ประกันสังคมเตรียมปรับขึ้นเงินสมทบประกันสังคมมาตรา 33 มนุษย์เงินเดือนต้องจ่ายเท่าไหร่?
กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงในช่วงนี้ ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยทีเดียว สำหรับกระทรวงแรงงานที่เตรียมกำหนดเพดานค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานใหม่ในการคำนวณเงินสมทบประกันสังคม ที่เสนอให้ผู้ประกันตนประกันสังคมม.33 ต้องจ่ายเงินสมทบประกันสังคมเพิ่มขึ้นสูงสุด 1,150 บาท จากฐานเดิมที่ 750 บาท ภายในปี 2573 มีอะไรบ้าง? ที่ผู้ประกันตนมาตรา 33 อย่างเราต้องรู้เพื่อเตรียมตัว น้องแคร์ได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ไปดูกันได้เลย!
เงินสมทบประกันสังคม คืออะไร?
ก่อนอื่นก็ต้องทราบกันก่อนว่าเงินสมทบประกันสังคม หรือเงินสมทบกองทุนประกันสังคม คือ เงินที่ต้องนำส่งเข้ากองทุนประกันสังคม เพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทน โดยคำนวณมาจากค่าจ้างที่ลูกจ้าง (ผู้ประกันตน) ได้รับ หรือ คำนวณจากจำนวนเงินที่ใช้เป็นฐาน อย่างใดอย่างหนึ่ง ขึ้นอยู่กับว่าเป็นผู้ประกันตนมาตราใด คูณกับอัตราเงินสมทบที่กำหนดตามกฎกระทรวง ทั้งนี้เงินสมทบประกันสังคม จะถูกแบ่งเป็น 2 มาตรา ได้แก่
- ประกันสังคมมาตรา 33 เงินสมทบ
คือ เงินประกันสังคมที่นายจ้างและผู้ประกันตนประกันสังคมม. 33 ต้องนำส่งเข้ากองทุนประกันสังคมในทุก ๆ เดือน เพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทน 7 กรณี โดยประกันสังคมมาตรา 33 เงินสมทบจะคำนวณมาจากค่าจ้างที่ผู้ประกันตนได้รับ คูณกับอัตราเงินสมทบที่กำหนดตามกฎกระทรวง ในอัตราร้อยละ 5 ซึ่งที่ผ่านมาใช้ฐานค่าจ้างในการคำนวณที่ขั้นต่ำเดือนละ 1,650 บาท และขั้นสูงไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท (เงินสมทบขั้นต่ำ 83 บาทต่อเดือน ไม่เกิน 750 บาทต่อเดือน) และรัฐก็จะมีการออกเงินสมทบเข้ากองทุนด้วยอีกส่วนหนึ่งที่อัตราร้อยละ 2.75 - ประกันสังคมมาตรา 39 เงินสมทบ
คือ เงินที่ผู้ประกันตนมาตรา 39 จะต้องนำส่งเข้ากองทุนประกันสังคม เพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทน 6 กรณี โดยคำนวณจากจำนวนเงินที่ใช้เป็นฐาน 4,800 บาท คูณกับอัตราเงินสมทบที่กำหนดตามกฎกระทรวง
แน่นอนว่าขณะนี้ได้มีร่างกฎกระทรวงฉบับใหม่เพื่อปรับขึ้นเพดานฐานค่าจ้างที่นำมาใช้ในการคำนวณเงินสมทบประกันสังคม ของกระทรวงแรงงาน ที่เสนอให้มีการปรับเพดานค่าจ้างจากเดิมสูงสุดที่ 15,000 บาท ขยับไปที่ 23,000 บาท ซึ่งจะมีผลทำให้ทั้งนายจ้างและผู้ประกันตนประกันสังคมมาตรา 33 เงินสมทบที่ต้องนำส่งเข้ากองทุนประกันสังคมในทุก ๆ เดือน ในอัตราร้อยละ 5 ขยับขึ้นเป็นสูงสุด 1,150 บาท จากฐานเดิมประกันสังคมมาตรา 33 เงินสมทบจะสูงสุดที่ 750 บาท ภายในปี 2573 โดยมีเหตุผลในการปรับเพดานค่าจ้างส่งเงินสมทบ 3 ด้าน คือ
- เพื่อให้สิทธิประโยชน์ที่พอเพียงกับการครองชีพในปัจจุบัน
- เพื่อกระจายรายได้จากผู้มีรายได้สูงไปยังผู้มีรายได้น้อย
- เพื่อเพิ่มโอกาสในการปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์
ซึ่งการปรับเพดานค่าจ้างผู้ประกันตนประกันสังคมม.33 ดังกล่าว จะถูกแบ่งเป็นเพดานค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงในแต่ละช่วงปี ดังนี้
- ปี 2567 – ปี 2569 (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 – 31 ธันวาคม 2569) กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำที่เดือนละ 1,650 บาท และค่าจ้างขั้นสูงไม่เกิน 17,500 บาท
