Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ในการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งาน และเพื่อเก็บข้อมูลสถิติ ท่านสามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่ นโยบายคุกกี้

🎵 โค้งสุดท้าย!! แจกฟรีหูฟัง Apple Airpods Gen 3 และ Rabbit Voucher มูลค่ารวม 12,790 บาท แค่สมัครบัตรฯ UOB ผ่าน Rabbit Care คลิก! 💳

รถมีกลิ่นไหม้ จอดรถแล้วมีกลิ่นไหม้ หรือรถมีกลิ่นเหม็นไหม้ที่ห้องเครื่อง ต้องทำอย่างไร?

รถมีกลิ่นเหม็นไหม้ที่ห้องเครื่อง แบบนี้จะต้องทำอย่างไร?

อันดับแรกแนะนำว่าให้จอดรถให้ไวที่สุด เนื่องจากว่ากลิ่นไหม้นั้นสามารถเกิดได้จากในหลาย ๆ สาเหตุ ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่ผ้าเบรกมีปัญหา การทำงานของระบบไฟฟ้าภายในรถยนต์เกิดขัดข้อง หรืออาจจะมาจากความผิดปกติของน้ำมันก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นทางที่ดีควรรีบจอดรถและดับเครื่องยนต์ให้เร็วที่สุด แล้วหลังจากนั้นให้นำรถยนต์เข้าไปที่อู่หรือศูนย์บริการที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญนั้นหาสาเหตุและวิธีการแก้ไขที่ถูกต้องและเหมาะสมมากที่สุด และที่สำคัญคือห้ามฝืนใช้งานรถยนต์ต่อไป เพราะว่าอาจจะทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ขับขี่ ผู้โดยสารภายในรถ หรือเพื่อนร่วมทางบนท้องถนนขึ้นมาได้นั่นเอง

สาเหตุที่ทำให้รถมีกลิ่นไหม้ เกิดจากอะไรได้บ้าง?

กลิ่นเหม็นไหม้นั้นสามารถเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ ซึ่งจากในบทความ “รับมือรถมีกลิ่นเหม็นไหม้! สัญญาณอันตรายรถ(ใกล้)พัง” ในเว็บไซต์ directasia ได้พูดถึงสาเหตุที่ทำให้รถมีกลิ่นไหม้ไว้ ดังนี้

  • อาจจะเกิดจากการที่คอมเพรสเซอร์แอร์ร้อนจัด หรือเกิดปัญหาที่ฟิวส์ไฟฟ้า
  • อาจจะเกิดจากระบบไฟฟ้าภายในรถ เช่น ไฟฟ้าลัดวงจร สายไฟในรถไหม้ สายพานขับหลุด หรือท่อทางเดินต่าง ๆ หลุดออกจากข้อต่อ และเกิดการเสียดสีกับชิ้นส่วนอื่น ๆ ขึ้นมา
  • อาจจะเกิดจากเครื่องยนต์ที่มีปัญหาความร้อนจนลูกสูบไหม้ แล้วส่งกลิ่นไหม้ออกมา
  • อาจจะเกิดจากการที่ผ้าเบรกรถยนต์มีการสึกหรอหรือเสื่อมสภาพ
  • อาจจะเกิดจากสายพาน ท่อยาง หรือเข็มขัดใต้กระโปรงรถยนต์ไหม้
  • อาจจะเกิดจากการที่ท่อไอเสียเกิดรั่วหรือแตกขึ้นมา จนทำให้ความร้อนของไอเสียเข้าไปโดนสายไฟของรถจนเกิดการไหม้ในที่สุด

จอดรถแล้วมีกลิ่นไหม้เกิดจากอะไร?

กลิ่นเหม็นไหม้นั้นมักจะมาจากหลากหลายสาเหตุที่แตกต่างกันไป เช่น

  • รถมีกลิ่นเหม็นไหม้ที่ห้องเครื่อง ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากอุปกรณ์ภายในห้องเครื่องเกิดจากการชำรุด ฉีกขาด หลวม หรืออาจจะมาจากการที่หม้อน้ำแห้ง จนเครื่องยนต์ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ เป็นต้น
  • รถมีกลิ่นไหม้น้ำมันเครื่อง โดยเหตุการณ์นี้มักจะพบได้หลังจากที่มีการสตาร์ตรถติดใหม่ ๆ เพราะจะเกิดการเผาไหม้ที่ยังไม่สมบูรณ์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วก็อาจจะเป็นสิ่งที่ปกติ เพราะถ้าหากว่าเราขับรถไปได้สักพักแล้วได้กลิ่นไหม้น้ำมันเครื่องแบบนี้ขึ้นมา ก็อาจจะมีสาเหตุมาจากการที่น้ำมันเครื่องแห้ง ฝาถังน้ำมันเครื่องหลวม หรือน้ำมันเครื่องรั่วก็ได้เช่นเดียวกัน
  • รถมีกลิ่นไหม้น้ำมันเบรก ซึ่งอาจจะเกิดจากการเสียดสีของตัวเบรกที่สะสมความร้อนเอาไว้เยอะจนเกินไป และในบางครั้งก็อาจจะมีเสียงเบรกที่ดังมากกว่าปกติร่วมด้วย
  • รถมีกลิ่นไหม้ที่ระบบไฟฟ้าขัดข้อง หากในกรณีที่รถมีกลิ่นเหม็นไหม้คล้ายกับไฟฟ้าลัดวงจร ก็อาจจะทำให้ไฟฟ้ามีปัญหาจากการใช้งานเกิดขึ้นได้ ซึ่งจะพบได้มากในรถยนต์ที่ผ่านการดัดแปลงระบบไฟฟ้ามาแล้วแบบไม่ชำนาญ หรือว่ามีการเดินระบบสายไฟที่ไม่ดีหรือไม่ได้มาตรฐานนั่นเอง

