ค่าสินไหมทดแทนคืออะไร? ต้องจ่ายในกรณีไหนบ้าง?
ค่าสินไหมทดแทน หนึ่งในคำศักพท์สำหรับผู้ที่มีใขับขี่ควรรู้ ว่าแต่ค่าสินไหมทดแทนคืออะไร? หากอยากเบิกเคลมจะต้องทำเรื่องอย่างไรบ้าง? และในกรณีที่คู่กรณีไม่จ่าย เราจะเรียกร้องได้อย่างไร วันนี้ แรบบิท แคร์ มีคำตอบมาให้ ไปดูกันเลยดีกว่า!
รู้จักกันให้มากขึ้น ค่าสินไหมทดแทน คือ อะไรกันนะ?
ค่าสินไหมทดแทน คือ การชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากการทำให้ผู้ถูกกระทำเกิดความเสียหายขึ้น ซึ่งสามารถคำนวณเป็นเงิน รวมไปถึงความเสียหายที่ไม่สามารถคำนวณเป็นเงิน หรือทำให้เสียสิทธิ์ก็สามารถเรียกค่าสินไหมทดแทน รถชน ได้ทั้งสิ้น เบื้องต้นสามารถเรียกร้องกับได้ มีอยู่ 9 ข้อ คือ
- ค่าปลงศพ
- ค่ารักษาพยาบาล
- ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ก่อนตาย
- ค่าขาดไร้อุปการะ
- ค่าชดใช้การขาดการขาดงานของบุคคลภายนอก
- ค่าใช้จ่ายอันจำเป็นกรณีเสียชีวิต เช่น ค่าพิมพ์หนังสืองานศพ, ค่าส่งศพกลับภูมิลำเนา เป็นต้น
- ค่าใช้จ่ายในอันตนต้องเสียไป (กรณีความเสียหายต่อร่างกายหรืออนามัย) เช่น ค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายเกี่ยวเนื่องกับค่ารักษาพยาบาล รวมถึงค่าพยาบาลในอนาคตอีกด้วย
- ค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบการงาน ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
- ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นที่มิใช่ตัวเงิน
สำหรับค่าสินไหมทดแทน คือ สามารถเรียกร้องได้จากประกันภาคบังคับ (พ.ร.บ.รถยนต์) และประกันภาคสมัครใจที่เจ้าของรถได้ทำเอาไว้ ในกรณีที่ไม่ได้ทำประกันภาคสมัครใจไว้ จะสามารถเบิกเคลมค่าสินไหมทดแทนได้จากแค่ พ.ร.บ. รถยนต์ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แล้วแบบนี้ประกันรถภาคสมัครใจสามารถเบิกเคลมค่าสินไหมทดแทน รถชน ได้มากน้อยแค่ไหน?
สำหรับการเบิกเคลมค่าสินไหมทดแทน รถชน กับทางประกันรถภาคสมัครใจนั้น เบื้องต้นจะสามารถเบิกเคลมเพิ่มเติม นอกเหนือจากการเบิก พ.ร.บ.รถยนต์ ได้ ดังนี้
- ค่ารักษาพยาบาล ในส่วนที่เกินจากวงเงินของ พ.ร.บ. รถยนต์ จะสามารถมาเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
- ค่าทนทุกข์ทรมานจากอาการบาดเจ็บ จะสามารถมาเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
- ค่าชดเชยจากสินทรัพย์ที่เสียหรือสูญหายเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน จะสามารถมาเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
- ค่าชดเชยความเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นขณะรักษาตัว เช่น ค่าขาดโอกาสในการเดินทางหรือการทำงาน, ค่าขาดไร้อุปการะ, ค่าชดเชยรายได้, ค่าขาดประโยชน์ระหว่างซ่อม จะสามารถมาเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
- ค่าประกันตัวผู้ขับขี่ในกรณีที่ถูกควบคุมตัวจากความผิด
- ค่าซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดกับรถยนต์คันที่เอาประกัน ไม่ว่าจะมีคู่กรณีหรือไม่ก็ตาม
ในส่วนของรายละเอียดเพิ่มเติมและวงเงินคุ้มครองนั้น สามารถเช็กได้กับกรมธรรม์ประกันรถที่ได้ทำเอาไว้ ทั้งความคุ้มครอง และวงเงินที่สามารถเคลมได้ ซึ่งค่าชดเชยดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับจำนวนเบี้ยประกันที่ผู้ทำเลือกจ่ายไปด้วย
ตัวอย่าง คุณแคร์เลือกทำประกันรถชั้น 1 ด้วยทุนประกัน 650,000 บาท หากคุณแคร์เกิดอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชน หลังจากดำเนินการเบิกเคลมค่าสินไหมทดแทน จาก พ.รบ. รถยนต์ไปแล้ว เหลือส่วนเกินค่ารักษาพยาบาลอีก 4,000 บาท ก็สามารถเบิกได้จากประกันรถชั้น 1 ที่ทำเอาไว้ได้
ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง? หากต้องการเบิกเคลมค่าสินไหมทดแทน
สำหรับเอกสารที่จำเป็นและสำคัญในการเบิกเคลมค่าชดเชย ค่าสินไหมทดแทน รถชน อาจจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความเสียหายที่ต้องการเบิกและบริษัทประกัน แต่หลัก ๆ จะใช้เอกสาร ดังนี้
- แบบฟอร์มการเรียกร้องสินไหมทดแทนของบริษัทฯที่ทำประกันเอาไว้
- ใบเสร็จรับเงินฉบับจริง และสำเนา ไม่ว่าจะเป็นจากสถานพยาบาล หรืออู่ซ่อมรถ แจ้งรายการค่าใช้จ่ายอย่างละเอียดและมีลายเซ็นรับรอง
- สำเนาบันทึกประจำวันของตำรวจ (กรณีอุบัติเหตุ) ซึ่งต้องมีการรับรองสำเนาจากตำรวจ
- ใบรับรองแพทย์ที่ระบุวันที่นอนโรงพยาบาล อาการ บริเวณที่บาดเจ็บ และสาเหตุ (ในกรณีที่เจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ)
- บัตรประชาชนของผู้เอาประกันภัยและผู้รับผลประโยชน์พร้อมสำเนา
- ทะเบียนบ้านต้นฉบับของผู้เอาประกันภัย และผู้รับผลประโยชน์
- สำเนาทะเบียนรถ (กรณีอุบัติเหตุ)
- สำเนาหน้าสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร
- เอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สำเนารายงานการชันสูตรพลิกศพ (ในกรณีที่เสียชีวิต), ภาพถ่ายอุบัติเหตุ, สำเนาสูติบัตร, สำเนาหลักฐานการเปลี่ยนชื่อนามสกุล (ในกรณีที่ผู้ทำประกันมีการเปลีย่นชื่อ-สกุล) เป็นต้น
สรุปแล้ว ค่าสินไหมทดแทนต่าง ๆ ที่จะได้รับเมื่อเกิดอุบัติเหตุนั้นมาจากหลายส่วน แรกสุด แรบบิท แคร์ จะสามารถเบิกค่าสินไหมทดแทนเต่าง ๆ จาก พ.ร.บ. รถยนต์เป็นอันดับแรก จากนั้นจึงค่อยเบิกส่วนต่างที่เหลือจากประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจต่าง ๆ ที่ได้ทำเอาไว้ เช่น ประกันรถยนต์ชั้น 1 , ประกันรถชั้น 2+ , ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2 เป็นต้น
ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถคืออะไร?
ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คือ เงินค่าชดเชยที่บริษัทประกันฯของฝ่ายที่ผิด จะต้องชดใช้ให้แก่ผู้เสียหายที่เป็นฝ่ายถูกจากการเสียประโยชน์ที่ไม่มีรถใช้ในระหว่างการซ่อม ซึ่งเป็นสิทธิ์ของผู้ที่เป็นฝ่ายถูกต้องเป็นคนเรียกร้องสิทธิ์ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถกับบริษัทประกันฯ ของผู้ที่เป็นฝ่ายผิดด้วยตัวเอง และฝ่ายที่ผิดต้องมีการทำประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ และมีคู่กรณีที่เป็นยานพาหนะทางบก (รถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซค์) จึงจะเรียกร้องค่าชดเชยในส่วนนี้ได้ ส่วนฝ่ายถูกจะต้องมีใบขับขี่อย่างถูกต้องและทำประกันรถยนต์ไว้ด้วย จึงจะสามารถเริ่มกระบวนการได้
สำหรับความแตกต่างของค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถและค่าสินไหมทดแทน รถชน แตกต่างตรงที่ ค่าสินไหมทดแทนเบิกเคลมได้ทั้ง พ.ร.บ.รถยนต์ และประกันรถภาคสมัครใจ และสามารถเบิกเคลมได้แม้ผู้ทำประกันเป็นฝ่ายผิด แต่ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจะเรียกร้องได้ ในกรณีที่ผู้เรียกร้องเป็นฝ่ายถูก และฝั่งผิดต้องมีประกันรถภาคสมัครใจเท่านั้น
ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ มีอัตราขั้นต่ำของการเรียกค่าชดใช้ ตามประกาศ คปภ. ประจำปี 2565 เพื่อไม่ให้บริษัทประกันภัยเจรจาจ่ายในจำนวนที่ต่ำเกินไป ดังนี้
- รถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง กำหนดอัตราไม่น้อยกว่าวันละ 500 บาท
- รถยนต์รับจ้างสาธารณะขนาดไม่เกิน 7 ที่นั่ง กำหนดอัตราไม่น้อยกว่าวันละ 700 บาท
- รถยนต์ขนาดเกินกว่า 7 ที่นั่ง กำหนดอัตราไม่น้อยกว่าวันละ 1,000 บาท
- รถประเภทอื่น ๆ เช่น รถจักรยานยนต์ ให้เป็นไปตามข้อเรียกร้องและตกลงกันได้ โดยพิจารณาหลักฐานเป็นกรณีไป
หากต้องการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจะต้องทำอย่างไรบ้าง?
สำหรับขั้นตอนในการเบิกเคลมสามารถทำได้ ดังนี้
เตรียมเอกสารที่สำคัญในการเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ไม่ว่าจะเป็น ใบเสนอรายการความเสียหายของรถยนต์, ใบเคลม (ใบรองรับความเสียหายต่อทรัพย์สิน), สำเนาตารางกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์, สำเนาทะเบียนรถยนต์, สำเนาใบขับขี่รถยนต์, สำเนาบัตรประชาชน, ใบรับรถ หรือหนังสือส่งมอบรถเสร็จ, รูปถ่ายตอนซ่อม, รูปถ่ายความเสียหาย, หนังสือเรียกร้องสินไหมค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อม และสำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคารของผู้เอาประกัน
ติดต่อบริษัทประกันภัยของคู่กรณี (ฝ่ายผิด) จากนั้นให้ยืนยันคำเรียกร้อง ในช่วงเวลาที่รถของคุณกำลังซ่อมอยู่ เมื่อบริษัทของคู่กรณีแจ้งเอกสารที่ต้องการมา ให้คุณนำเอกสารต่าง ๆ จัดส่งไปยังบริษัทของคู่กรณีเพื่อดำเนินการต่อ
รอบริษัทคู่กรณีติดต่อกลับมา เนื่องจากต้องเช็กข้อมูลเพื่อพิจารณาว่าต้องชดเชยให้กับคุณเท่าไร ทำการประเมิน และเจรจาต่อรอง หลังจากตกลงกันเสร็จเรียบร้อย ก็รอรับค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ภายใน 7 วัน
ถ้าคู่กรณีไม่รับผิดชอบ อยากเรียกร้องค่าสินไหม ต้องทำอย่างไร?
สำหรับใครที่รถโดนชนแล้วคู่กรณีไม่รับผิดชอบนั้น ไม่ต้องกังวลไป เบื้องต้น เราสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้ขึ้นกับประเภทประกันที่เราทำไว้ ดังนี้
- กรณีทำประกันชั้น 1
ให้โทรแจ้งบริษัทประกันในทันที เพื่อให้บริษัทประกันเข้ามาดำเนินการต่อทางบริษัทประกันก็จะทำเรื่องเคลมค่าสินไหมทดแทน เนื่องจากประกันชั้น 1 จะคุ้มครองครอบคลุมการชนในทุกกรณีอยู่แล้ว
- กรณีทำประกันชั้น 2+ หรือประกันชั้น 3+
สามารถแจ้งบริษัทประกันให้เข้ามาทำหน้าที่ดำเนินการเรียกค่าสินไหมทดแทนหลังรถชนได้ทันทีไม่ต่างจากการทำประกันชั้น 1 เฉพาะกรณีที่คุณเป็นฝ่ายถูกเท่านั้น หากเป็นฝ่ายผิด ก็จะมีค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าเสียหายส่วนแรกอยู่ที่ 2,000 บาทขึ้นไป ซึ่งก็เป็นไปตามเงื่อนไขการจ่ายค่าสินไหมทดแทนของแต่ละบริษัทประกัน
- กรณีที่ทำประกันชั้น 2 หรือประกันชั้น 3
เพราะประกันดั่งกล่าว จะเน้นคุ้มครองความเสียหายที่ตัวบุคคลมากกว่า ทำให้ไม่สามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจากประกัน แต่สามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้จากคู่กรณีหากคุณเป็นฝ่ายถูก
อย่างไรก็ตามเมื่อรถโดนชนแล้วคู่กรณีไม่รับผิดชอบจริง ๆ ไม่ว่าจะยืนยันความถูกต้องของคุณได้จากหลักฐานแล้วก็ตาม กรณีนี้สามารถที่จะดำเนินการตามกฎหมายเพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากรถชนได้ แต่ต้องดำเนินการฟ้องร้องกันทางกฎหมายเท่านั้น ซึ่งสุดท้ายแล้วหากว่ารถของคู่กรณีไม่มีประกัน ทางบริษัทประกันของคุณก็จะช่วยจัดการติดตามเรียกค่าสินไหมทดแทนกับทางคู่กรณีให้ต่อไป
โดยสรุปแล้ว การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนนั้นไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอย่างที่หลายคนกังวล และมีประโยชน์ไม่น้อยในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ดังนั้น การมีประกันรถยนต์ติดรถเอาไว้ จะช่วยให้คุณอุ่นใจได้มากยิ่งขึ้นในทุกการขับขี่บนท้องถนน
สำหรับใครที่ต้องการเลือกซื้อประกันรถยนต์ แต่ไม่รู้จะเลือกซื้อที่ไหน ไม่รู้จะเปรียบเทียบยังไง ต้องทที่นี้เลย แรบบิท แคร์ ที่นี้นอกจากจะมีประกันรถให้เลือกหลากหลายชั้นประกัน หลากหลายบริษัทแล้ว ยังมีบริการเปรียบเทียบเบี้ยประกันรถยนต์ให้คุณได้เลือกได้ตรงกับไลฟ์สไตล์การขับขี่ พร้อมคำแนะนำจากเจ้าหน้าีท่อย่าง แครืเอเจ้นทน์ ดูแลทั้งก่อนและหลังการขายที่ แรบบิท แคร์ คลิกเลย!
ความคุ้มครองประกันรถยนต์
ตารางความคุ้มครอง | ผลประโยชน์ | ||||
ประกันรถยนต์ ชั้น 1 | ประกันรถยนต์ ชั้น 2+ | ประกันรถยนต์ ชั้น 2 | ประกันรถยนต์ ชั้น 3+ | ประกันรถยนต์ ชั้น 3 | |
คู่กรณี | |||||
บุคคล | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ |
ทรัพย์สินของคู่กรณี | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ |
รถของผู้เอาประกันภัย | |||||
การชนแบบมีคู่กรณี | ✔️ | ✔️ | ❌ | ✔️ | ❌ |
การชนแบบไม่มีคู่กรณี | ✔️ | ❌ | ❌ | ❌ | ❌ |
ไฟไหม้ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ❌ | ❌ |
รถหาย | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ❌ | ❌ |
ภัยธรรมชาติ | ✔️ | ✔️ | ❌ | ✔️ | ❌ |
ช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง | ✔️ | ✔️ | ❌ | ❌ | ❌ |
ความคุ้มครองชีวิตจากอุบัติเหตุส่วนบุคคล | |||||
อุบัติเหตุส่วนบุคคล | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ |
การรักษาพยาบาล | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ |
การประกันตัวผู้ขับขี่ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ |
หมายเหตุ
- ความคุ้มครองจากภัยธรรมชาติ สำหรับประกันรถยนต์ชั้น 2+ และ 3+ ขึ้นอยู่กับแพคเกจประกันรถยนต์ของบริษัทนั้น ๆ
- ให้บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง จำกัดเฉพาะรถยนต์ส่วนบุคคล อายุรถไม่เกิน 15 ปี เท่านั้น