ตัวอย่าง- ค่าจ้าง 5,000 บาท เงินสมทบประกันสังคมม.33ที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนในอัตราร้อยละ 5 คือ 250 บาท
- ค่าจ้าง 10,000 บาท เงินสมทบประกันสังคมม.33ที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนในอัตราร้อยละ 5 คือ 500 บาท
- ค่าจ้าง 15,000 บาท เงินสมทบประกันสังคมม.33ที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนในอัตราร้อยละ 5 คือ 750 บาท
- ค่าจ้าง 17,500 บาท เงินสมทบประกันสังคมม.33ที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนในอัตราร้อยละ 5 คือ 875 บาท
- ค่าจ้างมากกว่า 17,500 บาท เงินสมทบประกันสังคมม.33ที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนในอัตราร้อยละ 5 คือ 875 บาท
- ปี 2570 – ปี 2572 (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2570 – 31 ธันวาคม 2572) กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำที่เดือนละ 1,650 บาท และค่าจ้างขั้นสูงไม่เกิน 20,000 บาท
ตัวอย่าง- ค่าจ้าง 5,000 บาท เงินสมทบประกันสังคมม.33ที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนในอัตราร้อยละ 5 คือ 250 บาท
- ค่าจ้าง 10,000 บาท เงินสมทบประกันสังคมม.33ที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนในอัตราร้อยละ 5 คือ 500 บาท
- ค่าจ้าง 15,000 บาท เงินสมทบประกันสังคมม.33ที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนในอัตราร้อยละ 5 คือ 750 บาท
- ค่าจ้าง 17,500 บาท เงินสมทบประกันสังคมม.33ที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนในอัตราร้อยละ 5 คือ 875 บาท
- ค่าจ้าง 20,000 บาท เงินสมทบประกันสังคมม.33ที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนในอัตราร้อยละ 5 คือ 1,000 บาท
- ค่าจ้างมากกว่า 20,000 บาท เงินสมทบประกันสังคมม.33ที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนในอัตราร้อยละ 5 คือ 1,000 บาท
- ปี 2573 เป็นต้นไป (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2573) กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำที่เดือนละ 1,650 บาท และค่าจ้างขั้นสูงไม่เกิน 23,000 บาท
ตัวอย่าง- ค่าจ้าง 5,000 บาท เงินสมทบประกันสังคมม.33ที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนในอัตราร้อยละ 5 คือ 250 บาท
- ค่าจ้าง 10,000 บาท เงินสมทบประกันสังคมม.33ที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนในอัตราร้อยละ 5 คือ 500 บาท
- ค่าจ้าง 15,000 บาท เงินสมทบประกันสังคมม.33ที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนในอัตราร้อยละ 5 คือ 750 บาท
- ค่าจ้าง 17,500 บาท เงินสมทบประกันสังคมม.33ที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนในอัตราร้อยละ 5 คือ 875 บาท
- ค่าจ้าง 20,000 บาท เงินสมทบประกันสังคมม.33ที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนในอัตราร้อยละ 5 คือ 1,000 บาท
- ค่าจ้าง 23,000 บาท เงินสมทบประกันสังคมม.33ที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนในอัตราร้อยละ 5 คือ 1,150 บาท
- ค่าจ้างมากกว่า 23,000 บาท เงินสมทบประกันสังคมม.33ที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนในอัตราร้อยละ 5 คือ 1,150 บาท
ค่าจ้างต่ำกว่า 15,000 บาท ต้องจ่ายเงินสมทบประกันสังคมเพิ่มขึ้นหรือไม่?
สำหรับผู้ประกันตนประกันสังคมม.33 ที่รับค่าจ้างต่อเดือนต่ำกว่า 15,000 บาท จะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ทั้งสิ้นจากการปรับเพดานค่าจ้างเพื่อนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม โดยผู้ประกันตนประกันสังคมมาตรา 33 เงินสมทบที่จะถูกหักนำส่งเข้ากองทุนประกันสังคมยังคงถูกหักในอัตรา 5% ของค่าจ้างตามจริงที่นายจ้างรายงานต่อสำนักงานประกันสังคมเช่นเดิม ไม่ต้องจ่ายเงินสมทบประกันสังคมเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ตัวอย่างเช่น กรณีผู้ประกันตนประกันสังคมม.33 ได้รับค่าจ้าง 10,000 บาท/เดือน ทั้งผู้ประกันตนเองและนายจ้างจะถูกหักเงินสมทบเข้าประกันสังคมที่เดือนละ 500 บาทเช่นเดิม เป็นต้น
ประกันสังคมมาตรา 33 สิทธิประโยชน์ ปัจจุบันคุ้มครองอะไรบ้าง?
สำหรับสิทธิประโยชน์ประกันสังคมม.33 ที่ผู้ประกันตนได้รับในปัจจุบัน จะยังคงได้รับความคุ้มครอง ทั้ง 7 กรณี ดังนี้
- 1. กรณีเจ็บป่วย
- สามารถเข้ารับรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล ทั้งรัฐบาลและเอกชนตามสิทธิ์ที่มีได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
- สวัสดิการด้านทันตกรรม 900 บาท / ปี
- สิทธิ์ในการตรวจสุขภาพทั่วไปประจำปี
- สิทธิ์รับการบำบัดกรณี ดังนี้
- กรณีไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย
- การปลูกถ่ายไขกระดูก
- ผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ หรือเปลี่ยนอวัยวะ
- รับเงินทดแทนการขาดรายได้ สูงสุด 250 บาท/วัน (ไม่เกิน 90 วัน/ครั้ง และ180 วัน/ปี)
ภายในเงื่อนไขที่ผู้ประกันตนมีการจ่ายเงินสมทบประกันสังคมครบ 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนการเจ็บป่วย
- 2. กรณีเงินบำนาญชราภาพ
- เงินบำเหน็จ
- กรณีผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบประกันสังคมม.33 ต่ำกว่า 12 เดือน จะรับเป็นเงินบำเหน็จชราภาพ เฉพาะส่วนที่ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบประกันสังคมเข้ามา (ไม่ได้ส่วนที่นายจ้างสมทบให้)
- กรณีผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบประกันสังคมม.33 ตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป -179 เดือน จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ ทั้งส่วนที่ผู้ประกันตนสมทบและส่วนที่นายจ้างสมทบให้
- เงินบำนาญชราภาพ
- กรณีผู้ประกันตนจ่ายเงินประกันสังคมม.33 ไม่น้อยกว่า 180 เดือน จะได้รับเงินบำนาญ 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย โดยจะได้รับเป็นรายเดือน
- กรณีผู้ประกันตนจ่ายเงินประกันสังคมม.33 มากกว่า 180 เดือนขึ้นไป จะได้รับเงินบำนาญเพิ่มอีก 1.5% ทุก ๆ 1 ปี (เพิ่มจาก 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย)
- เงินบำเหน็จ
- 3. กรณีทุพพลภาพ
- แบบรุนแรง (ระดับความสูญเสียตั้งแต่ร้อยละ 50 ขึ้นไป)
- จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 50% ของค่าจ้าง เป็นรายเดือนตลอดชีวิต
- จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 50% ของค่าจ้าง เป็นรายเดือนตลอดชีวิต
- แบบไม่รุนแรง (ระดับความสูญเสีย ร้อยละ 35 แต่ไม่ถึงร้อยละ 50)
- จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ตามหลักเกณฑ์และระยะเวลาตามประกาศ กำหนด
ทั้ง 2 กรณี ผู้ประกันตนจะต้องมีการจ่ายเงินประกันสังคมม.33 ครบ 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนเดือนที่จะเกิดกรณีทุพพลภาพ
- จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ตามหลักเกณฑ์และระยะเวลาตามประกาศ กำหนด
- แบบรุนแรง (ระดับความสูญเสียตั้งแต่ร้อยละ 50 ขึ้นไป)
- 4. กรณีว่างงาน
- กรณีถูกเลิกจ้าง
- จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ในช่วงว่างงาน 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย ครั้งละไม่เกิน 180 วัน
- จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ในช่วงว่างงาน 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย ครั้งละไม่เกิน 180 วัน
- กรณีที่ลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน
- จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ตามหลักเกณฑ์และระยะเวลาตามประกาศ กำหนด
ทั้ง 2 กรณี ผู้ประกันตนจะต้องมีการจ่ายเงินประกันสังคมม.33 ครบ 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนเดือนที่จะเกิดกรณีทุพพลภาพ
- จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ตามหลักเกณฑ์และระยะเวลาตามประกาศ กำหนด
- กรณีถูกเลิกจ้าง
- 5. กรณีคลอดบุตร
- รับเงินค่าคลอดบุตรเหมาจ่าย 15,000 บาท/การคลอด 1 ครั้ง และไม่จำกัดจำนวนครั้ง
- เงินสงเคราะห์การหยุดงาน 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย เป็นระยะเวลา 90 วัน โดยจะสามารถเบิกได้ไม่เกิน 2 ครั้ง
- ค่าตรวจและรับฝากครรภ์ตามอายุครรภ์
และผู้ประกันตนจะต้องจ่ายเงินประกันสังคมม.33 ครบ 5 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนเดือนที่คลอด ทั้งนี้หากเป็นผู้ประกันตนเพศชาย จะได้รับเฉพาะเงินค่าคลอดบุตรเหมาจ่าย 15,000 บาท
- 6. กรณีสงเคราะห์บุตร
- รับเงินสงเคราะห์บุตรเดือนละ 800 บาท ต่อบุตร 1 คน (ไม่เกิน 3 คน) ตั้งแต่เด็กแรกเกิด – 6 ปีบริบูรณ์ โดยที่ผู้ประกันตนจะต้องจ่ายเงินประกันสังคมม.33 ครบ 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือน ก่อนเดือนที่มีสิทธิ์ได้รับประโยชน์การสงเคราะห์บุตร
- รับเงินสงเคราะห์บุตรเดือนละ 800 บาท ต่อบุตร 1 คน (ไม่เกิน 3 คน) ตั้งแต่เด็กแรกเกิด – 6 ปีบริบูรณ์ โดยที่ผู้ประกันตนจะต้องจ่ายเงินประกันสังคมม.33 ครบ 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือน ก่อนเดือนที่มีสิทธิ์ได้รับประโยชน์การสงเคราะห์บุตร
- 7. กรณีเสียชีวิต
- กรณีจ่ายเงินสมทบประกันสังคมครบ 1 เดือน ภายในระยะเวลา 6 เดือน ก่อนเสียชีวิต
- รับค่าทำศพ 50,000 บาท แต่ไม่ได้รับเงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต
- รับค่าทำศพ 50,000 บาท แต่ไม่ได้รับเงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต
- กรณีจ่ายเงินสมทบประกันสังคมตั้งแต่ 36 เดือนขึ้นไป แต่ไม่ถึง 120 เดือน
- รับค่าทำศพ 50,000 บาท
- ได้รับเงินสงเคราะห์ เท่ากับค่าจ้างเฉลี่ย 2 เดือน
- กรณีจ่ายเงินสมทบประกันสังคมตั้งแต่ 120 เดือนขึ้นไป
- รับค่าทำศพ 50,000 บาท
- ได้รับเงินสงเคราะห์ เท่ากับค่าจ้างเฉลี่ย 6 เดือน
- กรณีจ่ายเงินสมทบประกันสังคมครบ 1 เดือน ภายในระยะเวลา 6 เดือน ก่อนเสียชีวิต
หากปรับขึ้นเงินสมทบประกันสังคมมาตรา 33 ได้สิทธิอะไรเพิ่มขึ้นบ้าง?
