Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ

ใบเคลมประกันคืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรกับรถยนต์?

ใบเคลมประกันคืออะไร?

จากเว็บไซต์ของวิริยะประกันภัย ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความหมายของ “ใบเคลมประกัน” ไว้ว่า เป็นใบรับรองความเสียหายจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น และถือว่าเป็นเอกสารสำคัญที่ทางบริษัทประกันภัยนั้นจะออกให้ในกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา เพื่อที่จะนำมาใช้เป็นหลักฐานสำคัญเวลาที่เราจะนำรถเข้าไปซ่อมที่ศูนย์บริการซ่อมรถหรืออู่ซ่อมรถ ว่าทางบริษัทประกันภัยจะเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นตามข้อมูลที่ระบุไว้อยู่ในใบเคลมประกัน แต่จะยกเว้นในกรณีค่าเสื่อมสภาพของอะไหล่ด้วย โดยในใบเคลมประกันนี้จะมีระบุข้อมูลเกี่ยวกับร่องรอยความเสียหายของรถยนต์ที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุไว้ด้วย และถ้าหากว่าเรายังไม่สะดวกที่จะนำรถไปซ่อมที่ศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถ ก็สามารถที่จะเก็บใบเคลมประกันรถยนต์นี้เอาไว้เพื่อซ่อมในภายหลังได้ แต่ก็จะแนะนำว่าให้รีบส่งรถเข้าไปซ่อมภายใน 15 วัน หลังจากที่ได้รับใบเคลมประกันรถยนต์จากบริษัทประกันภัยมาแล้ว

ใบเคลมประกันมีความสำคัญอย่างไร?

ใบเคลมประกันถือว่าเป็นเอกสารสำคัญที่จะใช้ในการนำรถเข้าไปซ่อมที่ศูนย์บริการซ่อมรถหรืออู่ซ่อมรถ และสำหรับในเรื่องของความคุ้มครองนั้น ถ้าหากว่าเป็นประกันภัยชั้น 1 ชั้น 2+ หรือ 3+ ทางผู้เอาประกันจะสามารถรับใบเคลมประกันได้เลย โดยที่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิดก็ตาม แต่ถ้าหากว่าเป็นประกันภัยชั้น 2 และชั้น 3 ทางผู้เอาประกันภัยนั้นจะสามารถรับใบเคลมประกันได้ก็ต่อเมื่อเป็นฝ่ายถูกเท่านั้น ซึ่งใบเคลมประกันนี้จะได้รับจากบริษัทประกันภัยของคู่กรณีที่เป็นฝ่ายผิดนั่นเอง

ใบเคลมประกัน มีอายุกี่ปี?

โดยปกติตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว ใบเคลมประกันที่บริษัทประกันภัยออกมาให้นั้นจะมีอายุความ 2 ปี ซึ่งจะนับตั้งแต่วันที่บริษัทประกันภัยออกเอกสารมาให้ นั่นก็แปลว่าใบเคลมประกัน หมดอายุภายใน 2 ปีนั่นเอง แต่ถ้าหากว่าเป็นกรณีที่เรานั้นเป็นฝ่ายถูก เราก็จะสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นค่าซ่อมแซมรถ หรือค่าขาดผลประโยชน์จากทางบริษัทประกันภัยของคู่กรณี หรือว่าจะเรียกร้องโดยตรงจากคู่กรณีเลยก็สามารถทำได้ โดยเรานั้นจะต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุด้วย

ทำใบเคลมประกันหาย ต้องทำอย่างไร?

  1. อันดับแรกให้เราไปดำเนินเรื่องแจ้งความเอกสารสำคัญหายที่สถานีตำรวจ เพื่อทำการลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน และระบุรายละเอียดให้ได้มากที่สุด เช่น เลขทะเบียนรถ ยี่ห้อรถ รุ่นรถยนต์ หรือรายละเอียดอื่น ๆ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการยื่นขอสำเนาใบเคลมกับทางบริษัทประกันภัยในขั้นต่อไป
  2. เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องให้เรียบร้อย ได้แก่ สำเนาบัตรประชาชน สำเนากรมธรรม์ประกันภัย สำเนาทะเบียนรถ และใบรับรองการเคลมประกันรถยนต์ที่หายไป
  3. หลังจากนั้นให้เราทำการติดต่อกับทางบริษัทประกันภัยก่อน เพื่อแจ้งรายละเอียดต่าง ๆ และทำเรื่องขอหมายเลขเคลมใหม่อีกครั้ง
  4. รอให้เจ้าหน้าที่ของบริษัทประกันภัยมาประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยจะตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ และจะแจ้งค่าเสียหายที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องทำการชำระก่อนเคลม
  5. สุดท้ายให้เรานำใบเคลมที่ได้มานั้นไปยื่นที่ศูนย์บริการซ่อมรถหรืออู่ซ่อมรถเพื่อทำเรื่องแจ้งซ่อมต่อไป

ใบเคลมประกันรถยนต์มีกี่ประเภท?

สำหรับใบเคลมประกันรถยนต์นั้นจะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้

  • ใบเคลมสด เป็นใบเคลมประกันรถยนต์ที่จะออกให้โดยเจ้าหน้าที่ของบริษัทประกันภัยทันที หลังจากที่มีการเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา โดยทางเจ้าหน้าที่ของบริษัทประกันภัยจะทำการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของเรา และจะออกใบเคลมประกันรถยนต์ให้เพื่อใช้ในการเคลมรถได้เลยทันที
  • ใบเคลมแห้ง เป็นใบเคลมประกันรถยนต์ที่จะออกให้โดยบริษัทประกันภัย หลังจากที่มีการเกิดอุบัติเหตุผ่านไปแล้ว โดยที่ทางผู้เอาประกันภัยนั้นจะต้องนำรถเข้าไปซ่อมแซมที่ศูนย์บริการซ่อมรถหรืออู่ซ่อมรถก่อน แล้วหลังจากนั้นจึงค่อยนำใบเสร็จรับเงินมาแจ้งเคลมกับทางบริษัทประกันภัย ซึ่งทางบริษัทประกันภัยจะมีการออกใบเคลมประกันให้หลังจากที่มีการประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ไปเรียบร้อยแล้ว

ในกรณีใดบ้างที่บริษัทประกันภัยจะไม่รับเคลม?

  • เมื่อใช้รถยนต์ในทางที่ผิดกฎหมาย เช่น ขนส่งยาเสพติด เป็นต้น
  • เมื่อใช้รถยนต์ผิดประเภท เช่น นำรถไปใช้งานแบบลากจูง หรือนำรถไปตกแต่งเป็นรถซิ่งเพื่อนำไปแข่ง เป็นต้น
  • เมื่อผู้ขับขี่เมาแล้วขับ หรือมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ในเลือดมากกว่า 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
  • เมื่อนำรถยนต์ไปใช้นอกเหนืออาณาเขตที่คุ้มครอง หรือการขับรถออกไปยังนอกประเทศนั่นเอง
  • เมื่อเกิดอุบัติเหตุและได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์สงคราม อาวุธปรมาณู การปฏิวัติต่อต้าน หรือกัมมันตภาพรังสี เป็นต้น

วิธีการเคลมรถยนต์มีขั้นตอนอะไรบ้าง?

“การเคลมรถ” จะเป็นการนำรถยนต์คันที่ทำประกันไว้ไปเข้าศูนย์บริการซ่อมหรืออู่ซ่อม โดยที่ทางบริษัทประกันภัยจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมตามที่ระบุไว้ในใบเคลมประกัน ซึ่งวิธีการเคลมนั้นจะสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่

  • การเคลมแบบสด จะเป็นการเคลม ณ จุดเกิดเหตุ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ของบริษัทประกันภัยลงพื้นที่ไปตรวจสอบทันที ซึ่งจะสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กรณี ดังนี้
    - 1.1 แบบมีคู่กรณี หรือในกรณีที่รถชนรถด้วยกันเอง ทางพนักงานจากบริษัทประกันจะทำการ พิจารณาว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิด โดยที่ทางฝ่ายผิดนั้นจะต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible) ให้กับทางฝั่งคู่กรณีก่อน ตามที่ตกลงกันไว้กับทางบริษัทประกันภัย
    - 1.2 แบบไม่มีคู่กรณี หรือเป็นกรณีที่รถชนกับสิ่งของหรือวัตถุจนเกิดความเสียหายขึ้นมาเป็น อย่างมาก โดยทางฝั่งของผู้ทำประกันภัยนั้นจะต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก (Excess) ให้ก่อนเสมอ
  • การเคลมแบบแห้ง จะเป็นการเคลมหลังจากที่ได้มีการเกิดอุบัติเหตุไประยะหนึ่งแล้ว และมักจะเกิดจากอุบัติเหตุที่ได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยที่ทางผู้ถือประกันจะต้องเป็นฝ่ายบันทึกเหตุการณ์ให้ชัดเจนและบันทึกรายละเอียดให้ครบถ้วนมากที่สุด แล้วจึงนำเรื่องไปแจ้งเคลมกับทางบริษัทประกันภัยด้วยตัวเอง โดยจะต้องเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องให้พร้อมด้วย เช่น บัตรประจำตัวประชาชน ใบเคลมประกันรถที่ทางบริษัทออกให้ ใบขับขี่ เล่มทะเบียนรถ สำเนากรมธรรม์ประกันภัย และรูปถ่ายหลักฐาน ณ จุดเกิดเหตุ เป็นต้น

ค่า Deductible กับค่า Excess แตกต่างกันอย่างไร?

ค่า Excess กับค่า Deductible เป็นค่าเสียหายส่วนแรก โดยค่า Excess จะบังคับให้จ่าย 1,000 - 4,000 บาทเมื่อมีการแจ้งเคลมแบบไม่มีคู่กรณี ส่วนค่า Deductible จะเป็นค่าเสียหายแบบสมัครใจจ่าย ซึ่งจะจ่ายเมื่อมีการแจ้งเคลมแบบมีคู่กรณี หรือเมื่อคุณเป็นฝ่ายผิดเท่านั้น และการจ่ายค่า Deductible ก็มักจะได้รับส่วนลดเบี้ยประกันด้วย

ความคุ้มครองประกันรถยนต์

ความคุ้มครองรถผู้ทำประกัน
ประเภทประกันภัย
ชั้น 1
ชั้น 2+
ชั้น 2
ชั้น 3+
ชั้น 3
ชนแบบมีคู่กรณีชนแบบมีคู่กรณี
x
x
ชนแบบไม่มีคู่กรณีชนแบบไม่มีคู่กรณี
x
x
x
x
ไฟไหม้ไฟไหม้
x
x
รถหายรถหาย
x
x
ภัยธรรมชาติภัยธรรมชาติ
x
x
ช่วยเหลือ 24 ชม. ช่วยเหลือ 24 ชม.
x
x
x
ซื้อประกันรถยนต์   
คลิก
คลิก
คลิก
คลิก
คลิก
ความคุ้มครองอื่นๆ ครอบคลุมทุกชั้นประกัน
คุ้มครองคู่กรณี และทรัพย์สินคู่กรณี
อุบัติเหตุ ค่ารักษาพยาบาลบุคคลที่สาม
คุ้มครองชิวิตบุคคลที่สาม
คุ้มครองชีวิตผู้ขับขี่
ค่ารักษาพยาบาลตัวผู้ขับขี่
การประกันตัวผู้ขับขี่

คำถามและข้อสงสัยที่พบบ่อย

ควรเลือกทำประกันภัยรถยนต์ชั้นไหนดี เพื่อรับความคุ้มครองเพิ่มเติม?

สำหรับรถยนต์ที่เป็นมือหนึ่ง หรือแม้แต่มือใหม่หัดขับแบบนี้ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ควรจะเลือกทำ ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เพราะนอกจากจะให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมแบบสูงสุดแล้ว ก็ยังคุ้มค่ามากที่สุดอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับทรัพย์สิน จากภัยพิบัติธรรมชาติ จากการชน หรือแม้แต่กระทั่งชีวิตของคู่กรณีถ้าหากเรานั้นเป็นฝ่ายผิด ดังนั้นเพื่อความสบายใจมากที่สุดและเพื่อที่ตัวเราเองจะได้ไม่ต้องมานั่งกังวล การทำประกันภัยชั้น 1 จึงสำคัญมาก เพราะเพียงแค่เรามีความสม่ำเสมอในการต่อประกันไม่ให้ขาด เพียงเท่านี้เราก็อุ่นใจได้เลยในทุกการขับขี่

ซื้อประกันรถยนต์ผ่านแรบบิท แคร์ จะได้สิทธิประโยชน์อะไรบ้าง?

นอกจากจะมีบริการหลังการขายที่พร้อมจะดูแลทุกท่านให้ได้รับบริการสุด Exclusive ตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว ทางแรบบิท แคร์ ก็ยังมีแผนและระบบเช็กเบี้ยประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ให้ท่านได้เลือกสรรมากมาย เพื่อให้เหมาะสมกับรถยนต์ของคุณ และพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างคุณให้ได้รับความสะดวกสบายมากที่สุด อีกทั้งยังมีบริการสุดพิเศษให้คุณอีกมากมาย สามารถคลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ แรบบิท แคร์ หรือโทรขอคำปรึกษาได้ที่ Care Center เบอร์ 1438 แรบบิท แคร์ เพราะเราแคร์คุณยิ่งกว่าใคร ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา