ตามส่องอายุใช้งานรถ เวลาไหนถึงควรเปลี่ยนรถใหม่กัน!?
เคยสงสัยกันไหมว่ารถยนต์ที่เราซื้อมาจะสามารถใช้งาน และวิ่งไปได้นานมากแค่ไหน? แล้วมีสัญญาณอะไรบ้างนะ ที่บ่งบอกว่ารถยนต์ของคุณเริ่มพังและไม่น่าซ่อมไว้ขับอีกต่อไป ถ้ารถยังใช้งานได้ จะมีประกันรถเก่าให้ไหม? วันนี้ แรบบิท แคร์ มีคำตอบมาฝาก!
ไขข้อข้องใจ รถยนต์ใช้งานได้สูงสุดกี่ปีกันแน่?
จากข้อมูลจาก statista.com ระบุว่าในปี 2018 ในฝั่งยุโรปและอเมริกา รถมีอายุการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ 11 – 12 ปี ส่วนฝั่งเอเชีย มีอายุรถใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ 8 – 9 ปี เท่านั้น และเมื่อนำตัวเลขเฉลี่ยมาจากทั่วทั้งโลก จะพบว่าในปี 2018 ตัวเลขเฉลี่ยการใช้งานรถยนต์จะอยู่ที่ราว 5 – 13 ปี
ด้วยตัวเลขสถิติเหล่านี้เอง จึงมีคำแนะนำในการใช้งานรถยนต์ว่า รถยนต์จะคงสภาพดีที่สุดในช่วง 5-10 ปี แรก หรือภายในระยะเลขไมล์ 100,000 กิโลเมตร และไม่แนะนำให้ใช้งานกับรถยนต์ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป หากไม่มีการดูแลรักษาที่ดี
แต่ในปัจจุบัน เครื่องยนต์ของรถหลากหลายรุ่น หลากหลายแบรนด์ ได้มีการปรับปรุง พัฒนา ให้สามารถวิ่งได้ในระดับ 300,000 กิโลเมตรขึ้นไปได้แบบสบาย ๆ ดังนั้น หากอยากใช้งานนานมากกว่านั้น การดูแลบำรุงรักษารถยนต์อย่างสม่ำเสมอจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก นอกจากนี้ยังรวมถึงอุปกรณ์ส่วนอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบของรถยนต์คันนั้น ๆ ด้วย
และจากสถิติเหล่านี้นี่เอง ทำให้บริษัทประกันหลายแห่ง รับทำประกันให้กับรถยนต์ที่มีอายุมากกว่า 10 ปีขึ้นไป และมักจะเสนอประกันภัยรถยนต์ชั้น1 ให้ หรือเช็คประกันรถยนต์ตัวเองแล้ว อยากจะลดเบี้ยประกันให้ถูกลง ก็อาจเลือกเป็น ประกันรถชั้น 2+ เพื่อความคุ้มครองที่ครอบคลุม เหมาะสมกับอายุการใช้งานต่าง ๆ ของรถยนต์
แต่หากต้องการหาประกันรถยนต์อายุเกิน 15 ปีขึ้นไป หลายบริษัทฯจะแนะนำเป็นประกันรถชั้น 2+ หรือชั้น 2 ส่วนรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานเกิน 20 ปีขึ้นไป ต้องการจะทำประกันรถเก่าบ้าง หลายแห่งจะแนะนำเป็น ประกันรถชั้น 3+ หรือ ชั้น 3 ให้
ดังนั้น ก็ไร้กังวลได้เลยว่า รถเก่าเก็บที่บ้าน แม้จะมีอายุใช้งานนานถึง 15 – 20 ปี จะไม่มีที่ไหนรับทำประกันรถเก่า เพราะทางบริษัทประกันเองก็ได้พิจารณาจากหลักสถิติทั่วไปของอายุการใช้งานรถยนต์แล้วว่า ช่วงอายุเหล่านี้ รถยนต์ยังคงใช้งานได้ดี ทำให้มีผลิตภัณฑ์ประกันรถยนต์อายุเกิน 15 ปี อยู่ แต่อาจมีเงื่อนไขบ้าง เช่น รถยนต์ต้องอยู่ในสภาพที่ดี, ผู้ขับขี่ หรือเจ้าของรถต้องมีประวัติที่ดี เป็นต้น
และเมื่อรถยนต์อายุมากถึง 20 ปีขึ้นไป การหาประกันรถเก่าอาจจะทำได้ยากขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่รถยนต์จะหมดอายุการใช้ แม้ซ่อมแซมแล้วก็อาจไม่คุ้มค่าทั้งต่อบริษัทฯประกัน และเจ้าของรถ นั่นเอง
สัญญาณลางร้ายอะไร ที่บอกว่ารถเราใกล้พัง!