หากมีการปรับรูปแบบการเก็บเงินสมทบประกันสังคมม.33 แน่นอนว่าผู้ประกันตนประกันสังคมมาตรา 33 เงินสมทบที่จ่ายก็จะต้องมีการถูกเก็บเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ทางประกันสังคมม.33 กำหนดให้กับผู้ประกันตนก่อนหน้านี้ ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงในบางรายการ ที่ให้สิทธิประโยชน์เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน โดยหากมีการปรับเพิ่มเงินสมทบประกันสังคมมาตรา 33 สิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนที่ได้รับค่าจ้างสูงกว่า 15,000 บาท จะได้รับเพิ่มขึ้นตามช่วงระยะเวลาการปรับเพิ่มเงินประกันสังคม มีดังนี้
- 1. กรณีเจ็บป่วย : จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเงินสมทบประกันสังคมม.33 เป็นระยะเวลาตามวันที่แพทย์มีคำสั่งให้ลาหยุดงาน
- 2. กรณีเงินบำนาญชราภาพ
- กรณีรับเงินบำนาญ : จะได้รับเงินบำนาญไม่ต่ำกว่า 20% ของค่าจ้าง ตั้งแต่เกษียณไปจนตลอดชีวิต โดยผู้ประกันตนที่ส่งเงินประกันสังคมม.33 ตั้งแต่ 15 ปี จะได้รับบำนาญ 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย และผู้ประกันตนที่ส่งเงินประกันสังคมม.33 มากกว่า 15 ปี จะได้รับบำนาญเพิ่มขึ้น 1.5% ต่อปีที่ส่งเงินสมทบเพิ่มเติม
- กรณีรับเงินบำเหน็จ : หากผู้ประกันตนส่งเงินประกันสังคมม.33ไม่ครบ 15 ปี จะได้รับเป็นเงินบำเหน็จตามจำนวนเงินสมทบที่นำส่งประกันสังคม รวมผลตอบแทนการลงทุน
- กรณีรับเงินบำนาญ : จะได้รับเงินบำนาญไม่ต่ำกว่า 20% ของค่าจ้าง ตั้งแต่เกษียณไปจนตลอดชีวิต โดยผู้ประกันตนที่ส่งเงินประกันสังคมม.33 ตั้งแต่ 15 ปี จะได้รับบำนาญ 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย และผู้ประกันตนที่ส่งเงินประกันสังคมม.33 มากกว่า 15 ปี จะได้รับบำนาญเพิ่มขึ้น 1.5% ต่อปีที่ส่งเงินสมทบเพิ่มเติม
- 3. กรณีทุพพลภาพ : หากทุพพลภาพรุนแรง จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเงินสมทบประกันสังคม เป็นระยะเวลาตลอดชีวิต แต่หากทุพพลภาพไม่รุนแรง จะได้รับเงินทดแทน 30% ของค่าจ้างที่นำส่งเงินสมทบประกันสังคม เป็นระยะเวลา 180 เดือน
- 4. กรณีว่างงาน
- หากเป็นกรณีถูกเลิกจ้าง : จะได้รับเงินทดแทนว่างงาน 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเงินสมทบประกันสังคม เป็นระยะเวลาไม่เกิน 180 วัน
- หากเป็นกรณีสมัครใจลาออก : จะได้รับเงินทดแทนว่างงาน 30% ของค่าจ้างที่นำส่งเงินประกันสังคมม.33 เป็นระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน
- หากเป็นกรณีสิ้นสุดสัญญาจ้าง : จะได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงาน 30% ของค่าจ้างที่นำส่งเงินประกันสังคมม.33 เป็นระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน
- หากเป็นการว่างานกรณีเหตุสุดวิสัย : จะได้รับเงินทดแทน 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเงินสมทบประกันสังคม เป็นระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน
- หากเป็นกรณีถูกเลิกจ้าง : จะได้รับเงินทดแทนว่างงาน 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเงินสมทบประกันสังคม เป็นระยะเวลาไม่เกิน 180 วัน
- 5. กรณีคลอดบุตร : จะได้รับเงินสงเคราะห์หยุดงาน 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเงินสมทบประกันสังคม เป็นระยะเวลา 90 วัน
- 6. กรณีเสียชีวิต : ทายาทจะได้รับเงินสงเคราะห์ 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเงินประกันสังคมม.33 เป็นระยะเวลา 4 หรือ 12 เดือน แล้วแต่กรณี
