintenance Free)

เป็นแบตเตอรี่ที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น ไม่มีรูสำหรับเติมน้ำกลั่น ภายในของแบตเตอรี่ถูกบรรจุด้วยของเหลวสำหรับทำปฏิกิริยา มีการเติมน้ำกรดและชาร์จไฟมาให้เรียบร้อยจากโรงงานโดยแบตเตอรี่ที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นตลอดอายุการใช้งาน โดยจะเป็นแบตเตอรี่ที่พัฒนามาจากแบตเตอรี่แบบน้ำ ไม่มีฝาเปิด-ปิดตรงแบตเตอรี่เหมือนกับแบตเตอรี่แบบน้ำ แต่ถึงอย่างนั้นภายในแบตเตอรี่แบบแห้ง ก็ยังคงมีน้ำกรดบรรจุอยู่ด้านในของแบตเตอรี่ และมีการชาร์จไฟแบตเตอรี่มาแล้วจากโรงงานผลิต แบตเตอรี่แบบแห้งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่

  • แบตเตอรี่แห้งแบบ AGM (Absorbent Glass Mat) เป็นแบตเตอรี่แบบแห้งที่ช่วยลดการระเหยของน้ำ และช่วยดูดซับน้ำกรดได้เป็นอย่างดี มีจุดเด่นตรงที่น้ำกรดจะไม่ไหลออกมาให้เกิดความเสียหายต่อเครื่องยนต์
  • แบตเตอรี่แห้งแบบเจล เป็นแบตเตอรี่ที่ตัวอิเล็กไทรไลต์มาในรูปแบบเจล โดดเด่นในเรื่องของการทนต่อทุกสภาพอากาศ ไม่ว่าจะเป็นอากาศร้อนจัดหรือหนาวจัด

ข้อดี-ข้อเสียของแบตเตอรี่แบบแห้ง

ข้อดีของแบตเตอรี่แบบแห้ง

  • สะดวกสบายกว่า - ช่วยลดขั้นตอนในการคอยเติมน้ำกลั่นออกไป ทำให้คุณไม่ต้องมานั่งตรวจดูระดับของน้ำกลั่นที่อยู่ภายในแบตเตอรี่ และคอยรักษาปริมาณน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ให้คงอยู่ ซึ่งเหมาะกับคนที่ไม่มีเวลา หรือคนที่อาศัยอยู่ในเมืองที่มีกิจวัตรประจำวันแบบเร่งรีบ
  • ป้องกันน้ำกรดไหลออกมาสร้างความเสียหาย - ให้แก่เครื่องยนต์ได้ อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่าแบตเตอรี่แบบแห้งจะไม่มีฝาที่ใช้เติมน้ำกลั่น จึงทำให้ไม่มีช่องที่จะให้น้ำกรดที่อยู่ภายในแบตเตอรี่หลุดรั่วออกมาได้ ทำให้เครื่องยนต์ปลอดภัยจากน้ำกรด
  • มีอายุการใช้งานสูงกว่า - แบตเตอรี่ประเภทอื่น ๆ ในเมื่อเป็นแบตเตอรี่แบบแห้งเป็นแบตเตอรี่ที่เกิดจากการพัฒนาของเดิม แน่นอนว่าอายุการใช้งานก็ได้ถูกพัฒนาให้มากขึ้น อายุการใช้งานของแบตเตอรี่แบบแห้งจะเฉลี่ยอยู่ที่ 4-5 ปี
  • จ่ายกระแสไฟฟ้าเร็วกว่า - แบตเตอรี่ชนิดอื่น ๆ

ข้อเสียของแบตเตอรี่แบบแห้ง

  • มีราคาสูงกว่าแบตเตอรี่ชนิดอื่น - ด้วยข้อดีที่กล่าวมาทั้งหมดทั้งมวลนั้น ประกอบกับการเป็นแบตเตอรี่ชนิดที่พัฒนามาจากแบตเตอรี่ชนิดอื่น ๆ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่แบบแห้งมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าแบตเตอรี่ชนิดอื่น ๆ แต่ถึงอย่างนั้นแบตเตอรี่แบบแห้งก็สามารถใช้งานได้ยาวกว่าแบตเตอรี่ชนิดอื่น ๆ หลายปี
  • อุดตันได้ง่ายกว่า - จากข้อดีของแบตเตอรี่แบบแห้ง ที่ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำกรดไหลออกมาได้นั้น รูระบายอากาศของแบตเตอรี่ชนิดนี้จะมีขนาดเล็ก ส่งผลให้เกิดการอุดตันได้ง่าย และแบตเตอรี่อาจมีปัญหาเรื่องการระบายความร้อนร่วมด้วย

แบตเตอรี่แบบแห้งเหมาะกับการใช้งานแบบไหน?

แบตเตอรี่แบบแห้งจะสามารถใช้งานได้กับรถยนต์ทุกชนิด แต่สามารถเลือกให้เข้ากับการใช้งานของเจ้าของรถแต่ละคนได้ โดยแบตเตอรี่แบบแห้งจะเหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาในการดูแลแบตเตอรี่ หรือเป็นคนที่มีความรู้ในเรื่องของแบตเตอรี่มากนัก แบตเตอรี่แบบแห้งจึงตอบโจทย์การใช้งานของผู้คนเหล่านี้

แบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง (Maintenance Free)

เป็นแบตเตอรี่ที่มีความคล้ายกับคลึงกับแบตเตอรี่แบบแห้ง ยังมีรูให้เติมน้ำกลั่นอยู่ แต่ไม่ต้องเติมบ่อยๆ เหมือนแบตเตอรี่แบบน้ำ ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ที่รวมข้อดีของแบตเตอรี่แบบแห้ง ละแบตเตอรี่แบบน้ำเข้าไว้ด้วยกัน โดยแบตเตอรี่กึ่งแห้งจะมีรูไว้ให้เติมน้ำกลั่น แต่จะไม่ต้องเติมน้ำกลั่นถี่เท่ากับแบตเตอรี่แบบน้ำ โดยระยะเวลาในการเติมน้ำกลั่นจะอยู่ที่ประมาณ 6 เดือน หรือ 1-2 ครั้งต่อปี แถมยังลดความสิ้นเปลืองเพราะกินน้ำกรดน้อย ให้กำลังไฟสูง และยังมีความทนทานกว่าแบตเตอรี่แบบน้ำ มีอายุการใช้งานได้สูงสุดถึง 3 ปี

ข้อดี-ข้อเสียของแบตเตอรี่กึ่งแห้ง

ข้อดีของแบตเตอรี่กึ่งแห้ง

  • ลดขั้นตอนการดูแลแบตเตอรี่ลง - ปกติแล้วแบตเตอรี่แบบน้ำจะต้องมีการดูแลแบตเตอรี่ ต้องหมั่นคอยเติมน้ำกลั่นเพื่อรักษาระดับน้ำในแบตเตอรี่ไว้ แต่แบตเตอรี่กึ่งแห้งจะไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยเท่ากับแบตเตอรี่แบบน้ำ แบตเตอรี่กึ่งแห้งจะเติมน้ำกลั่นเพียง 6 เดือนต่อครั้ง (1-2 ครั้งต่อปี) แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องเติมเลย จะต้องมีการเปิดเช็กระดับน้ำกลั่นบ้างเป็นครั้งคราว และยังสามารถเก็บแบตเตอรี่ไว้โดยไม่มีประจุไฟได้ประมาณ 6 เดือน
  • มีราคาถูกกว่าแบตเตอรี่แบบแห้ง - ถึงแม้ข้อดีของแบตเตอรี่กึ่งแห้ง อาจจะไม่ได้ดีเทียบเท่ากับแบตเตอรี่แบบแห้ง 100% แต่ข้อดีก็ถือว่าสูสีกันอยู่ไม่น้อย ถึงแม้ว่าข้อดีจะแตกต่างกันไม่มากแต่ราคาของแบตเตอรี่กึ่งแห้งมีราคาที่ต่ำกว่าแบตเตอรี่แบบแห้งอยู่

ข้อเสียของแบตเตอรี่กึ่งแห้ง

  • ยังต้องเติมน้ำกรดอยู่บ้าง - หากมีการใช้งานรถอย่างหนัก ก็จะต้องหมั่นเติมน้ำกลั่นและตรวจเช็กปริมาณน้ำในแบตเตอรี่บ้างตามการใช้งาน
  • รูระบายน้ำกลั่นระบายได้ไม่ดีเท่าแบตเตอรี่แบบแห้ง - ทำให้มีเศษขี้เกลือเกาะอยู่ตามขั้วของแบตเตอรี่ได้ จึงต้องคอยหมั่นตรวจเช็ก และทำความสะอาดขี้เกลือที่เกาะอยู่บริเวณขั้วแบตเตอรี่อยู่เสมอ
  • ต้องระมัดระวังในการผิดฝาแบตเตอรี่ - หากปิดฝาแบตเตอรี่ได้ไม่สนิท สารที่อยู่ด้านในแบตเตอรี่อาจไหลออกมาเลอะสร้างความเสียหายขณะที่ขับรถได้ ทุกครั้งที่มีการเปิดฝาเพื่อเติมน้ำกลั่น ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าปิดฝาจุกได้ดีแล้วหรือไม่
  • ไม่เหมาะกับรถที่ตำแหน่งแบตเตอรี่อยู่ในห้องโดยสาร - เพราะหากได้สูดดมสารระเหยจากน้ำกรดในแบตเตอรี่เป็นเวลานานเข้า อาจส่งผลไม่ดีต่อร่างกายในระยะยาวได้

แบตเตอรี่กึ่งแห้งเหมาะกับการใช้งานแบบไหน?

แบตเตอรี่กึ่งแห้งเหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลเติมน้ำกลั่นมากนัก เพราะแบตเตอรี่กึ่งแห้งจะช่วยให้ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยเท่ากับแบตเตอรี่แบบน้ำ และยังเหมาะกับรถที่มีการใช้งานหนัก เช่น รถ Taxi มากกว่าแบตเตอรี่แบบแห้ง และยังเหมาะกับคนที่ไม่ค่อยได้ใช้รถอีกด้วย เพราะแบตเตอรี่กึ่งแห้งสามารถเก็บได้โดยไม่ต้องมีประจุไฟฟ้าได้ประมาณ 6 เดือน

แบตเตอรี่แบบไฮบริด (Hybrid Battery)

เป็นแบตเตอรี่ที่ผสมระหว่างแบตเตอรี่แบบกึ่งแห้งและน้ำ มีค่าแรง CCA สูงมีขนาดใหญ่ และต้องเติมน้ำกลั่น 6-9 เดือนต่อครั้ง โดยแบตเตอรี่ไฮบริดเป็นแบตเตอรี่รถยนต์ที่ผสมผสานระหว่างแบตเตอรี่ชนิดที่ต้องเติมน้ำกลั่น (แบตเตอรี่แบบน้ำ) และแบตเตอรี่ชนิดที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น (แบตเตอรี่แบบแห้ง) เข้าไว้ด้วยกัน โดยแบตเตอรี่ชนิดนี้จะมีส่วนผสมจากตะกั่วและแคลเซียม ช่วยลดการระเหยของน้ำกลั่นได้ดีจึงไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อย โดยระยะเวลาในการเติมน้ำกลั่นจะใช้เวลาถึง 3 เดือน หรือใช้ได้นานถึง 15,000 กิโลเมตร โดยที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นให้เสียเวลา

ข้อดี-ข้อเสียของแบตเตอรี่ไฮบริด

ข้อดีของแบตเตอรี่ไฮบริด

  • ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อย - เพราะมีการระเหยของน้ำกลั่นน้อยกว่าแบตเตอรี่รถยนต์ชนิดอื่น ๆ จึงทำให้แบตเตอรี่ไฮบริดใช้งานได้ยาวโดยที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น โดยระยะเวลาเฉลี่ยในการเติมน้ำกลั่นแต่ละครั้งจะอยู่ที่เวลา 3 เดือน หรือหากมีการใช้งานรถเยอะเป็นพิเศษ ก็ให้เติมน้ำตอนที่ใช้รถไปได้ 15,000 กิโลเมตร
  • ดูแลรักษาง่าย - ไม่ต้องคอยเช็ดทำความสะอาดแบตเตอรี่ เนื่องจากไม่ได้มีการเติมน้ำกลั่นบ่อย จึงไม่ค่อยมีขี้เกลือมาขึ้นที่บริเวณขั้วแบตเตอรี่ และไม่ต้องดูแลรักษาอะไรให้มากนัก ทำให้ไม่ต้องเสียเวลามาดูแลแบตเตอรี่ไฮบริด
  • มีอายุการใช้งานเยอะกว่าแบตเตอรี่ธรรมดา - ปกติแล้วแบตเตอรี่รถยนต์ธรรมดาทั่วไปจะมีอายุการใช้งานไม่เกิน 3 ปี แต่แบตเตอรี่แบบไฮบริดจะมีอายุการใช้งานตั้งแต่ 7-10 ปี ไม่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อยให้สิ้นเปลืองเงิน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลแบตเตอรี่ด้วย หากระหว่างการใช้งานมีการดูแลแบตเตอรี่เป็นอย่างดี ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้
  • ใช้งานได้ดีกับรถขนาดใหญ่ - หรือรถที่ต้องดึงพลังงานแบตเตอรี่มาใช้เยอะมาก เช่น ผู้ที่ขับรถทางไกลอยู่บ่อยครั้ง แบตเตอรี่ไฮบริดจึงเป็นแบตเตอรี่ที่ตอบโจทย์กับผู้ที่ใช้งานรถขนาดใหญ่ และขับรถทางไกลเป็นประจำ

ข้อเสียของแบตเตอรี่ไฮบริด

  • แบตเตอรี่ไฮบริดมีราคาสูงกว่าแบตเตอรี่ธรรมดา - ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่ถูกพัฒนาขึ้นมานี้ หากต้องแลกกับความสะดวกสบาย ใช้งานได้กับรถขนาดใหญ่ แบตเตอรี่ไฮบริดจึงมีราคาที่สูงกว่าแบตเตอรี่รถยนต์ชนิดอื่น ๆ

แบตเตอรี่ไฮบริดเหมาะกับการใช้งานแบบไหน?

แบตเตอรี่ไฮบริดเป็นแบตเตอรี่รถยนต์ที่เหมาะกับการใช้งานในรถที่มีขนาดใหญ่ อย่างรถกระบะขนาด 2,800 ลิตรขึ้นไป รถบรรทุก หรือรถที่ใช้ขับประจำทาง รถรับจ้างต่าง ๆ ที่มีการใช้งานรถอย่างหนักจึงจะเหมาะ เนื่องจากเป็นแบตเตอรี่รถยนต์ที่มีราคาสูง การนำมาใช้งานรับจ้างจึงจะคุ้มค่ามากกว่า หรือคนที่ต้องขับรถทางไกลเป็นประจำ และต้องการประหยัดเวลาในการดูแลแบตเตอรี่

แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานกี่ปี

โดยปกติอายุการใช้งานของแบตเตอรี่รถยนต์ จะอยู่ที่ 2-5 ปี ขึ้นอยู่กับการใช้งาน การดูแลรักษา และสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ด้วย อย่างไรก็ตาม อายุการใช้งานของแบตเตอรี่รถยนต์จะอยู่ที่ 2 ปีขึ้นไป แต่ถ้ารถยนต์มีการใช้งานอยู่ถูกวิธี มีการดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์อย่างถูกต้อง ก็จะช่วยยืดอายุการใช้ในได้อีกพอสมควรเลยทีเดียว การเปลี่ยนแบตเตอรี่แต่ละครั้งใช้เงินหลักพันไปจนถึงหลายพัน ถ้ายืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้นาน ก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปได้

วิธีดูแลแบตเตอรี่รถยนต์ให้ใช้งานได้นานๆ ต้องทำอย่างไร

อย่างที่บอกว่าแบตเตอรี่เป็นชิ้นส่วนที่มีอายุการใช้งานจำกัด แต่ถ้าได้รับการดูแลอย่างถูกวิธีก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานขึ้น วิธีการดูแลแบตเตอรี่รถยนต์ให้ใช้งานได้นานๆ มีดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการจอดรถยนต์ทิ้งไว้เป็นเวลานาน แต่ถ้าหากจำเป็นต้องจอดรถทิ้งไว้เป็นเวลานาน ให้ถอดแบตเตอรี่ออก
  • หลีกเลี่ยงการใช้รถสำหรับในการเดินทางระยะสั้นบ่อยๆ
  • หลีกเลี่ยงการจอดรถตากแดด หรือจอดรถในที่ร้อนจัด
  • ตรวจเช็ค ทำความสะอาดแบตเตอรี่เป็นประจำ โดยเฉพาะบริเวณขั้วแบต
  • ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบน้ำ และแบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง ให้ตรวจเช็คระดับน้ำกลั่น และเติมเป็นประจำ
  • หลีกเลี่ยงการเปิดใช้อุปกรณ์เสริมทั้งหมดในขณะที่ยังไม่สตาร์ทเครื่องยนต์

แบตเตอรี่เสียหาย แจ้งเคลมประกันรถได้ไหม?

กรณีแบตเตอรี่รถยนต์เสียหายจากอุบัติเหตุรถชนจะได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขความคุ้มครองของประกันรถยนต์ที่ได้ทำไว้ แต่หากแบตเตอรี่รถยนต์เสียหายจากการใช้งานผิดประเภท การเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน หรือความประมาทของผู้ขับขี่ หรือเจ้าของรถซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายโดยใช่เหตุ จะไม่ได้รับความคุ้มครองในส่วนของแบตเตอรี่รถยนต์ อย่างไรก็ตาม แบตเตอรี่รถที่ได้รับความเสียหายจากการณีอื่น ๆ นอกเหนือจากการเกิดอุบัติเหตุ อาจได้รับความคุ้มครองเมื่อเลือกทำประกันอะไหล่หรือชิ้นส่วนรถยนต์แทน

แรบบิท แคร์ รวบรวมแบบประกันรถยนต์จากทุกบริษัทประกันชั้นนำให้เลือกครบในที่เดียว พร้อมรับส่วนลดสูงสุด 70% และสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ขับขี่ครบทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นความช่วยเหลือฉุกเฉินทางถนนตลอด 24 ชั่วโมง หรือบริการรถใช้ระหว่างซ่อม โทรเลย 1438

ความคุ้มครองประกันรถยนต์

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา