เครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ มีกี่ประเภท ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
เครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ คือ หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อน ซึ่งตัวเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์จะสามารถทำงานได้เป็นอย่างดี ต้องเกิดขึ้นจากการประกอบอะไหล่ที่สำคัญเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ ที่มีหน้าที่เปลี่ยนพลังงานความร้อนเป็นพลังงานกล แล้วส่งกำลังขับเคลื่อนเข้าสู่ระบบของรถมอเตอร์ไซค์ ทำให้วิ่งไปข้างหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ใครอยากทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ขั้นพื้นฐานที่มีโอกาสพบเจอในชีวิตประจำวันบ่อยครั้ง แรบบิท แคร์ รวบรวมข้อมูลเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ของมอเตอร์ไซค์ แต่ละประเภทที่น่าสนใจมาให้ทั้งหมดแล้ว
ความสำคัญของเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์
เครื่องยนต์นั้นเปรียบเสมือนเป็นหัวใจของรถมอเตอร์ไซค์เลยก็ว่าได้ เพราะว่าเป็นเครื่องจักรกลที่จะทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานความร้อนให้กลายเป็นพลังงานกล แล้วจึงส่งผลทำให้รถมอเตอร์ไซค์เคลื่อนที่ได้นั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็ได้มีการใช้เครื่องยนต์มาเป็นส่วนหนึ่งในยานพาหนะ เช่น รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ หรือเครื่องทุ่นแรงต่าง ๆ เพื่อที่จะช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้แก่มนุษย์มากยิ่งขึ้น
ส่วนประกอบเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ มีอะไรบ้าง
เริ่มด้วยส่วนประกอบเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ มีอะไรบ้าง องค์ประกอบเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์มีทั้งหมด 12 ส่วนด้วยกัน คือ ฝาสูบ, เสื้อสูบ, อ่างน้ำมันเครื่อง, กระบอกสูบ, ลูกสูบ, ก้านสูบ, เพลาข้อเหวี่ยง, ลิ้นไอดี, ลิ้นไอเสีย, สปริง, หัวฉีด, หัวเทียน และล้อช่วยแรง โดยแต่ละส่วนประกอบของเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์มีดังนี้
- ฝาสูบ: มีหน้าที่หลักของฝาสูบในเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์คือปิดและสนับสนุนห้องเผาไหม้ ในขณะที่เชื้อเพลิงและอากาศถูกบีบอัด นอกจากนี้ฝาสูบยังมีบทบาทในการระบายความร้อนและควบคุมความดันเชื้อเพลิง เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมั่นคง
- เสื้อสูบ: มีหน้าที่เป็นโครงสร้างหลักของกระบอกสูบ และฝาสูบ เสื้อสูบมีบทบาทในการรองรับและยึดติดส่วนอื่น ๆ ของเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ เพื่อให้กระบอกสูบและวาล์วทำงานอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
- อ่างน้ำมันเครื่อง: มีหน้าที่เก็บและบำรุงน้ำมันเครื่องยนต์ นอกจากนี้ยังเป็นที่อยู่ของเครื่องส่วนอื่น ๆ ของเครื่องยนต์ เช่น ส่วนที่เชื่อมต่อกับกระบอกสูบ และฝาสูบ อ่างน้ำมันเครื่องช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพและการทำงานของเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์
- กระบอกสูบ: มีหน้าที่สร้างพื้นที่ว่างในการดูดซึมและบีบอัดเชื้อเพลิงและอากาศ รวมถึงการเผาไหม้เชื้อเพลิงในกระบอกสูบเพื่อสร้างพลังงานที่จำเป็นในการขับเคลื่อนรถจักรยานยนต์
- ลูกสูบ: มีหน้าที่เคลื่อนที่ขึ้น-ลงภายในกระบอกสูบ (Cylinder) โดยรับแรงดันจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงและอากาศ ลูกสูบมีบทบาทในการบีบอัดและเติมพลังงานให้กับเครื่องยนต์ เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการสูบ-บีบ-เผาไหม้ของเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์
- ก้านสูบ: มีหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างลูกสูบ (Piston) และเพลาครัช (Crankshaft) ซึ่งช่วยในกระบวนการแปลงการเคลื่อนที่เชิงเส้นของลูกสูบเป็นการเคลื่อนที่เชิงหมุนของเพลาครัช เป็นส่วนสำคัญในการส่งพลังงานจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงไปยังขับเคลื่อนลูกสูบและเครื่องยนต์โดยรวมในเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์
- เพลาข้อเหวี่ยง: มีหน้าที่แปลงการเคลื่อนที่เชิงเส้นของลูกสูบเป็นการเคลื่อนที่เชิงหมุน โดยเพลาข้อเหวี่ยงรับแรงจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงและอากาศในห้องเผาไหม้และส่งพลังงานให้กับระบบขับเคลื่อน เพลาข้อเหวี่ยงเชื่อมต่อกับลูกสูบผ่านก้านสูบและทำให้ลูกสูบเคลื่อนที่ด้วยการบีบอัดและคลายตามการหมุนของเพลาข้อเหวี่ยง
- ลิ้นไอดี: มีหน้าที่เปิดเพื่อให้เชื้อเพลิงและอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ในกระบอกสูบ โดยจะเปิดในจังหวะการดูดซึมเมื่อลูกสูบเคลื่อนที่ลง ซึ่งทำให้สามารถดูดเชื้อเพลิงและอากาศลงไปในห้องเผาไหม้เพื่อเตรียมพร้อมในกระบวนการการเผาไหม้และสร้างพลังงานในเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์
- ลิ้นไอเสีย: เป็นส่วนที่รับผิดชอบในการปล่อยแก๊สไอเสียออกจากกระบอกเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์หลังจากการเผาไหม้เสร็จสิ้น เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับการสร้างปริมาณการไหม้ใหม่ในกระบอก
- สปริง: มีหน้าที่รักษาวาล์วให้อยู่ในตำแหน่งปิดเมื่อไม่ได้รับแรงจากลูกสูบ และส่งกลับวาล์วไปสู่สภาพปิดอย่างรวดเร็วหลังจากการเปิด เพื่อป้องกันการรั่วของแก๊สภายในกระบอกเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์
- หัวฉีด: มีหน้าที่ฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงแบบฝอยไปยังกระบอกเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ในรูปแบบที่ถูกควบคุมให้ถูกต้อง เพื่อทำให้การเผาไหม้และผลักลูกสูบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและลดการปล่อยก๊าซมลพิษ
- หัวเทียน: เป็นอุปกรณ์ที่สร้างประกายไฟในกระบอกเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ เพื่อจุดประกายการเผาไหม้ของน้ำมันเชื้อเพลิงและอากาศ ซึ่งทำให้เกิดแรงดันที่ผลักลูกสูบเคลื่อนที่ได้
- ล้อช่วยแรง: มีหน้าที่เก็บและปล่อยพลังงานหมุน เพื่อทำให้การหมุนของเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์มีความเรียบร้อยและสม่ำเสมอ และช่วยให้เครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์สามารถเริ่มต้นได้
วิธีจำแนกประเภทเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์
วิธีจำแนกประเภทเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ สามารถทำได้ด้วยการแบ่งออกเป็น 5 ประเภทหลัก คือ รูปแบบเครื่องยนต์, จำนวนจังหวะ, ระบบระบายความร้อน, จำนวนกระบอกสูบ และกำลังเครื่องยนต์
• รูปแบบเครื่องยนต์
Single, Parallel-Twin, Inline-Three, Inline-Four, V-Twin, L-Twin, V4 และ Flat-Twins
• จำนวนจังหวะเครื่องยนต์
2 จังหวะ / 4 จังหวะ
• ระบบระบายความร้อน
ระบายความร้อนด้วยอากาศ / ระบายความร้อนด้วยของเหลว
• หลากหลายกระบอกสูบ