โดยน้องแคร์ขอสรุปสิทธิประโยชน์ประกันสังคมมาตรา 33 แบบใหม่ ทั้ง 6 กรณี ที่ผู้ประกันตนจะได้รับในแต่ละช่วงปี ดังนี้
- ปี 2567 – ปี 2569 (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 – 31 ธันวาคม 2569) ผู้ประกันตนประกันสังคมมาตรา 33 เงินสมทบอัตราสูงสุดที่ 875 บาท
- กรณีเจ็บป่วย : จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้สูงสุด 292 บาท/วัน
- กรณีเงินบำนาญชราภาพ
- ส่งเงินสมทบประกันสังคม 15 ปี จะได้รับเงินบำนาญ 3,500 บาท/เดือน
- ส่งเงินสมทบประกันสังคม 25 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินบำนาญ 6,125 บาท/เดือน
- กรณีทุพพลภาพ : จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้จากการทุพพลภาพสูงสุด 8,750 บาท/เดือน
- กรณีว่างงาน : จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้กรณีว่างงานสูงสุด 8,750 บาท/เดือน
- กรณีคลอดบุตร : จะได้รับเงินสงเคราะห์หยุดงานสูงสุด 26,250 บาท/ครั้ง
- กรณีเสียชีวิต : จะได้รับเงินสงเคราะห์เสียชีวิตสูงสุด 35,000 บาท
- กรณีเจ็บป่วย : จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้สูงสุด 292 บาท/วัน
- ปี 2570 – ปี 2572 (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2570 – 31 ธันวาคม 2572) ผู้ประกันตนประกันสังคมมาตรา 33 เงินสมทบอัตราสูงสุดที่ 1,000 บาท
- กรณีเจ็บป่วย : จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้สูงสุด 333 บาท/วัน
- กรณีเงินบำนาญชราภาพ
- ส่งเงินสมทบประกันสังคม 15 ปี จะได้รับเงินบำนาญ 4,000 บาท/เดือน
- ส่งเงินสมทบประกันสังคม 25 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินบำนาญ 7,000 บาท/เดือน
- กรณีทุพพลภาพ : จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้จากการทุพพลภาพสูงสุด 10,000 บาท/เดือน
- กรณีว่างงาน : จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้กรณีว่างงานสูงสุด 10,000 บาท/เดือน
- กรณีคลอดบุตร : จะได้รับเงินสงเคราะห์หยุดงานสูงสุด 30,000 บาท/ครั้ง
- กรณีเสียชีวิต : จะได้รับเงินสงเคราะห์เสียชีวิตสูงสุด 40,000 บาท
- กรณีเจ็บป่วย : จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้สูงสุด 333 บาท/วัน
- ปี 2573 เป็นต้นไป (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2573) ผู้ประกันตนประกันสังคมมาตรา 33 เงินสมทบอัตราสูงสุดที่ 1,150 บาท
- กรณีเจ็บป่วย : จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้สูงสุด 383 บาท/วัน
- กรณีเงินบำนาญชราภาพ
- ส่งเงินสมทบประกันสังคม 15 ปี จะได้รับเงินบำนาญ 4,000 บาท/เดือน
- ส่งเงินสมทบประกันสังคม 25 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินบำนาญ 8,050 บาท/เดือน
- กรณีทุพพลภาพ : จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้จากการทุพพลภาพสูงสุด 11,500 บาท/เดือน
- กรณีว่างงาน : จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้กรณีว่างงานสูงสุด 11,500 บาท/เดือน
- กรณีคลอดบุตร : จะได้รับเงินสงเคราะห์หยุดงานสูงสุด 34,500 บาท/ครั้ง
- กรณีเสียชีวิต : จะได้รับเงินสงเคราะห์เสียชีวิตสูงสุด 46,000 บาท
- กรณีเจ็บป่วย : จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้สูงสุด 383 บาท/วัน
ถ้าเงินสมทบปรับขึ้น นายจ้างต้องสมทบเพิ่มขึ้นด้วยหรือไม่?