แนวทางในการป้องกันการเกิดกลิ่นไหม้ในรถ มีอะไรบ้าง?

  • ควรหลีกเลี่ยงการเหยียบเบรกแบบกะทันหัน เนื่องจากจะเสี่ยงต่อการเสียดสีของอุปกรณ์ในระบบเบรกอยู่มาก โดยเฉพาะการขับขี่ขึ้นเขาลาดชันหรือการขับขี่ที่มีระยะไกลอย่างต่อเนื่อง เพราะว่าจะต้องใช้เบรกมากกว่าการขับขี่แบบธรรมดาเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงควรแตะเบรกเป็นระยะและไม่เหยียบเบรกแบบกะทันหันมากจนเกินไป รวมไปถึงควรจะจอดแวะพักรถอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้เครื่องยนต์นั้นมีการทำงานที่หนักจนเกินไป
  • ควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในรถยนต์ เนื่องจากรถยนต์ในปัจจุบันจะเป็นระบบเกียร์อัตโนมัติกันส่วนใหญ่ ดังนั้นเมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกสบายที่มากกว่ารถยนต์เกียร์ธรรมดา ก็มักจะต้องมีการดูแลรักษาที่มากกว่าเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาด การเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ หรือการบำรุงรักษาชิ้นส่วนหรืออะไหล่ของรถยนต์ เพราะว่าอาจจะทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ขึ้นมาได้ เช่น เกียร์มีเสียงดัง เกียร์กระตุก หรือรถมีกลิ่นเหม็นไหม้ที่ห้องเครื่องขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นเราจึงควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะเวลาที่กำหนดอย่างน้อยปีละครั้ง หรือทุก ๆ 20,000 - 30,000 กิโลเมตร
  • ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคู่มือรถยนต์ เนื่องจากว่าจะสามารถช่วยรักษาสมรรถนะของเครื่องยนต์ได้เป็นอย่างดี อาจจะเปลี่ยนทุก ๆ 8,000 - 10,000 กิโลเมตร ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งแนวทางในป้องกันปัญหารถมีกลิ่นเหม็นไหม้ที่ห้องเครื่องได้ และการใช้น้ำมันเครื่องที่เสื่อมสภาพนั้นก็จะยิ่งทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักมากขึ้นอีกด้วย

ส่วนของระบบเครื่องยนต์มีอะไรบ้าง?

สำหรับส่วนที่เป็นตัวสร้างพลังงานให้กับรถยนต์หรือระบบของเครื่องยนต์นั้นจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้รถยนต์สามารถขับเคลื่อนไปได้ และทุกระบบการขับเคลื่อนของรถยนต์นั้นสามารถเกิดเหตุขัดข้องจนทำให้รถกลิ่นไหม้ได้ทั้งสิ้น โดยจะสามารถแบ่งรถยนต์ตามกำลังขับเคลื่อนได้ดังนี้

  • รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล
  • รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน
  • รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ไฮบริด (Hybrid vehicle)
  • รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ฟูเอลไฮบริด (Fuel cell hybrid vehicle)
  • รถยนต์ที่ใช้เครื่องจากพลังงานไฟฟ้า (EV)

องค์ประกอบของระบบไฟฟ้าในรถยนต์มีอะไรบ้าง?

จากสาเหตุส่วนใหญ่ของการเกิดปัญหารถมีกลิ่นไหม้นั้น เราจะพบว่าเกิดจากระบบไฟฟ้าในรถยนต์เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นเราจึงควรระมัดระวังและทำความรู้จักกับวงจรไฟฟ้าเบื้องต้น ดังนี้

  • ฟิวส์ เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่มีหน้าที่สำคัญมาก คือจะช่วยป้องกันการเกิดไฟฟ้าลัดวงจรในระบบไฟฟ้าของรถยนต์
  • สายไฟ เป็นอุปกรณ์นำพากระแสไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ภายในห้องเครื่องรถยนต์
  • แบตเตอรี่ เป็นอุปกรณ์เก็บพลังงานไฟฟ้า
  • รีเลย์ เป็นสวิตช์ควบคุมการจ่ายไฟ ซึ่งจะทำหน้าที่คอยเปิดปิดวงจรไฟฟ้า
  • ไดชาร์จ เป็นอุปกรณ์แปลงพลังงานกลจากเครื่องยนต์ เพื่อไปเป็นพลังงานไฟฟ้า และทำหน้าที่จ่ายไฟให้กับแบตเตอรี่รวมไปถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ภายในรถยนต์อีกด้วย

จอดรถแล้วมีกลิ่นไหม้ แต่ยังขับต่อไปจนเกิดอุบัติเหตุ แบบนี้ทางบริษัทประกันภัยจะรับเคลมไหม?

สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นจะสามารถยื่นเคลมได้เฉพาะในกรณีที่เป็นความเสียหายจากการเกิดอุบัติเหตุหรือภัยธรรมชาติเท่านั้น แต่ถ้าหากว่าความเสียหายนั้นเกิดขึ้นมาจากการเสื่อมสภาพของการใช้งาน ทางบริษัทประกันภัยก็จะไม่สามารถรับเคลมให้ได้ แต่ก็จะมีอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการอยากจะได้รับความคุ้มครองในส่วนของอะไหล่รถยนต์โดยเฉพาะ คือการทำประกันอะไหล่รถยนต์ควบคู่กันไปกับการทำประกันภัยรถยนต์ เพราะถ้าหากเกิดความเสียหายกับอะไหล่รถยนต์ขึ้นมา เราก็สามารถที่จะแจ้งเคลมได้เลย อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ได้อีกด้วย

ความคุ้มครองประกันรถยนต์

ความคุ้มครองรถผู้ทำประกัน
ประเภทประกันภัย
ชั้น 1
ชั้น 2+
ชั้น 2
ชั้น 3+
ชั้น 3
ชนแบบมีคู่กรณีชนแบบมีคู่กรณี
x
x
ชนแบบไม่มีคู่กรณีชนแบบไม่มีคู่กรณี
x
x
x
x
ไฟไหม้ไฟไหม้
x
x
รถหายรถหาย
x
x
ภัยธรรมชาติภัยธรรมชาติ
x
x
ช่วยเหลือ 24 ชม. ช่วยเหลือ 24 ชม.
x
x
x
ซื้อประกันรถยนต์   
คลิก
คลิก
คลิก
คลิก
คลิก
ความคุ้มครองอื่นๆ ครอบคลุมทุกชั้นประกัน
คุ้มครองคู่กรณี และทรัพย์สินคู่กรณี
อุบัติเหตุ ค่ารักษาพยาบาลบุคคลที่สาม
คุ้มครองชิวิตบุคคลที่สาม
คุ้มครองชีวิตผู้ขับขี่
ค่ารักษาพยาบาลตัวผู้ขับขี่
การประกันตัวผู้ขับขี่

คำถามและข้อสงสัยที่พบบ่อย

ควรเลือกทำประกันภัยชั้นไหนให้กับรถยนต์ดี?

เพราะว่าเรื่องของอุบัติเหตุนั้นเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และเราก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ดังนั้นการทำประกันภัยเอาไว้ก็เป็นเรื่องที่มีประโยชน์ เพราะคุณจะได้รับความคุ้มครองตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเงินชดเชยจากความเสียหายในด้านทรัพย์สิน ค่าซ่อมรถยนต์ หรือค่ารักษาพยาบาลต่าง ๆ ดังนั้นประกันภัยรถยนต์จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องซื้อไว้และหมั่นต่อประกันไว้ไม่ให้ขาด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็จะมีประกันภัยอยู่หลากหลายชั้นให้คุณได้เลือกทำ แต่สำหรับแผนประกันภัยที่จะให้ความคุ้มครองแบบสูงสุดนั้นก็ต้องยกให้ ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 หรือถ้าหากใครที่ยังลังเลก็สามารถขอคำปรึกษาได้ที่ Care Center เบอร์ 1438 ที่พร้อมจะให้คำแนะนำตลอด 24 ชั่วโมง

ซื้อประกันภัยรถยนต์ผ่านแรบบิท แคร์ จะได้รับสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง?

ในกรณีที่รถยนต์ของลูกค้าได้รับความเสียหายจากการเกิดอุบัติเหตุ จึงทำให้ไม่มีรถยนต์ที่จะสามารถเอาไว้ใช้งานต่อไปได้ ทางแรบบิท แคร์ จึงมีบริการรถยนต์ทดแทนให้ใช้ฟรีเป็นระยะเวลา 3 วัน โดยจะเป็นรถยนต์คุณภาพดีจากบริษัทให้เช่ารถยนต์ชั้นนำของประเทศไทยที่มีอายุไม่เกิน 3 ปี เพราะแรบบิท แคร์ เห็นถึงความสะดวกสบายของลูกค้าเป็นอันดับต้น ๆ เพราะฉะนั้นจึงมั่นใจได้เลยว่าลูกค้าจะได้ใช้งานรถยนต์ที่มีคุณภาพดี สามารถคลิกดูรายละเอียดเพิ่มได้ที่เว็บไซต์ แรบบิท แคร์

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา