แคร์การเงิน

7 ขั้นตอนเตรียมตัวก่อนกู้บ้านหลังแรก

ผู้เขียน : กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ

ทีมกองบรรณาธิการ กลุ่มนักเขียนผู้มีประสบการณ์ด้านรถยนต์ การเงิน และประกันภัย ของ แรบบิท แคร์ ที่เปิดดำเนินการมาแล้วมากกว่า 10 ปี

close
Facebook iconIG iconlinkedin iconYoutube icon
แก้ไขโดย : คะน้าใบเขียว
คะน้าใบเขียว

นักเขียนรุ่นไฮบริด เขียนบทความด้านการบริหารเงินส่วนบุคคลและการลงทุนต่าง ๆ กว่า 7 ปี เริ่มต้นที่งานเขียนที่ Rabbit Finance จนย้ายมาที่ Rabbit Care และ Asia Direct

close
linkedin icon
 
Published: October 24,2019
  
Last edited: October 25, 2019
ขั้นตอนการกู้บ้านหลังแรก

หลายคนอาจจะคิดว่าการกู้เงินซื้อบ้านหรือคอนโดสักหลังอาจจะเป็นเรื่องยาก แน่นอนว่าอาจจะต้องเตรียมตัวหลายขั้นตอนสักนิด เนื่องจากธนาคารต้องการมั่นใจจริงๆ ว่าคุณจะสามารถผ่อนภาระหนี้ที่กู้ได้ Bangkok Citismart จึงขอเสนอ 7 ขั้นตอนที่คุณต้องรู้และเตรียมตัวให้พร้อมก่อนกู้ ซึ่งจะช่วยวางแผนเรื่องเงิน การคำนวนความสามารถในการผ่อน รวมถึงแนวทางการมีประวัติทางด้านบัญชีที่ดีให้เตรียมตัวก่อนจะมีบ้านหรือคอนโดหลังแรก มั่นใจได้ว่าจะสามารถกู้ผ่านได้สบายๆ อย่างแน่นอน

  • คำนวนความสามารถในการกู้

สูตรการคำนวณราคาบ้านที่จะกู้ซื้อได้นั้น สามารถคำนวณคร่าวๆ โดยใช้สูตร ดังนี้

คำนวนความสามารถในการกู้บ้าน

ภาระหนี้สินอื่น หรือศัพท์ธนาคารจะเรียกว่าค่า DSR (Debt Service Ratio) หมายถึงหนี้สินทุกอย่างที่มี เช่น ค่าผ่อนรถ ค่าบัตรเครดิต ค่าโทรศัพท์ เป็นต้น ซึ่งธนาคารส่วนใหญ่จะอนุญาตให้ผู้กู้บ้านมีภาระหนี้ได้ 40% ของรายได้ ดังตัวอย่างภาพขวา สมมติว่ามีรายได้ต่อเดือน 50,000 บาท และภาระหนี้ผ่อนโทรศัพท์อยู่เดือนละ 5,000 บาท ความสามารถผ่อนชำระเมื่อหักลบแล้วจึงเหลือเพียง 15,000 บาท เท่านั้น

และหากจะคำนวนหาวงเงินที่สามารถกู้ได้ ณ ขณะนั้นต้องมาดูกันว่าดอกเบี้ยที่ธนาคารกำหนดไว้เป็นล้านละกี่บาทต่อเดือน ตัวอย่างในภาพจะเป็นการตั้งดอกเบี้ยอยู่ที่ 6.5% ผ่อนชำระล้านละ 7,000 บาทต่อเดือน เมื่อนำมาคำนวนรวมกับความสามารถผ่อนชำระต่อเดือน วงเงินที่สามารถกู้ได้จะอยู่ที่ประมาณ 2,140,000 บาทต่อเดือนครับ

เมื่อทราบกำลังของราคาบ้านหรือคอนโดที่เราสามารถผ่อนไหวแล้ว ก็เป็นขั้นตอนของการเลือกหาที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับความสามารถต่อไป

  • เก็บเงินไว้ดาวน์

จะซื้อบ้านหรือคอนโดทั้งที ไม่ใช่ว่าจะกู้จากธนาคารอย่างเดียวนะครับ เพราะธนาคารมีกฎให้เรากู้ได้สูงสุด 90% ของราคาบ้านหรือคอนโดเท่านั้น อีก 10% คือเงินดาวน์ที่เราต้องจ่ายเองครับ เช่น หากบ้านราคา 1,000,000 บาท ธนาคารจะให้เรากู้ได้ 900,000 บาท อีก 100,000 บาท เราต้องผ่อนจ่ายให้กับผู้พัฒนาโครงการเป็นรายเดือน ในระหว่างที่โครงการกำลังก่อสร้าง (ธนาคารจะปล่อยกู้เมื่อที่อยู่อาศัยนั้นสร้างเสร็จแล้ว) โดยทั่วไปจะเก็บเงินดาวน์ที่ 10-20% ของราคาบ้านครับ

ก่อนยื่นกู้บ้านแต่ละแบบจะมีโปรแกรมผ่อนแตกต่างกันครับ หากเป็นโครงการแนวราบ เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ หรืออาคารพานิชย์ มักจะวางโปรแกรมให้ผ่อน 3-6 เดือนก่อนยื่นกู้บ้าน เช่น บ้านราคา 6,000,000 บาท เรียกเก็บเงินดาวน์ 10% = 600,000 บาท โดยให้ผ่อนดาวน์ 3 เดือน ดังนั้น จึงต้องชำระค่าดาวน์บ้านเฉลี่ยเดือนละ 200,000 บาท

หากเป็นคอนโดมิเนียม จะมีระยะเวลาการก่อสร้างนานกว่า จึงมีโปรแกรมการผ่อนดาวน์ที่ค่อนข้างนานระหว่าง 8 – 36 เดือน ขึ้นอยู่กับความเร็วในการสร้าง วิธีคำนวณเดียวกัน ยกตัวอย่าง ราคาคอนโดฯ 3,000,000 บาท เรียกเก็บเงินดาวน์ 10% = 300,000 บาท โดยให้ผ่อนดาวน์ 12 เดือน ดังนั้น จึงต้องชำระค่าดาวน์คอนโดฯ เฉลี่ยเดือนละ 25,000 บาท

ดังนั้น ก่อนซื้อบ้านหรือคอนโดฯ ควรวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้มีเงินชำระค่าดาวน์ล่วงหน้านะครับ

  • รักษารายการเดินบัญชีให้คงที่

เวลาจะกู้ขอสินเชื่อ ทางธนาคารจะขอรายการเดินบัญชี หรือ Statement ย้อนหลัง 6 เดือน เพราะฉะนั้นเราควรวางแผนให้ 6 เดือนนี้มีเงินคงไว้ในบัญชีสม่ำเสมอ ไม่ควรถอนออกหมดทุกเดือน หรือฝากเข้าบัญชีทุกเดือนก็จะช่วยให้เพิ่มความน่าเชื่อถือในการกู้ให้ง่ายขึ้นครับ

  • ชำระหนี้ให้หมดก่อนกู้

การที่เรามีภาระการชำระหนี้ต่างๆ จะทำให้เรามีวงเงินในการกู้บ้านต่ำลงนั่นเองครับ ดังนั้น ควรชำระให้หมดก่อนที่จะยื่นเอกสารกู้ มิเช่นนั้น ธนาคารจะถือว่าเรามีภาระหนี้สินอื่น ซึ่งต้องนำไปหักลบกับวงเงินที่สามารถกู้ได้ครับ

  • เครดิตบูโร

เรื่องนี้สำคัญมากครับ หลายคนที่มีบัตรเครดิตแล้วผ่อนชำระหนี้ไม่ตรงกำหนดของธนาคาร จะทำให้ติดเครดิตบูโรได้ครับ โดยธนาคารจะตรวจสอบย้อนหลัง 2 ปี หากมีการชำระหนี้ไม่ตรงเวลาจะติด “แบล็กลิสต์” ถือว่าเป็นผู้กู้ที่มีความเสี่ยงจะเป็นหนี้เสีย ดังนั้น ในระยะเวลา 2 ปีนี้ ควรผ่อนชำระให้ตรงเวลาทุกครั้งนะครับ

  • ปิดบัตรเครดิต

การที่ธนาคารมาชวนสมัครบัตรเครดิตด้วยข้อเสนออะไรก็ตาม จะทำให้การกู้ของเราเป็นไปได้ยากขึ้นนะครับ ยิ่งหากใครที่มีบัตรเครดิตมากกว่า 1 ใบ ธนาคารจะมองว่าผู้กู้มีโอกาสสร้างหนี้สูงขึ้น ดังนั้น ก่อนยื่นเอกสารกู้ควรยกเลิกบัตรเครดิตให้เหลือเพียง 1-2 ใบเท่านั้น

  • เตรียมเอกสารให้พร้อม

เตรียมหลักฐานการทำงานและรายได้ต่างๆ ไว้แต่เนิ่นๆ อาทิ สลิปเงินเดือน ใบรับรองการทำงาน ที่ใช้เวลาค่อนข้างนานในการขออนุมัติจากหน่วยงานต้นสังกัด การเตรียมตัวขอเอกสารไว้ก่อนเนิ่นๆ จึงสะดวกขึ้นเมื่อธนาคารขอหลักฐานนั่นเองครับ

ทั้งหมดนี้ก็เป็นขั้นตอนของการเตรียมตัวก่อนจะเดินเข้าไปขอกู้เงินซื้อบ้านหรือคอนโดจากทางธนาคารนะครับ ถ้าเราเตรียมพร้อมให้ครบทั้งหมดนี้ รับรองว่ากู้ผ่านสบายหายห่วงแน่นอน ที่สำคัญอย่าลืมประเมินความสามารถในการกู้ของเราด้วยนะครับ จะได้ผ่อนจ่ายสบายๆ ไม่เป็นภาระหนักจนกระทบกระเป๋าสตางค์นั่นเองครับ


ที่มา


 

บทความแคร์การเงิน

Rabbit Care Blog Image 94185

แคร์การเงิน

ไม่มีรถคืนไฟแนนซ์ ต้องเจอปัญหาใหญ่แค่ไหน

พอถึงเวลาที่เราผิดสัญญาไฟแนนซ์ต่อเนื่อง มีโอกาสถูกยึดรถสูงมาก แต่ถ้าไม่มีรถคืนไฟแนนซ์จะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน
Natthamon
03/09/2024
Rabbit Care Blog Image 93664

แคร์การเงิน

มรดกหนี้ คืออะไร ? เมื่อพ่อแม่เสียชีวิต ลูกต้องใช้หนี้ต่อหรือไม่ ?

เคยได้ยินคำว่ามรดกหนี้หรือไม่ ? เคยสงสัยไหมว่าเมื่อพ่อแม่เสียชีวิตไปแล้วหนี้ที่มีอยู่จะต้องทำอย่างไร ใครต้องรับภาระเหล่านั้นเอาไว้ ? วันนี้ แรบบิท แคร์
คะน้าใบเขียว
22/08/2024
Rabbit Care Blog Image 90939

แคร์การเงิน

ถูกยืมเงินบ่อย ๆ ควรปฏิเสธอย่างไร เพราะอะไรเราถึงมักตกเป็นเหยื่อการขอยืมเงิน ?

ปัญหาชวนปวดหัวอย่างการถูกยืมเงินถือเป็นปัญหาที่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเผชิญ ไม่ว่าจะด้วยเพราะสถานการณ์การเงินที่เป็นอยู่ลำพังเอาตัวเองให้รอดก็ลำบาก
คะน้าใบเขียว
23/07/2024