หากมีการปรับเพิ่มเงินสมทบประกันสังคมม.33 คำถามที่หลายคนสงสัยก็คงหนีไม่พ้นคำถามที่ว่า นายจ้างจะต้องมีการเพิ่มเงินสมทบนำส่งประกันสังคมเหมือนกับผู้ประกันตนหรือไม่ ซึ่งทางสำนักงานประกันสังคมยืนยันตามกฎหมายนายจ้างว่าจะต้องเพิ่มเงินสมทบประกันสังคมม.33 ในอัตรา 5% ของค่าจ้างด้วยเช่นเดียวกับผู้ประกันตน ตัวอย่างเช่น หากผู้ประกันตนที่เป็นลูกจ้างได้รับค่าจ้าง 20,000 บาท/เดือน ทั้งลูกจ้างและนายจ้างก็จะต้องจ่ายเงินสมทบเข้าสำนักงานกองทุนประกันสังคมในอัตราร้อยละ 5 หรือฝ่ายละ 1,000 บาท นั่นเอง
เช็คสิทธิประกันสังคมม.33 ช่องทางไหนได้บ้าง?
หากคุณต้องการเช็คสิทธิประกันสังคมม.33 และมาตราอื่น ๆ ของตัวคุณเอง จากการที่คุณนำส่งเงินสมทบประกันสังคมไป คุณสามารถเข้าไปเช็คผ่านเว็บไซต์ของสำนักงานประกันสังคมที่ www.sso.go.th ได้โดยตรง โดยทำตามขั้นตอน ดังนี้
- ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ กรอกรหัสผู้ใช้งานเป็นหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก และกรอกรหัสผ่านที่ตั้งไว้
- กรณียังไม่เป็นสมาชิกให้สมัครสมาชิก โดยการกรอกข้อมูลส่วนตัวเพื่อลงทะเบียนเข้าเช็คสิทธิประกันสังคมม.33
- เลือกตรวจสอบสิทธิของคุณ ตามหัวข้อ ดังนี้
– ตรวจสอบสิทธิการรักษาพยาบาล
– ข้อมูลการส่งเงินสมทบ
– ขอเปลี่ยนสถานพยาบาล
– ประวัติการการใช้สิทธิประโยชน์ทดแทน
– การคำนวณเงินสงเคราะห์ชราภาพ
– ประวัติการทำธุรกรรมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
– ตรวจสอบข้อมูลใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์
– ระบบทันตกรรม
ปรับเงินสมทบประกันสังคมแต่สิทธิค่ารักษาพยาบาลยังเท่าเดิม ถ้ายังไม่เพียงพอ “ประกันสุขภาพจากแรบบิท แคร์” ช่วยคุณได้!
แม้ว่าการปรับเพิ่มเงินสมทบประกันสังคมมาตรา 33 จะมีการกำหนดสิทธิประโยชน์ในบางรายการให้ผู้ประกันตนได้รับเพิ่มเติมขึ้นจากเดิมตามที่น้องแคร์ได้กล่าวข้างต้น แต่ในส่วนของสิทธิค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วย อย่างเช่น กรณีแอดมิดต้องเข้ารักษาตัวที่โรงเรียนพยาบาล ก็ยังคงเป็นสิทธิประโยชน์จำนวนเท่าเดิม คือหากคุณเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐหรือโรงพยาบาลเอกชนที่เป็นสิทธิ์สวัสดิการประกันสังคมของคุณ ในฐานะผู้ป่วยใน คุณจะสามารถเบิกค่าห้องและค่าอาหารได้ที่วันละไม่เกิน 700 บาท ส่วนค่ารักษาพยาบาลเบิกได้ตามความจำเป็นที่จ่ายจริง
ซึ่งแน่นอนว่าค่าห้องและค่าอาหารเพียง 700 บาทต่อวัน อาจจะไม่เพียงพอต่อการเข้ารับการรักษาตัวในแต่ละครั้งแน่นอน ยิ่งหากคุณต้องการเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแล้วล่ะก็ ในส่วนของค่าห้องและค่าอาหารที่ได้รับจากสิทธิ์สวัสดิการประกันสังคมนี้จะไม่เพียงพออย่างแน่นอน เพราะโรงพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่มีอัตราค่าบริการค่าห้องและค่าอาหารโดยรวมเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3,000 – 3,500 บาทต่อวันเลยทีเดียว นั่นหมายความว่าหากคุณไม่มีสิทธิ์สวัสดิการส่วนอื่น ๆ อย่างเช่น ประกันกลุ่ม หรือประกันสุขภาพผู้ป่วยในส่วนตัว ที่จะมาเป็นตัวช่วยในการเบิกเคลมค่ารักษาพยาบาลและค่าห้องอีกแรงแล้วละก็ ส่วนเกินที่เหลือก็จะตกมาอยู่ที่คุณต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษากับโรงพยาบาลทั้งหมด
ดังนั้นคำแนะนำที่ดีที่สุดจากน้องแคร์ก็คือ นอกจากการนำส่งเงินสมทบประกันสังคมเพื่อรับสิทธิประโยชน์จากประกันสังคมแล้ว คุณควรเตรียมความพร้อมด้านประกันสุขภาพส่วนตัวของคุณร่วมด้วย โดยการซื้อประกันสุขภาพผู้ป่วยใน – ผู้ป่วยนอก จากแรบบิท แคร์ ที่เพียงพอกับค่าห้องหรือค่ารักษาพยาบาลไว้สัก 1 กรมธรรม์ เพื่อนำไปใช้ในการเบิกเคลมร่วมกันกับสวัสดิการประกันสังคมหรือสวัสดิการอื่น ๆ ที่คุณมี ช่วยเพิ่มวงเงินความคุ้มครองทั้งค่ารักษาพยาบาลและค่าห้อง ให้คุณได้อุ่นใจเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวกรณีเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุมากขึ้น
จะรู้ได้อย่างไรว่าต้องเลือกทำประกันสุขภาพแผนไหนดี?
น้องแคร์ขอแชร์เทคนิคง่าย ๆ ที่จะสามารถช่วยให้คุณได้ตัดสินใจเลือกซื้อแผนประกันสุขภาพได้เหมาะสมกับความต้องการของคุณมากที่สุด ดังนี้
- เริ่มจากสำรวจสิทธิ์สวัสดิการต่าง ๆ ที่คุณมี เช่น สวัสดิการประกันสังคม ประกันกลุ่ม เป็นต้น
- ตรวจสอบทุกสิทธิ์สวัสดิการที่คุณมีอยู่ว่ามีการให้ความคุ้มครองในหมวดค่าห้องและค่าอาหาร หรือค่ารักษาพยาบาลมากเท่าไหร่
- ให้คุณนำความคุ้มครองที่มี อย่างเช่น ค่าห้องและค่าอาหาร มาเทียบกับอัตราค่าบริการค่าห้องและค่าอาหารของโรงพยาบาลตามสิทธิ์นั้น ๆ ที่คุณมี ว่าครอบคลุมหรือไม่
- หากความคุ้มครองยังไม่ครอบคลุม หรือยังขาดความคุ้มครองไปเป็นจำนวนเท่าไหร่ ให้คุณเลือกแผนประกันสุขภาพที่ให้ความครอบคลุมในส่วนที่ขาดให้มากที่สุด เช่น ค่าห้องและค่าอาหารที่คุณมี ยังขาดความคุ้มครองไป 3,000 บาท ก็ควรเลือกซื้อประกันสุขภาพที่ให้ความคุ้มครองค่าห้องและค่าอาหาร 3,000 บาท หรือมากกว่านี้ เป็นต้น
แต่ถ้าหากวิธีการข้างต้นยังคงสร้างความวุ่นวายหลายขั้นตอนให้กับคุณ น้องแคร์ขอแนะนำให้คุณเข้ามาใช้บริการเปรียบเทียบประกันสุขภาพ จากแรบบิท แคร์ ที่จะช่วยลดขั้นตอนความวุ่นวายข้างต้นโดยการคลิกและกรอกข้อมูลของคุณเพียงไม่กี่ขั้นตอน ระบบของเราก็จะแนะนำแผนประกันสุขภาพที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณขึ้นมาทันที ไม่ต้องเสียเวลา สะดวกรวดเร็วได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมแน่นอน!
บทความที่เกี่ยวข้อง
ทีมกองบรรณาธิการ กลุ่มนักเขียนผู้มีประสบการณ์ด้านรถยนต์ การเงิน และประกันภัย ของ แรบบิท แคร์ ที่เปิดดำเนินการมาแล้วมากกว่า 10 ปี