เช็กที่นี่! รายการลดหย่อนภาษี 2565 สำหรับมนุษย์เงินเดือน ใช้ยื่นภาษีบุคคลธรรมดา ปี 2566
เตรียมพร้อมเข้าสู่ฤดูกาลยื่นภาษีบุคคลธรรมดาปี 2565 ที่ผู้มีเงินได้ทั้งหลายจะต้องดำเนินการยื่นเป็นประจำในทุก ๆ ปี หลายคนคงทราบกันแล้วว่ารายการลดหย่อนภาษี 2565 มีอะไรบ้าง แต่ก็อาจจะมีบางคนที่ยังไม่ทราบว่ารายการในการลดหย่อนภาษีปี 2565 ที่จะต้องนำไปยื่นใช้สิทธิในปี 2566 ที่จะถึงนี้ มีรายการอะไรบ้าง สามารถยื่นได้ผ่านช่องทางไหนบ้าง และหมดเขตเมื่อไหร่ น้องแคร์มีข้อมูลมาอัพเดต!
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คืออะไร?
ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่า ภาษี คือ สิ่งที่รัฐบาลกำหนดให้ทุกคนที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่รัฐกำหนด จะต้องจ่ายเงินภาษีให้กับรัฐ สำหรับนำไปพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ต่อไป โดยหน่วยงานกระทรวงการคลังอย่างกรมสรรพากรจะทำหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีอากรจากประชาชน และนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน
ส่วนเงินได้ ก็คือ เงินต่าง ๆ ที่เราได้รับทั้งจากการทำงาน อย่างเช่น เงินเดือน หรือจากการลงทุน อย่างเช่น ดอกเบี้ย เงินปันผล เป็นต้น โดยจะสามารถแบ่งประเภทของเงินได้ของบุคคลเมื่อมีรายได้ ทั้งหมด 8 ประเภท มาตรา 40 (1) – 40 (8) ดังต่อไปนี้
- ประเภทที่ 1 หรือ มาตรา 40 (1)
รายได้ที่มาจากการทำงาน การจ้างแรงงาน เช่น เงินเดือน, ค่าจ้าง, OT, โบนัส เป็นต้น
อัตราค่าใช้จ่ายที่สามารถหักภาษีได้ คือ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
- ประเภทที่ 2 หรือ มาตรา 40 (2)
รายได้ที่เกิดจากตำแหน่งงานหน้าที่ หรือจากการรับทำงานให้ เช่น ค่านายหน้า, ค่ารับจ้าง, ค่าธรรมเนียม เป็นต้น
อัตราค่าใช้จ่ายที่สามารถหักภาษีได้ คือ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
- ประเภทที่ 3 หรือ มาตรา 40 (3)
รายได้ที่ได้มาจากการค่าแห่งกู๊ดวิลล์ รายได้จากทรัพย์สินทางปัญญา เช่น ค่าแห่งลิขสิทธิ์ เป็นต้น
อัตราค่าใช้จ่ายที่สามารถหักภาษีได้ (เฉพาะค่าลิขสิทธิ์) คือ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
- ประเภทที่ 4 หรือ มาตรา 40 (4)
รายได้จากดอกเบี้ย เงินปันผล เงินส่วนแบ่งกำไร อย่างเช่น ดอกเบี้ยธนาคาร, เงินปันผลจากการลงทุนในกองทุนรวม, กำไรจากการขายหุ้น เป็นต้น ไม่สามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายได้
- ประเภทที่ 5 หรือ มาตรา 40 (5)
รายได้ที่มาจากการให้เช่าสินทรัพย์ เช่น ค่าเช่าต่าง ๆ อย่างบ้าน, รถ, ที่ดิน เป็นต้น
อัตราค่าใช้จ่ายที่สามารถหักภาษีได้ คือ 15-30%, ทรัพย์สินอื่นหักค่าใช้จ่ายได้ 10%
- ประเภทที่ 6 หรือ มาตรา 40 (6)
รายได้ที่เกิดจากการประกอบวิชาชีพอิสระ ได้แก่ แพทย์, ทนาย, ผู้ตรวจสอบบัญชี, วิศวกร, สถาปนิกและจิตกร
อัตราค่าใช้จ่ายที่สามารถหักภาษีได้ คือ แพทย์ 60%, อาชีพอื่นที่เหลือ 30%
- ประเภทที่ 7 หรือ มาตรา 40 (7)
รายได้ที่มาจากการรับเหมาพร้อมอุปกรณ์ เช่น รับเหมาก่อสร้าง
อัตราค่าใช้จ่ายที่สามารถหักภาษีได้ คือ 70%
- ประเภทที่ 8 หรือ มาตรา 40 (8)
รายได้จากการประกอบธุรกิจอื่น ๆ นอกเหนือจาก (1) – (7)
อัตราค่าใช้จ่ายที่สามารถหักภาษีได้ คือ 60% อาชีพดารานักแสดงรายได้น้อยกว่า 300,000 บาท สามารถหักได้ 60% หากรายได้มากกว่า 300,000 บาท สามารถหักได้ 40% รวมไม่เกิน 600,000 บาท
ดังนั้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ก็คือ ภาษีที่รัฐบาลจัดเก็บจากบุคคลทั่วไปที่มีรายได้ ในประเภทต่าง ๆ 8 ประเภทข้างต้น และเป็นรายได้ที่ถึงเกณฑ์ที่รัฐบาลกำหนด ก็จะต้องยื่นภาษีบุคคลธรรมดาด้วยแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้ในทุก ๆ ปี ตามประเภท ได้แก่
- ยื่นภาษีด้วยแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสิ้นปี ภ.ง.ด.90 : สำหรับผู้มีเงินได้ทั่วไปตั้งแต่ประเภทที่ 1 – 8 ที่ได้รับระหว่างปีภาษี
- ยื่นภาษีด้วยแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสิ้นปี ภ.ง.ด.91 : สำหรับผู้มีเงินได้จากการจ้างแรงงานประเภทที่ 1 เพียงอย่างเดียว
- ยื่นภาษีด้วยแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.93 : สำหรับใช้ยื่นก่อนถึงกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษี
- ยื่นภาษีด้วยแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี ภ.ง.ด.94 : สำหรับผู้มีเงินได้ประเภทที่ 5 – 8 ที่ได้รับมาตั้งแต่เดือนม.ค. ถึงเดือนมิ.ย. และไม่ว่าจะมีเงินได้ประเภทอื่นร่วมหรือไม่ก็ตาม ให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีภายในเดือนก.ค. ถึงเดือนก.ย.ของปีภาษีนั้น
- ยื่นภาษีด้วยแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.95 : สำหรับต่างด้าวผู้มีเงินได้จากการจ้างแรงงาน
รายการลดหย่อนภาษี 2565 มีอะไรบ้าง?
สำหรับรายการลดหย่อนภาษี 2565 จะมีการแบ่งกลุ่มประเภทของรายการลดหย่อนออกเป็นหมวด ซึ่งในแต่ละปีอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงรายการลดหย่อนในบางหมวดไป เนื่องจากนโยบายรัฐบาลที่ไม่เหมือนกันในแต่ละปี โดยรายการลดหย่อนจะประกอบไปด้วยหมวดในการลดหย่อน ดังนี้
- หมวดลดหย่อนสำหรับตนเอง
- หมวดประกันและการลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ
- หมวดมาตรการรัฐ กระตุ้นเศรษฐกิจ
- หมวดการบริจาค
1. หมวดลดหย่อนสำหรับตนเอง
ในหมวดแรกที่สามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีก็คือ ค่าลดหย่อนที่เกิดขึ้นจากตนเอง รวมไปถึงบุคคลในครอบครัว โดยมีรายการดังนี้
- ค่าลดหย่อนส่วนตัว
รัฐจะให้ค่าลดหย่อนส่วนนี้เป็นพื้นฐานกับบุคคลผู้มีเงินได้ทุกคน ซึ่งสามารถใช้สิทธิยื่นลดหย่อนในส่วนนี้ เป็นอัตราเหมาต่อคน โดยจะมีค่าใช้จ่ายส่วนตัวต่อปีไม่น้อยกว่า 60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนคู่สมรส
สำหรับบุคคลผู้มีเงินได้ที่มีคู่สมรสทุกคน ในส่วนนี้รัฐก็จะให้สิทธิในการยื่นลดหย่อนเป็นอัตราเหมาขั้นต่ำอีก 60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนบุตร
บุคคลผู้มีเงินได้ที่มีบุตร จะสามารถใช้สิทธิยื่นลดหย่อนภาษีในส่วนนี้ได้ โดยหากมีบุตรคนแรก ก็จะสามารถใช้สิทธิยื่นลดหย่อนภาษี 2565 ได้ 30,000 บาท แต่หากมีบุตรตั้งแต่คนที่ 2 เป็นต้นไป (ที่เกิดหลังปีพ.ศ. 2561) จะสามารถใช้สิทธิยื่นลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท โดยมีเงื่อนไข คือ
- บุตรต้องมีอายุไม่เกิน 20 ปีบริบูรณ์
- หากเป็นบุตรอายุระหว่าง 21 – 25 ปี จะต้องกำลังศึกษาอยู่ในระดับ ปวส.ขึ้นไป
- บุตรจะต้องมีเงินได้ในปีไม่ถึง 30,000 บาท (ไม่รวมเงินปันผล)
- ค่าฝากครรภ์และคลอดบุตร
สามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการฝากครรภ์และการคลอดบุตร ไปใช้สิทธิยื่นลดหย่อนภาษีได้ เฉพาะส่วนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 60,000 บาทต่อครรภ์ไม่ใช่ต่อคน โดยมีเงื่อนไข คือ
- ต้องเป็นการจ่ายค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร กับสถานพยาบาลรัฐหรือเอกชน
- กรณีที่ท้องปีนี้ คลอดปีหน้า ให้ลดหย่อนตามปีที่ใช้ แต่รวมกันไม่เกิน 60,000 บาท
- หากสามีและภรรยามีสิทธิยื่นลดหย่อนทั้งคู่ ให้ถือว่าค่าคลอดเป็นของภรรยา ยกเว้นกรณีภรรยาไม่มีเงินได้ จึงจะสามารถถือเป็นค่าลดหย่อนของสามีได้
- ค่าลดหย่อนบิดามารดา
บุคคลผู้มีเงินได้ที่ดูแลบิดามารดาอยู่ หากบิดามารดาที่ดูแลอยู่นั้นอายุเกิน 60 ปี และมีรายได้ทั้งปีไม่เกิน 30,000 บาท จะสามารถใช้สิทธิยื่นลดหย่อนภาษีในการดูแลบิดามารดาได้คนละ 30,000 บาท แต่ทั้งนี้ลูกจะสามารถใช้สิทธิได้เพียงคนเดียว หากมีลูกหลายคนสามารถสลับกันใช้สิทธิยื่นภาษีบุคคลธรรมดาคนละปีภาษีได้ แต่ไม่สามารถใช้สิทธิพร้อมกันได้
- ค่าลดหย่อนบุคคลผู้พิการหรือทุพพลภาพ
ในส่วนนี้หากบุคคลผู้มีเงินได้กำลังเป็นผู้ดูแลคนพิการหรือบุคคลทุพพลภาพอยู่ จะสามารถใช้สิทธิยื่นลดหย่อนภาษี 2565 ได้คนละ 60,000 บาทต่อปี
2. หมวดประกันและการลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ
ในหมวดนี้หากบุคคลผู้มีเงินได้คนไหนมีการวางแผนทำประกันบริหารความเสี่ยงด้วยตนเอง โดยการซื้อประกัน ก็จะสามารถได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีจากรัฐบาลได้ โดยประกันที่สามารถลดหย่อนได้มี ดังนี้
- ประกันชีวิตทั่วไปและประกันสะสมทรัพย์
หากบุคคลผู้มีเงินได้มีการวางแผนบริหารความเสี่ยง โดยการซื้อประกันชีวิต หรือซื้อประกันสะสมทรัพย์ ก็จะสามารถใช้สิทธิในการยื่นลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริงได้สูงสุด 100,000 บาท
- ประกันสุขภาพตนเอง
หากซื้อประกันสุขภาพ ก็จะสามารถใช้สิทธิยื่นลดหย่อนภาษีได้ตามจริงสูงสุด 25,000 บาท แต่ทั้งนี้เมื่อนำไปรวมกับประกันชีวิตและประกันสะสมทรัพย์ที่มีอยู่ ก็จะต้องลดหย่อนได้ไม่เกิน 100,000 บาท
- ประกันสุขภาพบิดามารดา
หากคุณซื้อประกันสุขภาพให้กับบิดามารดา เพื่อบริหารความเสี่ยงเมื่อบิดามารดาเกิดเจ็บป่วยต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล คุณจะสามารถนำค่าเบี้ประกันสุขภาพของบิดามารดาที่คุณชำระ มาใช้ในสิทธิยื่นลดหย่อนภาษี 2565 ได้สูงสุด 15,000 บาท
- ประกันชีวิตแบบบำนาญ
นอกจากประกันชีวิตทั่วไปและประกันสะสมทรัพย์ ที่สามารถใช้สิทธิยื่นลดหย่อนภาษีได้สูงแล้ว หากคุณมีการซื้อประกันชีวิตแบบบำนาญเพื่อวางแผนเกษียณอายุ คุณจะสามารถใช้สิทธิยื่นลดหย่อนภาษีได้ 15% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อยื่นลดหย่อนรวมกับหมวดการลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ (กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/กบข./สงเคราะห์ครูฯ, RMF, SSF, และกองทุนการออมแห่งชาติ) จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนรวมกันได้ไม่เกิน 500,000 บาท
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/กบข./สงเคราะห์ครูฯ
หากมีการลงทุนในส่วนนี้ จะสามารถใช้สิทธิยื่นลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับประกันชีวิตแบบบำนาญ, RMF, SSF, และกองทุนการออมแห่งชาติ
- RMF หรือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
RMF เป็นอีกหนึ่งกองทุนเพื่อการลดหย่อนภาษี ที่หากใครมีการลงทุนใน RMF ก็จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้แต่ไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับประกันชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/กบข./สงเคราะห์ครูฯ, SSF, และกองทุนการออมแห่งชาติ โดยมีเงื่อนไข ดังนี้
- ต้องซื้อติดต่อกันทุกปี (สามารถผิดเงื่อนไขได้ 1 ปี เท่านั้น)
- ต้องถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมไม่น้อยกว่า 5 ปี และอายุครบ 55 ปี จึงสามารถขายได้
- SSF หรือ กองทุนรวมเพื่อการออม
การลงทุนในส่วนนี้ จะสามารถใช้สิทธิในการยื่นลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้แต่ไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับประกันชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/กบข./สงเคราะห์ครูฯ, RMF, และกองทุนการออมแห่งชาติ โดยกำหนดเงื่อนไข คือ จะต้องถือครองหลังจากซื้อไม่น้อยกว่า 10 ปีเต็ม และสามารถซื้อได้ตั้งแต่ปี 2563 – 2567
- กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช.
สามารถใช้สิทธิยื่นลดหย่อนในส่วนนี้ได้ไม่เกิน 13,200 บาทต่อปี และไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับประกันชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/กบข./สงเคราะห์ครูฯ, RMF, และ SSF
- เงินสมทบประกันสังคม
ปี 2565 สามารถใช้สิทธิลดหย่อนส่วนของประกันสังคมได้ที่ 6,300 บาท (จากปกติที่สามารถลดตามจริงแต่ไม่เกิน 9,000 บาท) เนื่องจากในปี 2565 มีการปรับลดอัตราเงินสะสมประกันสังคมสูงสุดจาก 750 บาทต่อเดือน ตามรายการ ดังนี้
- เดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม 2565
มาตรา 33 เหลือ 1% ไม่เกิน 150 บาท
มาตรา 39 เหลือ 91 บาท
2. เดือนตุุลาคม – ธันวาคม 2565
มาตรา 33 เหลือ 3% ไม่เกิน 450 บาท
มาตรา 39 เหลือ 240 บาท
3. หมวดมาตรการรัฐ กระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับสิทธิยื่นภาษีบุคคลธรรมดา เพื่อลดหย่อนภาษีในหมวดนี้ แต่ละปีอาจจะไม่เหมือนกัน โดยอาจจะการเปลี่ยนแปลงรายการไปตามมาตรการรัฐที่ออกมาเพื่อส่งเสริมการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหมวดมาตรการรัฐ กระตุ้นเศรษฐกิจที่สามารถนำมาใช้สิทธิยื่นลดหย่อนภาษีในปี 2566 ได้ มีดังนี้
- ดอกเบี้ยที่อยู่อาศัย
หากเรามีการซื้อบ้านหรือคอนโดด้วยการผ่อนชำระ เราสามารถนำดอกเบี้ยที่จ่ายให้กับธนาคารไปใช้สิทธิลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท โดยจะสามารถลดได้เฉพาะส่วนที่เป็นดอกเบี้ยเท่านั้น ไม่รวมเงินต้น
- โครงการช้อปดีมีคืน
ใครที่เข้าร่วมโครงการช้อปดีมีคืนของรัฐบาลที่มีตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ถึง 15 ก.พ. 2565 ที่ส่งเสริมให้เราใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการกับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบกิจการขายหนังสือและ E-Book และผู้ประกอบการจำหน่ายสินค้า OTOP ในประเทศ จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) และหากซื้อสินค้าหรือบริการแล้วได้รับส่วนลด ก็จะสามารถลดหย่อนได้ตามราคาที่จ่ายจริง หลังหักส่วนลด
- เงินลงทุนวิสาหกิจเพื่อสังคม
ในส่วนเงินลงทุนวิสาหกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise หากบุคคลผู้มีเงินได้มีการลงทุนในหุ้นหรือธุรกิจ ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไปและเป็นผู้จ่ายเงินเพื่อจัดตั้งหรือเพื่อเพิ่มทุนของธุรกิจที่เป็นบริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลของไทย (ได้รับการจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม ตามพ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562) สามารถนำเงินที่ลงทุนนั้นไปใช้เป็นค่าลดหย่อนได้ตามจริงสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ต่อปี
4. หมวดการบริจาค
หากผู้มีเงินได้ประสงค์ที่จะบริจาคเพื่อสังคม ก็สามารถที่จะใช้สิทธิลดหย่อนได้ โดยการบริจาคเพื่อสังคมที่สามารถนำมาใช้สิทธิลดหย่อนได้ ได้แก่
- การบริจาคเพื่อการศึกษา กีฬา สังคมต่าง ๆ และโรงพยาบาลรัฐ
สามารถใช้สิทธิได้ 2 เท่าของจำนวนเงินที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว
- การบริจาคอื่น ๆ มูลนิธิและองค์กรสาธารณกุศล
การบริจาคประเภทนี้ก็อย่างเช่น การบริจาคให้วัด เป็นต้น สามารถขอหลักฐานการบริจาคเพื่อนำมายื่นลดหย่อนภาษีได้ 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว
- การบริจาคพรรคการเมือง
คุณสามารถบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนพรรคการเมืองที่คุณชื่นชอบได้ โดยที่เงินที่นำไปบริจาคนั้น สามารถนำมาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ด้วย ซึ่งจะสามารถใช้สิทธิได้สูงสุด 10,000 บาท
วิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา อย่างง่าย
สำหรับมนุษย์เงินเดือนมือใหม่ที่ยังไม่ทราบว่าเราจะต้องเสียภาษีเท่าไหร่ น้องแคร์มีวิธีคำนวณมาฝาก เบื้องต้นในการคำนวณฐานภาษีเพื่อยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษี จะคำนวณโดยการนำจำนวนรายได้ทั้งหมดในปีนั้น ๆ นำมาหักด้วยอัตราค่าใช้จ่ายของรายได้แต่ละประเภท และหักส่วนรายการลดหย่อนภาษี จะได้เป็นเงินได้สุทธิ (เงินได้สุทธิ = รายได้ทั้งหมด – อัตราค่าใช้จ่ายของรายได้แต่ละประเภท – รายการลดหย่อนภาษี) เมื่อทราบเงินได้สุทธิแล้ว จะต้องนำไปคำนวณจำนวนภาษีที่ต้องจ่ายตามขั้นอัตราภาษี ดังนี้
- ขั้นที่ 1 : เงินได้สุทธิ 1 – 150,000 บาท จะได้รับการยกเว้นการเก็บภาษี (แต่จะต้องยื่นภาษีทุกครั้ง แม้รายได้จะไม่ถึงขั้นเสียภาษีก็ตาม)
- ขั้นที่ 2 : เงินได้สุทธิ 150,001 – 300,000 บาท จะต้องเสียภาษีอัตรา 5% ของช่วงเงินได้สุทธิของแต่ละขั้น หรือ 7,500 บาท
- ขั้นที่ 3 : เงินได้สุทธิ 300,001 – 500,000 บาท จะต้องเสียภาษีอัตรา 10% ของช่วงเงินได้สุทธิของแต่ละขั้น หรือ 20,000 บาท
- ขั้นที่ 4 : เงินได้สุทธิ 500,001 – 750,000 บาท จะต้องเสียภาษีอัตรา 15% ของช่วงเงินได้สุทธิของแต่ละขั้น หรือ 37,500 บาท
- ขั้นที่ 5 : เงินได้สุทธิ 750,001 – 1,000,000 บาท จะต้องเสียภาษีอัตรา 20% ของช่วงเงินได้สุทธิของแต่ละขั้น หรือ 50,000 บาท
- ขั้นที่ 6 : เงินได้สุทธิ 1,000,001 – 2,000,000 บาท จะต้องเสียภาษีอัตรา 25% ของช่วงเงินได้สุทธิของแต่ละขั้น หรือ 250,000 บาท
- ขั้นที่ 7 : เงินได้สุทธิ 2,000,001 – 5,000,000 บาท จะต้องเสียภาษีอัตรา 30% ของช่วงเงินได้สุทธิของแต่ละขั้น หรือ 900,000 บาท
- ขั้นที่ 8 : เงินได้สุทธิ 5,000,001 บาท เป็นต้นไป จะต้องเสียภาษีอัตรา 35% โดยคำนวณตามจริง
นั่นหมายความว่าถ้าหากน้องแคร์ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนและนำรายได้ทั้งหมดในปีนั้น ๆ ที่น้องแคร์ได้รับ (รวมโบนัส) นำมาหักอัตราค่าใช้จ่ายของรายได้แต่ละประเภท และหักส่วนรายการลดหย่อนภาษีทั้งหมดแล้ว เหลือเงินได้สุทธิอยู่ 500,000 บาท แสดงว่าน้องแคร์จะต้องเสียภาษีให้กับรัฐบาลในปีนั้น ๆ ที่อัตราภาษี 10% ดังนั้นน้องแคร์ก็จะต้องเสียภาษีเป็นจำนวนเงิน 27,500 บาท (อัตราภาษีขั้นที่1 7,500 บาท บวกกับ อัตราภาษีขั้นที่ 2 20,000 บาท) นั่นเอง
ซื้อประกันลดหย่อนภาษี ทำให้เราจ่ายภาษีลดลงได้อย่างไร?
หลายคนยังคงสงสัยว่า การซื้อประกันลดหย่อนภาษี จะทำให้เราจ่ายภาษีลดลงได้อย่างไร? น้องแคร์ขออธิบายโดยสมมติว่าเรามีเงินได้สุทธิที่ 1,000,000 บาท ซึ่งจะต้องจ่ายภาษีในอัตราภาษีขั้นที่ 5 คือ 115,000 บาท ทีนี้หากเรามีการวางแผนลดหย่อนภาษีโดยการซื้อประกัน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อประกันชีวิตทั่วไป ประกันสะสมทรัพย์ ประกันสุขภาพ หรือประกันบำนาญ เช่นเราซื้อประกันสะสมทรัพย์ ค่าเบี้ย 100,000 บาทต่อปี จะทำให้เราจ่ายภาษีลดลงเหลือเพียงแค่ 15,000 บาท เท่านั้น เพราะได้ลดหย่อนค่าประกันไป100,000 บาท ใช่หรือไม่? ซึ่งน้องแคร์ต้องบอกตรงนี้ว่าเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เพราะจริง ๆ แล้วการซื้อประกันเพื่อการลดหย่อนภาษีนั้น จากตัวอย่างสมมติว่าซื้อที่ค่าเบี้ย 100,000 บาท ในส่วน100,000 บาทที่ซื้อประกันไป จะถูกนำมาคิดในส่วนของรายการลดหย่อนภาษีในหมวดประกัน โดยจะต้องนำไปหักลบจากเงินได้สุทธิ (เงินได้สุทธิ = รายได้ทั้งหมด – อัตราค่าใช้จ่ายของรายได้แต่ละประเภท – รายการลดหย่อนภาษี) ไม่ใช่การนำมาหักออกจากจำนวนเงินที่ต้องเสียภาษี
นั่นหมายความว่า หากคุณมีเงินได้สุทธิ 1,000,000 บาท และได้ซื้อประกันสะสมทรัพย์เพื่อลดหย่อนภาษี ที่ค่าเบี้ย 100,000 บาท แสดงว่าการซื้อประกันของคุณจะทำให้คุณมีเงินได้สุทธิลดลง เหลือ 900,000 บาท จากเดิมที่1,000,000 บาท ดังนั้นตัวเลขที่จะถูกนำไปคำนวณจำนวนเงินที่ต้องเสียภาษีก็คือ 900,000 บาท ไม่ใช่ 1,000,000 บาท เมื่อคำนวณจำนวนเงินที่ต้องเสียภาษีก็จะทำให้คุณสามารถจ่ายภาษีได้จำนวนน้อยลงจากเดิม หรือหากมีการซื้อประกันบำนาญร่วมด้วย ก็จะสามารถลดหย่อนภาษีได้เพิ่มอีก 200,000 บาท ซึ่งจะทำให้คุณมีเงินได้สุทธิลดลงเหลือ 700,000 บาท จาก 1,000,000 บาท ซึ่งก็จะทำให้ขั้นภาษีที่คุณต้องนำมาคำนวณลดลงจากขั้นที่ 5 (อัตราภาษี 20%) ลงมาที่ขั้นที่ 4 (อัตราภาษี 15%) แน่นอนว่าจะทำให้คุณจ่ายภาษีถูกลงกว่าเดิม นั้่นเอง
การยื่นภาษีออนไลน์ 2565 หมดเขตเมื่อไหร่?
คำถามที่ว่ายื่นภาษี 2565 หมดเขตเมื่อไหร่ ดูเหมือนจะยังคงเป็นคำถามยอดฮิตที่มีการถามถึงในทุก ๆ ปีที่มีการกำหนดจ่ายภาษี โดยปกติวันหมดเขตการยื่นภาษี จะสามารถยื่นได้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ถึงวันที่ 31 มี.ค.ของปีถัดไป (2566) และ หากเป็นการยื่นภาษีแบบออนไลน์จะสามารถยื่นได้ถึงวันที่ 8 เม.ย. 2566 ซึ่งหากใครที่ประสงค์จะยื่นภาษีแบบออนไลน์ สามารถยื่นภาษีออนไลน์ 2566 ได้ตามขั้นตอนนี้
- เข้าเว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th เลือกเมนูยื่นภาษีออนไลน์
- คลิกเลือกเมนู ยื่นภาษี ภ.ง.ด. 90/91 (หากใครที่ยังไม่เคยลงทะเบียนมาก่อน ต้องกรอกข้อมูลเพื่อลงทะเบียนให้เสร็จสมบูรณ์ก่อน)
- เข้าสู่ระบบด้วยเลขบัตรประชนชนและรหัสผ่าน
- เลือกสถานภาพผู้มีเงินได้ หากเป็นผู้มีเงินได้ที่มีคู่สมรส ให้ทำการกรอกข้อมูลให้ครบ
- เลือกรายการเงินได้พึงประเมิน จากที่มาของรายได้ และเลือกเงินได้ที่ได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อน
- นำข้อมูลจากหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือใบทวิ 50 จากบริษัทผู้ว่าจ้างมากรอกข้อมูล
- ใส่ข้อมูลรายการลดหย่อนภาษีที่คุณได้รับสิทธิตามเงื่อนไข
- เมื่อกรอกข้อมูลครบถ้วนแล้ว เว็บไซต์จะทำการคำนวณและแสดงจำนวนภาษีที่คุณต้องจ่ายหรือส่วนต่างที่คุณต้องได้คืน
กรณีที่ต้องการขอคืนภาษี กรมสรรพากรจะให้คุณปริ้นท์หรือเซฟไฟล์เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน และสามารถอัพโหลดเอกสารได้ที่เมนู นำส่งเอกสารขอคืนภาษี ได้ทันที หลังจากยื่นเสร็จ
และทั้งหมดนี้ก็คือข้อมูลสรุปรายการลดหย่อนภาษีทั้งหมดที่น้องแคร์นำมาอัพเดตให้ทุกคนได้เตรียมตัวก่อนที่จะต้องทำการยื่นภาษีบุคคลธรรมดาจริง ๆ ในช่วงเดือนม.ค. – มี.ค. 2566 ที่จะถึงนี้และแน่นอนว่าการวางแผนลดหย่อนภาษีที่คุ้มค่าและมีประโยชน์กับคุณมากที่สุด คือการวางแผนลดหย่อนภาษีด้วยการซื้อประกันทุกรูปแบบ เพราะนอกจากเรื่องผลประโยชน์ด้านภาษีที่คุณจะได้รับเป็นโบนัสแล้ว หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันใด ๆ ในชีวิตคุณ คุณก็จะสบายใจได้ว่าคุณได้มีประกันประเภทต่าง ๆ เป็นหลักประกันให้กับชีวิตของคุณและคนที่คุณรักเรียบร้อยแล้ว หากคุณกำลังสนใจวางแผนลดหย่อนภาษีด้วยสินค้าประกัน อย่าลืม!แวะมาดูรายละเอียดแผนประกันกับเราที่แรบบิท แคร์ ตัวจริงเรื่องประกัน
บทความที่เกี่ยวข้อง
นักเขียนรุ่นไฮบริด เขียนบทความด้านการบริหารเงินส่วนบุคคลและการลงทุนต่าง ๆ กว่า 7 ปี เริ่มต้นที่งานเขียนที่ Rabbit Finance จนย้ายมาที่ Rabbit Care และ Asia Direct