แม้จะมีมาตราฐานเรื่องอายุการใช้งานรถยนต์ เฉลี่ยเป็นค่าสถิติมาแล้วก็ตาม แต่ปัจจัยที่รถยนต์ของแต่ละคนจะหมดอายุการใช้งานนั้น ขึ้นอยู่กับหลากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องของคุณภาพอะไหล่ แบรนด์รถยนต์ ลักษณะการใช้งานรถและขับขี่ โดยสัญญาอันตราย ลางร้าย ที่บอกว่ารถของคุณใกล้พัง และควรมองหายานพาหนะคู่ใจคันใหม่ได้แล้วนั้น จะมี ดังนี้
- ใช้เวลาสตาร์ทรถนานกว่าปกติ
หากการสตาร์ทเครื่องรถยนต์ ใช้เวลานานกว่า 15 วินาที หรือนานกว่าปกติ มีแนวโน้มว่าแบตเตอรี่รถอาจเสื่อม หรือมีปัญหาเกี่ยวกับระบบจ่ายเชื้อเพลิงที่ไม่ไหลเข้าระบบ
- สีควันจากรถยนต์ไม่ปกติ
อีกหนึ่งสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าเครื่องยนต์เริ่มมีปัญหาแล้ว เพราะเดิมที ควันจากท่อไอเสียรถควรจะสะอาดไร้สี แต่หากรถคุณมีปัญหา ควันที่ออกมาจากท่อไอเสียจะเป็นสีต่าง ๆ ที่บ่งอาการความผิดปกติ สามารถบ่งบอกสภาพภายในของรถยนต์คุณได้ ดังนี้
หากมีควันสีฟ้าอ่อน มีกลิ่น บ่งบอกถึงปัญหาน้ำมันเครื่องเข้าไปในส่วนหัวลูกสูบ หรืออาจเกิดจากการสึกหรอของแหวนลูกสูบ
ส่วนควันดำ จะเกิดได้หลากหลายสาเหตุ โดยอาจเกิดจาก การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงรถยนต์มีคุณภาพต่ำ, ไส้กรองอากาศอุดตัน, หัวฉีดปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงชำรุด หรือปรับแต่งไม่เหมาะสม, เครื่องหลวมเนื่องจากลูกสูบหรือกระบอกสูบชำรุด รวมไปถึงการบรรทุกของด้วยน้ำหนักเกินพิกัด
และกรณีที่เกิดรถควันขาว จะบ่งบอกถึงะระบบหล่อเย็นของเครื่องยนต์ หรือปะเก็นที่อยู่ระหว่างเครื่องยนต์ท่อนบนและล่างและเกิดปริ ทำให้น้ำเล็ดลอดเข้าห้องเผาไหม้ หากไม่รีบแก้ไข น้ำอาจจะปนเข้ากับน้ำมันเครื่อง ท้ายที่สุดทำให้น้ำมันเครื่องเป็นโคลน ทำให้เครื่องยนต์น็อกในที่สุด
- รถมีกลิ่นเหม็นไหม้ระหว่างขับขี่
ไม่ว่ากลิ่นไหม้ นั้นมาจากอะไรสิ่งที่สำคัญ มันเป็นสัญญาณที่ดีบ่งชี้ว่า รถของคุณกำลังมีปัญหาในการทำงาน อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น เบรกไหม้, สายพานไหม้, ท่อไอเสียปริแตก, ลูกสูบไหม้ หรือแม้แต่สายไฟภายในเครื่องยนต์ไหม้ ซึ่งไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุ รถมีกลิ่นไหม้ก็เป็นอันตรายหากใช้งานรถยนต์ต่อไปโดยไม่แก้ไข ดังนั้น หากเกิดกลิ่นเหม็นไหม้ระหว่างขับรถยนต์ ควรนำรถเข้าพบช่างโดยเร็วที่สุด
- รถยนต์มีเสียงแปลก ๆ
โดยปกติแล้ว รถยนต์เองก็จะมีเสียงเครื่องยนต์ระหว่างขับขี่อยู่บ้าง แต่หากวันไหน ได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังขึ้นเป็นประจำ เช่น มีเสียงแหลมขณะเบรก, มีเสียงเวลาเลี้ยวรถ หรือมีเสียงอื่น ๆ แปลกปลอมขึ้นมา นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่ารถยนต์ของคุณควรได้รับการบำรุงซ่อมแซมโดยด่วน และไม่ควรปล่อยเอาไว้นาน
