
เช็กลิสต์ 10 พฤติกรรมที่คุณ(อาจ)พลาด ขณะเลือกซื้อประกันสุขภาพ
ปัจจุบันออฟฟิศซินโดรมไม่ใช่อาการที่เกิดขึ้นกับคนในช่วงวัยทำงานหรือนั่งทำงานภายในออฟฟิศเพียงเท่านั้น แต่เป็นอาการอันเกิดจากพฤติกรรม ที่สร้างความทรมานและความรำคาญใจให้กับคนทุกวัยในทุกสายอาชีพซึ่งต้องทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันโดยใช้อิริยาบถเดิม ๆ ได้เลยทีเดียว แล้วเจ้าอาการนี้เมื่อเป็นแล้วจะสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ เรามาทำความเข้าใจและรู้จักออฟฟิศซินโดรมให้มากขึ้นไปพร้อม ๆ กัน
คำถามที่หลายคนคาใจ ถ้าหากเป็นออฟฟิศซินโดรมแล้วจะต้องทำการรักษาด้วยวิธีไหน และสามารถหายขาดได้หรือไม่ คำตอบคือสามารถรักษาได้ แต่จะหายขาดหรือมีอาการกลับมาอีกไหมนั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล ซึ่งในส่วนของแนวทางการรักษาอาการออฟฟิศซินโดรมนั้น แรบบิท แคร์ จะอธิบายให้อ่านกันโดยขอแบ่งเป็นการรักษาแบบให้ผลระยะสั้น และการรักษาแบบให้ผลยั่งยืน
วิธีการกลุ่มนี้เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเพราะสามารถทำได้ง่าย ทำเองก็ได้ เช่น การยืดเหยียดกล้ามเนื้อด้วยตัวเอง ทาครีมแก้ปวด แปะแผ่นลดปวด รับประทานยาคลายกล้ามเนื้อ หรือหากต้องการออกไปใช้บริการยังสถานบริการก็มีตัวเลือกหลากหลาย ราคาไม่แพง เช่น การนวดผ่อนคลาย เพียงแต่ส่วนมากผลที่ได้จะช่วยให้อาการทุเลาลงเท่านั้น หรือใครเป็นไม่มากอาจรู้สึกว่าอาการหายไป แต่หากกลับไปทำพฤติกรรมเหมือนเดิมอาการออฟฟิศซินโดรมก็จะกลับมาให้รำคาญใจในเวลาไม่นาน
วิธีการกลุ่มนี้เป็นวิธีการที่ได้ผลดีและเป็นประตูสู่การรักษาอาการออฟฟิศซินโดรมให้หายขาด สิ่งสำคัญอยู่ที่การปรับพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ในการใช้ชีวิตและการทำงาน เริ่มต้นได้จากสำรวจสาเหตุของการเกิดอาการ ให้ความสำคัญในการเปลี่ยนแปลงและมีวินัยในการปรับปรุงแก้ไข หมั่นออกกำลังกาย รวมถึงอาจใช้วิทยาการการรักษาทางการแพทย์เข้ามาร่วมรักษาออฟฟิศซินโดรม
นอกจากจะทำการปรับพฤติกรรมแล้ว ปัจจุบันมีวิทยาการทางแพทย์มากมายให้เราได้เลือกสรร ทั้งแพทย์แผนไทย แพทย์แผนจีน และแพทย์แผนปัจจุบันอยากลองแบบไหนมีให้เลือกตั้งแต่ราคาสบาย ๆ ไปถึงราคาที่ต้องรูดบัตรเครดิตกันเลยทีเดียว และแอบกระซิบบอกก่อนว่าบางบริษัทประกัน มีประกันที่คุ้มครองเฉพาะด้าน ครอบคลุมการรักษาออฟฟิศซินโดรมด้วย ใครคิดว่าตัวเองสุ่มเสี่ยงการเป็นออฟฟิศซินโดรม ในอนาคตต้องทำการรักษา ลองหาข้อมูลแล้วซื้อประกันที่ครอบคลุมกันดู
วิธีการรักษาแบบแพทย์แผนจีนโบราณ เป็นการปรับการไหลเวียนของเลือด ลมปราณ และพลังงานในร่างกายให้เกิดความสมดุล ช่วยกระตุ้นให้อวัยวะภายในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น โดยแพทย์แผนจีนผู้มีความเชี่ยวชาญจะมีความรู้และสามารถฝังเข็มได้ตรงจุด รักษาความปวดเมื่อย ความอ่อนล้าของร่างกายได้เป็นอย่างดี
อีกหนึ่งวิธีการรักษาบำบัดตามตำราแพทย์แผนจีนโบราณ ช่วยขจัดเลือดคั่ง ลดความปวดเมื่อยบริเวณกล้ามเนื้อ กระตุ้นเลือดลมให้ไหลเวียนดีขึ้น กำจัดของเสีย ระบายความชื้นออกจากร่างกาย โดยใช้อุปกรณ์แก้วทรงกลมไล่อากาศออกด้วยความร้อน และนำมาวางครอบลงบนบริเวณเส้นลมปาน
วิธีการที่ฮิตมากในปัจจุบันและมักเห็นตามโซเชี่ยลแพลตฟอร์มต่าง ๆ กันอย่างสม่ำเสมอ โดยการจัดกระดูกนี้จะมีทั้งการจัดกระดูกแบบแพทย์แผนไทย และการจัดกระดูกแบบแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งเป็นแพทย์ทางเลือกเพื่อบรรเทาอาการปวดเฉพาะด้านที่เรียกว่า ไคโรแพรคติก (Chiropractic) ซึ่งความจริงแล้วการรักษาทั้ง 2 แบบนี้มีหลักการรักษาเหมือนกัน คือการจัดกระดูกในร่างกายของคนไข้ที่อยู่ผิดตำแหน่งเพื่อให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ช่วยปรับสรีระร่างกายให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกที่ควร ลดโอกาสการใช้ชีวิตผิดอิริยาบถซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาความปวดเมื่อย
อีกวิธีการรักษาที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน และยืนยันแล้วว่าได้ผลจริงอย่างการกายภาพบำบัดนั้น ก่อนเริ่มทำจะมีการวินิจฉัยสาเหตุจากนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญ ประเมินอาการ และหาวิธีการรักษาที่ตรงจุด ซึ่งจะมีวิธีการรักษาหลายแบบด้วยกัน ตั้งแต่การใช้ยา ใช้เครื่องมือกายภาพบำบัดร่วมกับการกดจุด ดัด ดึง นวด บริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อลดอาการปวดและอักเสบของกล้ามเนื้อ ไปจนถึงการรักษาโดยการกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้า (electrical stimulation) คลื่นเหนือเสียง (ultrsound) คลื่นกระเเทก (shockwave) และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (shotwave diathermy) เป็นต้น
ทั้งนี้ก่อนตัดสินใจทำการรักษาอาการออฟฟิศซินโดรมด้วยวิทยาการทางการแพทย์ แรบบิท แคร์ ขอแนะนำว่าให้ทุกคนลองศึกษา หาข้อมูลเพิ่มเติม และเลือกสถานบริการหรือโรงพยาบาลที่มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มีความน่าเชื่อถือ เพราะการรักษาด้วยวิธีเหล่านี้หากทำโดยผู้ที่ไม่มีประสบการณ์หรือความเชี่ยวชาญ อาจเกิดข้อผิดพลาดและผลเสียต่อร่างกายของเราอย่างร้ายแรง
ทราบสาเหตุ อาการ วิธีการป้องกันรวมถึงวิธีการรักษาอาการออฟฟิศซินโดรมกันไปแล้ว หวังว่าทุกคนจะมีสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตที่แข็งแรง ใครที่ทำการรักษาออฟฟิศซินโดรมเรียบร้อยแล้วก็อย่าลืมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และไม่ทำพฤติกรรมที่จะทำให้อาการออฟฟิศซินโดรมกลับมารบกวนสุขภาพและชีวิตประจำวันอีกครั้ง
ออฟฟิศซินโดรม คือ กลุ่มอาการที่เกิดจากพฤติกรรมในการทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันแบบผิดวิธีจนทำให้ร่างกายต้องรับภาระหนักจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการนั่ง ยืน นอน เล่นโทรศัพท์มือถือ ก็ล้วนทำให้เกิดอาการออฟฟิศซินโดรมได้ และยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ เช่น สภาพแวดล้อมและอุปกรณ์ในการทำงานที่ไม่เหมาะสม สภาวะร่างกายหรือสภาวะอารมณ์ด้านลบอย่างความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ และการรับประทานอาหารไม่ตรงเวลาซึ่งถือปัจจัยเสริมที่ก่อให้เกิดอาการออฟฟิศซินโดรมได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้านิ่งนอนใจและปล่อยไปในระยะยาวจากที่เป็นออฟฟิศซินโดรมเพียงอย่างเดียวก็จะพัฒนาไปสู่อาการไมเกรนในอนาคตได้อีกด้วย
หากพูดถึงอาการออฟฟิศซินโดรม แน่นอนว่าสิ่งแรกที่เราจะนึกถึงคงเป็นเรื่องของการปวดเมื่อยบริเวณ คอ บ่า ไหล่ แต่รู้หรือไม่ว่าออฟฟิศซินโดรมมีการจำแนกกลุ่มตามลักษณะอาการด้วย โดย ร.พ.ศิริราชได้แบ่งอาการออฟฟิศซินโดรมเป็น 3 ประเภท
ถือเป็นอาการที่ใกล้ตัวและทุกคนต่างคุ้นเคยมากที่สุด นั่นก็คือการรู้สึกปวดบริเวณ คอ บ่า ไหล่ สะบัก หรือเอว โดยมักมีอาการปวดเป็นวงกว้าง ระบุตำแหน่งที่ปวดอย่างชัดเจนได้ยาก รวมถึงอาจมีอาการปวดลุกลามหรือรู้สึกปวดแบบร้าว ๆ ไปยังบริเวณข้างเคียงได้ ซึ่งการปวดลักษณะนี้ จะมีระดับความรุนแรงในการปวดเริ่มตั้งแต่รู้สึกล้า ๆ รู้สึกปวดไม่มากพอให้รู้สึกรำคาญ ไล่ระดับไปจนถึงปวดมากจนทรมานได้เลยทีเดียว
เป็นอาการที่มีโอกาสพบร่วมได้ในบางบุคคล ซึ่งจะรู้สึกเหมือนเป็นเหน็บ ชา ซ่า ๆ วูบ เย็น ขนลุก หรือมีเหงื่อซึมบริเวณที่ปวด และหากบริเวณที่ปวดอยู่ที่คอ อาจส่งผลให้รู้สึกมึนงง ตาลาย ตาพร่า หูอื้อ ได้อีกด้วย
อาการนี้มักพบมากในหมู่คนวัยทำงาน ซึ่งมักทำงานอยู่ในอิริยาบถที่มีการกดทับบริเวณเส้นประสาทนานจนเกินไป ส่งผลให้มีอาการอ่อนแรง มักมีอาการชาบริเวณแขนและมือ
สำหรับใครที่ยังโชคดีไม่เป็นออฟฟิศซินโดรมแล้วอยากเช็กตัวเองเพื่อป้องกันการเกิดอาการดังกล่าวต้องหมั่นสำรวจตัวเองให้ดี หากร่างกายเริ่มส่งสัญญาณเตือนแบบนี้ ต้องรีบปรับพฤติกรรม
อาการเหล่านี้เป็นอาการเริ่มต้นก่อนเข้าสู่การเป็นออฟฟิศซินโดรมเต็มขั้น หากใครมีอาการเหล่านี้ต้องรีบสังเกตวิธีการใช้ชีวิตประจำวันและเร่งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนอาการจะลุกลามจนต้องทำการรักษาใหญ่โต
หลังจากทราบกันไปแล้วว่าสาเหตุของออฟฟิศซินโดรมมาจากอะไร สัญญาณเตือนก่อนเป็นมีอาการแบบไหน ก็ต้องใส่ใจกับพฤติกรรมที่ห้ามทำหากไม่อยากเผชิญกับความทรมานระยะยาว
Do | Don’t |
---|---|
ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายทุก 30 นาที | นั่งทำงานอยู่ในอิริยาบถเดิมนานเกินไป |
นั่งในท่าที่ถูกต้อง หลังตรง คอตั้งตรง | นั่งหลังค่อม คอยื่น นั่งเอียงตัวไปด้านใดด้านหนึ่ง |
สวมใส่รองเท้าที่ใส่สบาย ซัพพอร์ทการเดิน | ใส่ส้นสูงเมื่อต้องยืนนาน ๆ หรือเดินเป็นระยะทางไกล |
หยุดพักสายตาจากการจ้องหน้าจอทุก 30 นาที | จ้องหน้าจอเป็นเวลาติดต่อกันนานเกินไป |
โฟกัสกับงานแต่พอดี รู้จักผ่อนคลายและปล่อยวาง | เคร่งเครียดกับงานมากจนเกินไป ไม่ยืดหยุ่น |
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ | ก้มหน้าเล่นแต่โทรศัพท์เป็นเวลานาน ๆ |
มีประสบการณ์มากกว่า 3 ปี เป็นนักเขียนด้านประกันสุขภาพ ประกันชีวิต เพื่อสุขภาพที่ Rabbit Care และ Asia Direct
และ 12 ปี ในอุตสาหกรรม OTA อย่าง Laterooms.com , Expedia.com จึงมีความเชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยว
จบการศึกษาปริญญาตรี สาขาการจัดการการเงิน มหาวิทยาลัยขอนแก่น
บทความแคร์สุขภาพ
เช็กลิสต์ 10 พฤติกรรมที่คุณ(อาจ)พลาด ขณะเลือกซื้อประกันสุขภาพ
โรคพุ่มพวงคืออะไร มีอาการอย่างไร อันตรายถึงชีวิตหรือไม่ ?