1, 2, 3, 4, (5), 6
• กำลังเครื่องยนต์
50-2,500 cc
เครื่องยนต์ 2 จังหวะ กับ 4 จังหวะ ต่างกันอย่างไร
เคยสงสัยไหมกับคำว่าเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ 2 จังหวะ กับ เครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ 4 จังหวะต่างกันอย่างไร เดี๋ยวเราลองมาดู หลักการทำงานของเครื่องยนต์ 2 จังหวะ และ หลักการทำงานของเครื่องยนต์ 4 จังหวะ ดังนี้
การ ทำงาน ของ เครื่องยนต์ 2 จังหวะ
หลักการทำงานของเครื่องยนต์ 2 จังหวะ คือ การทำงานอย่างรวดเร็วและมีระบบที่เรียบง่ายเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ 4 จังหวะ มันทำงานในสองขั้นตอนหลัก ๆ ซึ่งรวมอยู่ในหนึ่งวงจรระบบ:
• จังหวะการดึงเอาท์และการบีบอัด (Intake/Compression stroke)
ในขั้นตอนนี้ ลูกสูบจะเคลื่อนที่ขึ้นไปบีบอัดเชื้อเพลิงที่อยู่ในกระบอกเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ พร้อมกับนั้น การเคลื่อนที่ขึ้นของลูกสูบจะทำให้เกิดการดึงเอาท์ลมภายนอกไปยังกระบอกเครื่องผ่านทางดึงเอาท์
• จังหวะการเผาไหม้และการขับเคี่ยว (Combustion/Exhaust stroke)
หัวเทียนจะสร้างประกายไฟให้กับเชื้อเพลิงที่บีบอัด ทำให้เกิดการเผาไหม้และผลักลูกสูบลงมา พร้อมกับนั้น เชื้อเพลิงที่ได้รับการเผาไหม้ใหม่จากทางดึงเอาท์จะถูกดันเข้าไปยังกระบอกเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ ทำให้แก๊สไอเสียที่เผาไหม้แล้วถูกขับออกไปยังทางไอเสีย
เครื่องยนต์ 2 จังหวะมีข้อดีในเรื่องของน้ำหนักที่เบาและสามารถสร้างกำลังมากขึ้นได้เมื่อเทียบกับขนาดเครื่องยนต์ที่เท่ากันกับเครื่องยนต์ 4 จังหวะ แต่เนื่องจากการทำงานที่เผาไหม้เชื้อเพลิงและปล่อยก๊าซไอเสียในวงจรเดียวกัน การปล่อยมลพิษจึงสูงกว่า
การ ทำงาน ของ เครื่องยนต์ 4 จังหวะ
หลักการทำงานของเครื่องยนต์ 4 จังหวะ มี 4 ขั้นตอนหลักซึ่งเป็นการแยกขั้นตอนการเผาไหม้และปล่อยก๊าซไอเสียออกไป เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและลดมลพิษ:
จังหวะดึงเอาท์ (Intake stroke)
ลูกสูบเคลื่อนที่ลงมาสร้างแรงดูด ดึงเชื้อเพลิงและอากาศเข้าสู่กระบอกเครื่องผ่านวาล์วดึงเอาท์ที่เปิด
จังหวะบีบอัด (Compression stroke)
วาล์วดึงเอาท์ปิด ลูกสูบเคลื่อนที่ขึ้นบีบอัดเชื้อเพลิงและอากาศให้แน่น
จังหวะการเผาไหม้ (Combustion stroke)
หัวเทียนสร้างประกายไฟให้กับเชื้อเพลิงที่บีบอัด เกิดการเผาไหม้และผลักลูกสูบลงมา
จังหวะขับเคี่ยว (Exhaust stroke)
วาล์วไอเสียเปิด ลูกสูบเคลื่อนที่ขึ้นเพื่อขับแก๊สไอเสียที่เผาไหม้แล้วออกไป
เครื่องยนต์ 4 จังหวะมีประสิทธิภาพและความเรียบร้อยสูงกว่า เชื้อเพลิงถูกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการปล่อยมลพิษที่ต่ำกว่าเครื่องยนต์ 2 จังหวะ
ทำความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้วว่าเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ มีความสำคัญมากขนาดไหน รวมถึงมีองค์ประกอบสำคัญกี่ชิ้น และเข้าใจว่าเครื่องยนต์ 2 จังหวะ เครื่องยนต์ 4 จังหวะมีการทำงานที่แตกต่างกันอย่างไร พอเห็นแบบนี้แล้วคงจะหลงรักรถมอเตอร์ไซค์คันโปรดของคุณขึ้นมาเลยใช่ไหม งั้นมาเลือกโปรแกรมประกันมอเตอร์ไซค์จาก แรบบิท แคร์ กันดีกว่า
เรามีบริการเปรียบเทียบประกันมอเตอร์ไซค์จากเหล่าบริษัทประกันชั้นนำ พร้อมด้วยข้อเสนอสุดพิเศษที่คุณยากจะปฏิเสธ หากสนใจเพียงแค่คลิกที่ลิงก์ หรือโทรติดต่อโดยตรงที่ 1438 (โทรได้ 24 ชั่วโมง)
CC คืออะไร? และมีความสำคัญอย่างไรกับเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์?
CC มอเตอร์ไซค์ คือ หน่วยที่ใช้เรียกแทนความจุปริมาตรกระบอกสูบของเครื่องยนต์ และยังเป็นตัวบ่งบอกความต่างของกำลังเครื่องยนต์อีกด้วย ทั้งในเรื่องของแรงม้าและแรงบิด โดยคำว่า CC นี้ก็ย่อมาจากคำว่าลูกบาศก์เซนติเมตรนั่นเอง 1 ลิตรก็จะมีค่าเท่ากับ 1,000 CC ยิ่ง CC เยอะเท่าไหร่รถก็จะยิ่งแรงเท่านั้น และในปัจจุบันนี้มอเตอร์ไซค์ส่วนใหญ่จะมีความจุอยู่ที่ประมาณ 1,500-4,000 CC โดยเราจะสังเกตได้จากประเภทของเครื่องยนต์ เช่น ถ้ามอเตอร์ไซค์เป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ และแต่ละสูบมีความจุอยู่ที่ประมาณ 250 CC นั่นก็หมายความว่าเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์คันนี้มีขนาดความจุของกระบอกสูบทั้งหมด 1,000 CC นั่นเอง
ตารางหัวฉีด มอเตอร์ไซค์ CC มีรหัสอะไรบ้าง?
ตารางรหัสหัวฉีดและปริมาตรการจ่าย
รหัสหัวฉีด | ปริมาตรการจ่าย |
6E(เล็ก) | 100 cc |
6J(เล็ก) | 125 cc |
8XI(เล็ก) | 130 cc |
6G(เล็ก) | 145 cc |
8III(เล็ก) | 150 cc |
6K(เล็ก) | 165 cc |
8P(เล็ก) | 170 cc |
8W(เล็ก) | 185 cc |
10B(เล็ก) | 265 cc |
14C(เล็ก) | 270 cc |
10A(เล็ก) | 365 cc |
10 รูสอง | 190 cc |
8 รูเล็ก | 140 cc |
ตารางโค้ดหัวฉีดและปริมาตรการจ่าย
โค้ดหัวฉีด | ปริมาตรการจ่าย |
6E(ใหญ่) | 105 cc |
6J(ใหญ่) | 125 cc |
6G(ใหญ่) | 160 cc |
8R(ใหญ่) | 165 cc |
6K(ใหญ่) | 170 cc |
8W(ใหญ่) | 175 cc |
8H(ใหญ่) | 180 cc |
10N(ใหญ่) | 245 cc |
10U(ใหญ่) | 255 cc |
12F(ใหญ่) | 275 cc |
10Z(ใหญ่) | 330 cc |
14C(ใหญ่) | 430 cc |
12T(ใหญ่) | 440 cc |
12L(ใหญ่) | 445 cc |
การคำนวน CC รถมอเตอร์ไซค์ มีวิธีการคำนวณอย่างไร?
สูตร : การหาค่าปริมาตรกระบอกสูบ = [π × (ขนาดกระบอกสูบ÷2)² × ระยะชัก × จำนวนกระบอกสูบ] ÷ 1,000
หมายเหตุ :
- ค่าพาย = 3.142
- ระยะชัก = ระยะการเคลื่อนที่ของลูกสูบจากบนลงล่าง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร
ยกตัวอย่าง : เครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ Honda Wave 125i
- ขนาดกระบอกสูบ = 52.4
- ระยะชัก = 57.9
- จำนวนกระบอกสูบ = 1
ดังนั้น ปริมาตรกระบอกสูบ = [3.142 × (26.2)² × 57.9 × 1] = 124.9 cc
การทำใบขับขี่มอเตอร์ไซค์กี่ CC ควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง?
โดยปกติแล้วการทำใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ส่วนบุคคลนั้น จะมีข้อบังคับที่ว่า
- หากอายุระหว่าง 15-18 ปี จะสามารถทำใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ได้ในขนาดความจุกระบอกสูบที่ไม่เกิน 110 cc.
- หากอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป จะสามารถทำใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ส่วนบุคคลได้ทุกรูปแบบ
- และถ้าหากอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ถึงจะสามารถทำใบขับขี่มอเตอร์ไซค์สาธารณะได้
- แต่ถ้าเป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่มีเครื่องยนต์ขนาด 400 cc. หรือ 47 แรงม้าขึ้นไป อันนี้จะต้องทำใบขับขี่เฉพาะรถบิ๊กไบค์เท่านั้น เพราะถือว่าเป็นรถขนาดใหญ่และจะต้องมีความเชี่ยวชาญในการบังคับรถ
ความคุ้มครองประกันรถจักรยานยนต์
ตารางความคุ้มครอง | ผลประโยชน์ | ||||
ประกันรถจักรยานยนต์ ชั้น 1 | ประกันรถจักรยานยนต์ ชั้น 2+ | ประกันรถจักรยานยนต์ ชั้น 2 | ประกันรถจักรยานยนต์ ชั้น 3+ | ประกันรถจักรยานยนต์ ชั้น 3 | |
คู่กรณี | |||||
บุคคล | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ |
ทรัพย์สินของคู่กรณี | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ |
รถของผู้เอาประกันภัย | |||||
การชนแบบมีคู่กรณี | ✔️ | ✔️ | ❌ | ✔️ | ❌ |
การชนแบบไม่มีคู่กรณี | ✔️ | ❌ | ❌ | ❌ | ❌ |
ไฟไหม้ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ❌ | ❌ |
รถหาย | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ❌ | ❌ |
ภัยธรรมชาติ | ✔️ | ✔️ | ❌ | ✔️ | ❌ |
ช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง | ✔️ | ✔️ | ❌ | ❌ | ❌ |
ความคุ้มครองชีวิตจากอุบัติเหตุส่วนบุคคล | |||||
อุบัติเหตุส่วนบุคคล | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ |
การรักษาพยาบาล | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ |
การประกันตัวผู้ขับขี่ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ |
คำถามและข้อสงสัยที่พบบ่อย
หากเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์พัง แบบนี้ประกันจะรับเคลมไหม?
สามารถเคลมได้ถ้าหากว่าความเสียหายนั้นเกิดขึ้นจากกรณีของการเกิดอุบัติเหตุหรือภัยธรรมชาติเท่านั้น ซึ่งถ้าหากว่าความเสียหายนั้นเกิดขึ้นจากการเสื่อมสภาพของการใช้งานตามปกติ แบบนี้ทางบริษัทก็จะไม่สามารถรับเคลมได้ โดยที่ทางบริษัทประกันภัยจะชดเชยเป็นค่าเสียหายให้ตามที่เกิดขึ้นจริง แต่ก็อาจจะมีการหักค่าเสื่อมสภาพของอะไหล่รถยนต์ตามสภาพการใช้งานไปด้วย แต่ก็จะมีอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการอยากจะได้รับความคุ้มครองชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์โดยเฉพาะ ก็สามารถที่จะทำประกันอะไหล่รถยนต์ควบคู่กันไปด้วยเลยก็ได้ เพราะถ้าหากเกิดความเสียหายจากอะไรขึ้นมา เราก็สามารถที่จะแจ้งเคลมได้โดยที่ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป
ซื้อรถมอเตอร์ไซค์มาใหม่ ควรเลือกทำประกันภัยชั้นไหนดี?
อันดับแรกแนะนำว่าควรที่จะสังเกตพฤติกรรมการขับขี่ของตนเองก่อน แต่ถ้าเกิดว่าเพิ่งออกรถใหม่หรือต้องการที่จะได้รับความคุ้มครองแบบครอบคลุม อันนี้ก็จะแนะนำว่าให้ทำเป็นประกันภัยชั้น 1 ไว้จะดีกว่า เพราะจะได้รับความคุ้มครองท้ังแบบที่ไม่มีคู่กรณีและมีคู่กรณี ไม่ว่าจะเป็นค่าเสียหายหรือค่ารักษาพยาบาลก็ตาม สามารถดูแผนประกันรถมอเตอร์ไซค์เพิ่มเติมได้ที่ ประกันรถมอเตอร์ไซค์
ซื้อประกันรถมอเตอร์ไซค์ผ่านแรบบิท แคร์ จะได้สิทธิประโยชน์อะไรบ้าง?
เพราะแรบบิท แคร์ นั้นมีประกันรถมอเตอร์ไซค์ให้คุณได้เลือกสรรมากมายตามความต้องการ ไม่ว่าจะในเรื่องของความคุ้มครองหรือในเรื่องของบริษัทประกันภัยใด เราก็สามารถที่จะใช้ระบบเปรียบเทียบแผนประกันของแรบบิท แคร์ เพื่อค้นหาความคุ้มครองที่ตรงตามความต้องการได้เลย และรับรองว่าจะได้ในราคาที่คุ้มค่าแน่นอน พร้อมกับจะได้รับความคุ้มครองแบบครบถ้วนจัดเต็ม สามารถคลิกเพื่อดูสิทธิประโยชน์อื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของแรบบิท แคร์