- มีร่องรอยของน้ำ หรือน้ำมันหยดที่พื้น
อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่ารถยนต์ของคุณไม่ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นน้ำ หรือน้ำมันก็ตาม โดยอาจเกิดจากสาเหตุอย่าง หม้อน้ำรั่ว, น้ำมันเบรกรั่ว หรือแม้กระทั่งน้ำมันรั่ว อาจก่อให้เกิดอันตรายระว่างที่ขับขี่
- รถเหยียบเร่งไม่ขึ้น
หากตรวจสอบแล้วว่าไม่มีร่องรอยน้ำมันรั่ว อาจมีสาเหตุจากน้ำมันเครื่อง แต่หากถ่ายมาแล้วและยังคงเร่งเครื่องไม่ได้ อาจมีผลมาจาก 2 อย่าง คือ กรองน้ำมันเชื้อเพลิง กรองอากาศ อาการรถมีอัตราเร่งถอยนี้ มีผลโดยตรงต่ออัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
- ไฟเตือนขึ้นบนหน้าปัด
หากเกิดไฟสัญญาณเตือนบนแผงหน้าปัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์ใด ให้เฝ้าระวังไว้ก่อนเลยว่า รถยนต์ของเราอาจมีอะไรขัดข้อง ควรรีบตรวจสอบทันที เพราะอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้
นี่เป็นเพียงหนึ่งในอาการของรถที่ใกล้หมดอายุเท่านั้น ยังมีสัญญาณอีกมากที่เริ่มบ่งบอกว่ารถยนต์ของคุณกำลังเสื่อมสมรรถภาพ ดังนั้น จึงควรหมั่นสังเกตอาการรถยนต์อย่างสม่ำเสมอ เช่น ตรวจเช็กสภาพรถยนต์เป็นประจำ, หมั่นเช็กระยะสม่ำเสมอ, ล้างห้องเครื่องยนต์อย่างน้อยปีละครั้ง, หมั่นตรวจสอบยางรถยนต์เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น และ อีก ฯลฯ
เพราะการที่รถยนต์เกิดปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อสะสมนานวันเข้า อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่สามารถซ่อมแซมได้อีก!
บางคนใช้งานหนักและไม่ค่อยดูแลรักษา แค่ 3 – 5 ปี รถยนต์อาจจะพัง เสียหาย ขับขี่ได้ไม่ดีเท่าปีแรก ๆ ที่ซื้อ แต่หากเราดูแลรักษาเป็นประจำ รถยนต์ก็อาจยืดอายุการใช้งานได้มากกว่า 20 ปีขึ้นไปก็ได้! แถมยังช่วยลดภาระด้านการเงินที่ต้องคอยซ่อมแซมบ่อย ๆ ได้อีกด้วย!
และหากปัญหาข้างต้นได้รับการซ่อมแซมไปแล้ว แต่ยังคงมีอาการเกิดขึ้นซ้ำ ๆ อาจเป็นสัญญาณว่า คุณควรเริ่มมองหารถคันใหม่ได้แล้ว!
อยากเปลี่ยนรถยนต์แล้ว ควรเริ่มเปลี่ยนตอนไหนดีถึงคุ้ม?
รู้แบบนี้แล้ว หลายคนอาจจะเริ่มต้นวางแผนการเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่ แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะรถยนต์แต่ละคันมีราคาไม่ใช่น้อย ๆ การวางแผนเลือกเปลี่ยนถใหม่ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้คุณมองหารถยนต์รุ่นใหม่ที่ตรงใจ มีเวลาเก็บออมเงิน ขอสินเชื่อรถ มีเวลาเช็คประกันรถยนต์ตัวเอง และได้เปรียบเทียบประกันชั้น 1 ให้กับรถยนต์ป้ายแดงคันใหม่ได้ดียิ่งขึ้น!
แต่จะเริ่มเปลี่ยนรถยนต์ตอนไหนดี ถึงจะคุ้มค่าที่สุด และเหมาะที่สุดกันนะ? คุณอาจจะลองพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
- รถรุ่นใหม่มีเทคโนโลยี ฟังก์ชันที่น่าสนใจกว่า หรือมีสิ่งที่ตอบโจทย์ในการใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ระบบความปลอดภัย, สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่รถยนต์คันเดิมไม่มี, ขนาดรถยนต์ที่เหมาะสมกับครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น หรือ รถยนต์ EV ที่เน้นการประหยัดพลังงาน เป็นต้น
- รถยนต์มีอายุการใช้งานที่มากขึ้น เช่น ใช้งานรถยนต์มานาน 10 ปี หรือมีเลขไมล์มากกว่า 200,000 กิโลเมตร หรือหากอยากนำรถยนต์ไปต่อยอด ขายเป็นรถยนต์มือ 2 คุณอาจจะเริ่มขายตั้งแต่รถยนต์อายุ 5 – 8 ปี ก็ได้เช่นกัน
- อะไหล่เริ่มไม่รองรับการซ่อมแซม เนื่องจากตามสัญญาการซื้อขาย ทางผู้ผลิตรถยนต์มักจะมีการสำรองอะไหล่ที่ใช้เปลี่ยนได้เมื่อเสื่อมสภาพเป็นระยะเวลานานมากถึง 10-15 ปี นับตั้งแต่วันที่รถเลิกขาย หากรถยนต์มีอายุที่เก่ามากเกินไป อาจเกิดปัญหาไม่สามารถหาอะไหล่มาซ่อมแซมได้
- รถยนต์เริ่มมีปัญหาจุกจิก มีปัญหาต้องซ่อมแซม หรือเกิดปัญหาขณะขับขี่ ต้องเสียเงินซ่อมเป็นประจำ การเปลี่ยนรถคันใหม่ก็เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
- เลือกเปลี่ยนหลังประเมินจากสภาพรถหลังผ่าน 7 ปีแรก ที่ต้องนำรถเข้าตรวจตามระเบียบของกรมการขนส่งทางบก เพราะการประเมินดั่งกล่าว จะมีการตรวจเช็กทั้งระบบเบรกและช่วงล่าง, สายพานไทม์มิ่ง, ยาง, ระบบหม้อน้ำ รวมถึงระบบท่อของเหลวต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าสภาพรถยนต์ยังไหวไหม หรือควรมองหารถยนต์คันใหม่
รถที่มีอายุการใช้งานควรทำประกันรถยนต์ชั้นไหนบ้าง
การเลือกประกันรถยนต์สำหรับรถที่มีอายุการใช้งาน (หรือที่มักเรียกกันว่า “รถเก่า”) ควรพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น มูลค่ารถ ความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ และสภาพการใช้งานของรถยนต์ ประกันชั้นต่าง ๆ มีความคุ้มครองที่แตกต่างกัน และคุณควรเลือกให้เหมาะสมกับรถยนต์ของคุณ ดังนี้
1. ประกันชั้น 1 (เหมาะกับรถที่ยังมีมูลค่าสูง)
- คุ้มครองครอบคลุมทุกความเสียหาย: ประกันชั้น 1 ให้ความคุ้มครองสูงสุด ทั้งความเสียหายต่อรถของคุณและคู่กรณี รวมถึงความเสียหายจากภัยธรรมชาติ การโจรกรรม และอุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณี
- พิจารณามูลค่ารถและสภาพรถ: หากรถของคุณยังมีมูลค่าตลาดสูงและสภาพยังดี ประกันชั้น 1 ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดี แม้รถจะเก่าไปแล้วหลายปี การซ่อมแซมหรือเปลี่ยนชิ้นส่วนของรถเก่าอาจมีค่าใช้จ่ายสูง ประกันชั้น 1 จะช่วยให้คุณลดภาระค่าใช้จ่ายจากการซ่อมรถได้
- ข้อเสีย: เบี้ยประกันชั้น 1 มักจะสูงกว่าเมื่อเทียบกับชั้นอื่น และสำหรับรถเก่าที่มูลค่าไม่สูงมาก อาจไม่คุ้มกับการจ่ายเบี้ยในราคาสูง
2. ประกันชั้น 2+ (ตัวเลือกที่ดีสำหรับรถอายุหลายปี)
- คุ้มครองอุบัติเหตุที่มีคู่กรณีและการโจรกรรม: ประกันชั้น 2+ ให้ความคุ้มครองเมื่อเกิดอุบัติเหตุที่มีคู่กรณี รวมถึงคุ้มครองในกรณีที่รถถูกโจรกรรมหรือเสียหายจากไฟไหม้ แต่จะไม่คุ้มครองกรณีที่คุณชนสิ่งของหรือเกิดอุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณี
- เหมาะกับรถเก่าที่มีมูลค่าลดลง: หากรถของคุณมีมูลค่าลดลงแต่ยังคงใช้งานอยู่และคุณต้องการประกันที่ครอบคลุมความเสี่ยงที่สำคัญ เช่น การโจรกรรม ประกันชั้น 2+ เป็นตัวเลือกที่ดี และเบี้ยประกันมักจะถูกกว่าประกันชั้น 1
- ข้อเสีย: ไม่ครอบคลุมอุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณี หรือความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นกับรถเก่า
3. ประกันชั้น 3+ (ตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับรถเก่า)
- คุ้มครองอุบัติเหตุที่มีคู่กรณี: ประกัน 3+ คือ ประกันที่ให้ความคุ้มครองในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุที่มีคู่กรณี แต่จะไม่ครอบคลุมความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถของคุณเองหากไม่มีคู่กรณี เช่น ชนกำแพง หรืออุบัติเหตุที่เป็นความผิดของคุณเอง
- เบี้ยประกันราคาถูกกว่า: สำหรับรถเก่าที่มีมูลค่าไม่สูงและคุณต้องการลดค่าใช้จ่ายประกันชั้น 3+ เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ามาก เบี้ยประกันจะถูกกว่าประกันชั้น 2+ และชั้น 1
- ข้อเสีย: ความคุ้มครองค่อนข้างจำกัด และไม่คุ้มครองกรณีที่รถถูกโจรกรรม หรืออุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณี
4. ประกันชั้น 2 และประกันชั้น 3 (เหมาะกับรถเก่ามากหรือรถที่ใช้งานน้อย)
- คุ้มครองเฉพาะคู่กรณี: ประกันรถยนต์ชั้น 2 และประกันรถยนต์ชั้น 3 ให้ความคุ้มครองเฉพาะความเสียหายต่อคู่กรณีเท่านั้น หากเกิดอุบัติเหตุและคุณเป็นฝ่ายผิด ประกันจะจ่ายเฉพาะค่าซ่อมให้คู่กรณี แต่รถของคุณเองจะไม่ได้รับความคุ้มครอง
- เบี้ยประกันราคาถูกที่สุด: เหมาะสำหรับรถเก่ามากหรือรถที่มีมูลค่าต่ำ ซึ่งการซ่อมแซมหรือการดูแลรักษารถอาจไม่คุ้มค่ากับการจ่ายเบี้ยประกันที่สูง
- ข้อเสีย: ไม่คุ้มครองรถของคุณเองในทุกกรณี ไม่ครอบคลุมการโจรกรรมหรือภัยธรรมชาติ
การจะเปลี่ยนรถคันใหม่เมื่อใด ส่วนใหญ่จะมีเหตุผลที่หลากหลายขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ซึ่งอาจมีกำหนดเวลา เรื่องการเงิน ที่แตกต่างกันออกไป และถ้ารถยนต์ที่บ้านยังคงสู้ไหว ที่ แรบบิท แคร์ เราก็มีประกันรถเก่า หรือประกันรถยนต์อายุเกิน 15 ปี ให้คุณได้เลือกเปรียบเทียบ หรือจะเลือกประกันให้รถยนต์คันใหม่ป้ายแดง หรือแม้แต่เรื่อง ต่อ พ.ร.บ. รถออนไลน์ ที่นี้ก็พร้อมให้บริการ!
เช็คประกันรถยนต์ตัวเองให้ตรงกับไลฟ์สไตล์และเงินในกระเป๋า ครบเครื่องทุกบริการหลังการขาย ต้องที่ แรบบิท แคร์ คลิกเลย!
นักเขียนรุ่นไฮบริด เขียนบทความด้านการบริหารเงินส่วนบุคคลและการลงทุนต่าง ๆ กว่า 7 ปี เริ่มต้นที่งานเขียนที่ Rabbit Finance จนย้ายมาที่ Rabbit Care และ Asia Direct