Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ในการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งาน และเพื่อเก็บข้อมูลสถิติ ท่านสามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่นโยบายคุกกี้
info

💙 แจก Starbuck Voucher มูลค่า 800 บาทฟรี! เพียงเปิดบัญชี Webull ผ่านช่องทางของ Rabbit Care สนใจ คลิก! 💙

user profile image
เขียนโดยTawan A.วันที่เผยแพร่: May 10, 2022

#ค่าสินไหมทดแทนคืออะไร? ต้องจ่ายในกรณีไหนบ้าง?

ค่าสินไหมทดแทน หนึ่งในคำศักพท์สำหรับผู้ที่มีใขับขี่ควรรู้ ว่าแต่ค่าสินไหมทดแทนคืออะไร? หากอยากเบิกเคลมจะต้องทำเรื่องอย่างไรบ้าง? และในกรณีที่คู่กรณีไม่จ่าย เราจะเรียกร้องได้อย่างไร วันนี้ แรบบิท แคร์ มีคำตอบมาให้ ไปดูกันเลยดีกว่า!

รู้จักกันให้มากขึ้น ค่าสินไหมทดแทน คือ อะไรกันนะ?

ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2542 ค่าสินไหมทดแทน คือ "เงินที่ต้องชดใช้เพื่อทดแทนความเสียหาย ที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินหรือแก่บุคคลอันเนื่องมาจากการละเมิด หรือการ ผิดสัญญา รวมทั้งทรัพย์สินที่ต้องคืนให้แก่ผู้เสียหายด้วย เช่น ค่า สินไหมทดแทนเพื่อละเมิด ค่าสินไหมทดแทนในการไม่ชำระหนี้ให้ต้อง ตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้"

ในแง่ของการประกันภัย ค่าสินไหมทดแทน คือ การชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากการทำให้ผู้ถูกกระทำเกิดความเสียหายขึ้น ซึ่งสามารถคำนวณเป็นเงิน รวมไปถึงความเสียหายที่ไม่สามารถคำนวณเป็นเงิน หรือทำให้เสียสิทธิ์ก็สามารถเรียกค่าสินไหมทดแทน รถชน ได้ทั้งสิ้น เบื้องต้นสามารถเรียกร้องกับได้ มีอยู่ 9 ข้อ คือ

  • ค่าปลงศพ
  • ค่ารักษาพยาบาล
  • ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ก่อนตาย
  • ค่าขาดไร้อุปการะ
  • ค่าชดใช้การขาดการขาดงานของบุคคลภายนอก
  • ค่าใช้จ่ายอันจำเป็นกรณีเสียชีวิต เช่น ค่าพิมพ์หนังสืองานศพ, ค่าส่งศพกลับภูมิลำเนา เป็นต้น
  • ค่าใช้จ่ายในอันตนต้องเสียไป (กรณีความเสียหายต่อร่างกายหรืออนามัย) เช่น ค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายเกี่ยวเนื่องกับค่ารักษาพยาบาล รวมถึงค่าพยาบาลในอนาคตอีกด้วย
  • ค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบการงาน ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
  • ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นที่มิใช่ตัวเงิน

สำหรับค่าสินไหมทดแทน คือ สามารถเรียกร้องได้จากประกันภาคบังคับ (พ.ร.บ.รถยนต์) และประกันภาคสมัครใจที่เจ้าของรถได้ทำเอาไว้ ในกรณีที่ไม่ได้ทำประกันภาคสมัครใจไว้ จะสามารถเบิกเคลมค่าสินไหมทดแทนได้จากแค่ พ.ร.บ. รถยนต์ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

แล้วแบบนี้ประกันรถภาคสมัครใจสามารถเบิกเคลมค่าสินไหมทดแทน รถชน ได้มากน้อยแค่ไหน?

สำหรับการเบิกเคลมค่าสินไหมทดแทน รถชน กับทางประกันรถภาคสมัครใจนั้น เบื้องต้นจะสามารถเบิกเคลมเพิ่มเติม นอกเหนือจากการเบิก พ.ร.บ.รถยนต์ ได้ ดังนี้

  • ค่ารักษาพยาบาล ในส่วนที่เกินจากวงเงินของ พ.ร.บ. รถยนต์ จะสามารถมาเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
  • ค่าทนทุกข์ทรมานจากอาการบาดเจ็บ จะสามารถมาเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
  • ค่าชดเชยจากสินทรัพย์ที่เสียหรือสูญหายเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน จะสามารถมาเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
  • ค่าชดเชยความเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นขณะรักษาตัว เช่น ค่าขาดโอกาสในการเดินทางหรือการทำงาน, ค่าขาดไร้อุปการะ, ค่าชดเชยรายได้, ค่าขาดประโยชน์ระหว่างซ่อม จะสามารถมาเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
  • ค่าประกันตัวผู้ขับขี่ในกรณีที่ถูกควบคุมตัวจากความผิด
  • ค่าซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดกับรถยนต์คันที่เอาประกัน ไม่ว่าจะมีคู่กรณีหรือไม่ก็ตาม

ในส่วนของรายละเอียดเพิ่มเติมและวงเงินคุ้มครองนั้น สามารถเช็กได้กับกรมธรรม์ประกันรถที่ได้ทำเอาไว้ ทั้งความคุ้มครอง และวงเงินที่สามารถเคลมได้ ซึ่งค่าชดเชยดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับจำนวนเบี้ยประกันที่ผู้ทำเลือกจ่ายไปด้วย

ตัวอย่าง คุณแคร์เลือกทำประกันรถชั้น 1 ด้วยทุนประกัน 650,000 บาท หากคุณแคร์เกิดอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชน หลังจากดำเนินการเบิกเคลมค่าสินไหมทดแทน จาก พ.รบ. รถยนต์ไปแล้ว เหลือส่วนเกินค่ารักษาพยาบาลอีก 4,000 บาท ก็สามารถเบิกได้จากประกันรถชั้น 1 ที่ทำเอาไว้ได้

ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง? หากต้องการเบิกเคลมค่าสินไหมทดแทน

สำหรับเอกสารที่จำเป็นและสำคัญในการเบิกเคลมค่าชดเชย ค่าสินไหมทดแทน รถชน อาจจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความเสียหายที่ต้องการเบิกและบริษัทประกัน แต่หลัก ๆ จะใช้เอกสาร ดังนี้

  • แบบฟอร์มการเรียกร้องสินไหมทดแทนของบริษัทฯที่ทำประกันเอาไว้
  • ใบเสร็จรับเงินฉบับจริง และสำเนา ไม่ว่าจะเป็นจากสถานพยาบาล หรืออู่ซ่อมรถ แจ้งรายการค่าใช้จ่ายอย่างละเอียดและมีลายเซ็นรับรอง
  • สำเนาบันทึกประจำวันของตำรวจ (กรณีอุบัติเหตุ) ซึ่งต้องมีการรับรองสำเนาจากตำรวจ
  • ใบรับรองแพทย์ที่ระบุวันที่นอนโรงพยาบาล อาการ บริเวณที่บาดเจ็บ และสาเหตุ (ในกรณีที่เจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ)
  • บัตรประชาชนของผู้เอาประกันภัยและผู้รับผลประโยชน์พร้อมสำเนา
  • ทะเบียนบ้านต้นฉบับของผู้เอาประกันภัย และผู้รับผลประโยชน์
  • สำเนาทะเบียนรถ (กรณีอุบัติเหตุ)
  • สำเนาหน้าสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร
  • เอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สำเนารายงานการชันสูตรพลิกศพ (ในกรณีที่เสียชีวิต), ภาพถ่ายอุบัติเหตุ, สำเนาสูติบัตร, สำเนาหลักฐานการเปลี่ยนชื่อนามสกุล (ในกรณีที่ผู้ทำประกันมีการเปลีย่นชื่อ-สกุล) เป็นต้น

สรุปแล้ว ค่าสินไหมทดแทนต่าง ๆ ที่จะได้รับเมื่อเกิดอุบัติเหตุนั้นมาจากหลายส่วน แรกสุด แรบบิท แคร์ จะสามารถเบิกค่าสินไหมทดแทนเต่าง ๆ จาก พ.ร.บ. รถยนต์เป็นอันดับแรก จากนั้นจึงค่อยเบิกส่วนต่างที่เหลือจากประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจต่าง ๆ ที่ได้ทำเอาไว้ เช่น ประกันรถยนต์ชั้น 1 , ประกันรถชั้น 2+ , ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2 เป็นต้น

ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถคืออะไร?

ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คือ เงินค่าชดเชยที่บริษัทประกันฯของฝ่ายที่ผิด จะต้องชดใช้ให้แก่ผู้เสียหายที่เป็นฝ่ายถูกจากการเสียประโยชน์ที่ไม่มีรถใช้ในระหว่างการซ่อม ซึ่งเป็นสิทธิ์ของผู้ที่เป็นฝ่ายถูกต้องเป็นคนเรียกร้องสิทธิ์ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถกับบริษัทประกันฯ ของผู้ที่เป็นฝ่ายผิดด้วยตัวเอง และฝ่ายที่ผิดต้องมีการทำประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ และมีคู่กรณีที่เป็นยานพาหนะทางบก (รถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซค์) จึงจะเรียกร้องค่าชดเชยในส่วนนี้ได้ ส่วนฝ่ายถูกจะต้องมีใบขับขี่อย่างถูกต้องและทำประกันรถยนต์ไว้ด้วย จึงจะสามารถเริ่มกระบวนการได้

สำหรับความแตกต่างของค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถและค่าสินไหมทดแทน รถชน แตกต่างตรงที่ ค่าสินไหมทดแทนเบิกเคลมได้ทั้ง พ.ร.บ.รถยนต์ และประกันรถภาคสมัครใจ และสามารถเบิกเคลมได้แม้ผู้ทำประกันเป็นฝ่ายผิด แต่ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจะเรียกร้องได้ ในกรณีที่ผู้เรียกร้องเป็นฝ่ายถูก และฝั่งผิดต้องมีประกันรถภาคสมัครใจเท่านั้น

ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ มีอัตราขั้นต่ำของการเรียกค่าชดใช้ ตามประกาศ คปภ. ประจำปี 2565 เพื่อไม่ให้บริษัทประกันภัยเจรจาจ่ายในจำนวนที่ต่ำเกินไป ดังนี้

  • รถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง กำหนดอัตราไม่น้อยกว่าวันละ 500 บาท
  • รถยนต์รับจ้างสาธารณะขนาดไม่เกิน 7 ที่นั่ง กำหนดอัตราไม่น้อยกว่าวันละ 700 บาท
  • รถยนต์ขนาดเกินกว่า 7 ที่นั่ง กำหนดอัตราไม่น้อยกว่าวันละ 1,000 บาท
  • รถประเภทอื่น ๆ เช่น รถจักรยานยนต์ ให้เป็นไปตามข้อเรียกร้องและตกลงกันได้ โดยพิจารณาหลักฐานเป็นกรณีไป

หากต้องการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจะต้องทำอย่างไรบ้าง?

สำหรับขั้นตอนในการเบิกเคลมสามารถทำได้ ดังนี้

  • เตรียมเอกสารที่สำคัญในการเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ไม่ว่าจะเป็น ใบเสนอรายการความเสียหายของรถยนต์, ใบเคลม (ใบรองรับความเสียหายต่อทรัพย์สิน), สำเนาตารางกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์, สำเนาทะเบียนรถยนต์, สำเนาใบขับขี่รถยนต์, สำเนาบัตรประชาชน, ใบรับรถ หรือหนังสือส่งมอบรถเสร็จ, รูปถ่ายตอนซ่อม, รูปถ่ายความเสียหาย, หนังสือเรียกร้องสินไหมค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อม และสำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคารของผู้เอาประกัน

  • ติดต่อบริษัทประกันภัยของคู่กรณี (ฝ่ายผิด) จากนั้นให้ยืนยันคำเรียกร้อง ในช่วงเวลาที่รถของคุณกำลังซ่อมอยู่ เมื่อบริษัทของคู่กรณีแจ้งเอกสารที่ต้องการมา ให้คุณนำเอกสารต่าง ๆ จัดส่งไปยังบริษัทของคู่กรณีเพื่อดำเนินการต่อ

  • รอบริษัทคู่กรณีติดต่อกลับมา เนื่องจากต้องเช็กข้อมูลเพื่อพิจารณาว่าต้องชดเชยให้กับคุณเท่าไร ทำการประเมิน และเจรจาต่อรอง หลังจากตกลงกันเสร็จเรียบร้อย ก็รอรับค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ภายใน 7 วัน

ถ้าคู่กรณีไม่รับผิดชอบ อยากเรียกร้องค่าสินไหม ต้องทำอย่างไร?

สำหรับใครที่รถโดนชนแล้วคู่กรณีไม่รับผิดชอบนั้น ไม่ต้องกังวลไป เบื้องต้น เราสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้ขึ้นกับประเภทประกันที่เราทำไว้ ดังนี้

  • กรณีทำประกันชั้น 1

ให้โทรแจ้งบริษัทประกันในทันที เพื่อให้บริษัทประกันเข้ามาดำเนินการต่อทางบริษัทประกันก็จะทำเรื่องเคลมค่าสินไหมทดแทน เนื่องจากประกันชั้น 1 จะคุ้มครองครอบคลุมการชนในทุกกรณีอยู่แล้ว

  • กรณีทำประกันชั้น 2+ หรือประกันชั้น 3+

สามารถแจ้งบริษัทประกันให้เข้ามาทำหน้าที่ดำเนินการเรียกค่าสินไหมทดแทนหลังรถชนได้ทันทีไม่ต่างจากการทำประกันชั้น 1 เฉพาะกรณีที่คุณเป็นฝ่ายถูกเท่านั้น หากเป็นฝ่ายผิด ก็จะมีค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าเสียหายส่วนแรกอยู่ที่ 2,000 บาทขึ้นไป ซึ่งก็เป็นไปตามเงื่อนไขการจ่ายค่าสินไหมทดแทนของแต่ละบริษัทประกัน

  • กรณีที่ทำประกันชั้น 2 หรือประกันชั้น 3

เพราะประกันดั่งกล่าว จะเน้นคุ้มครองความเสียหายที่ตัวบุคคลมากกว่า ทำให้ไม่สามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจากประกัน แต่สามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้จากคู่กรณีหากคุณเป็นฝ่ายถูก

อย่างไรก็ตามเมื่อรถโดนชนแล้วคู่กรณีไม่รับผิดชอบจริง ๆ ไม่ว่าจะยืนยันความถูกต้องของคุณได้จากหลักฐานแล้วก็ตาม กรณีนี้สามารถที่จะดำเนินการตามกฎหมายเพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากรถชนได้ แต่ต้องดำเนินการฟ้องร้องกันทางกฎหมายเท่านั้น ซึ่งสุดท้ายแล้วหากว่ารถของคู่กรณีไม่มีประกัน ทางบริษัทประกันของคุณก็จะช่วยจัดการติดตามเรียกค่าสินไหมทดแทนกับทางคู่กรณีให้ต่อไป



โดยสรุปแล้ว การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนนั้นไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอย่างที่หลายคนกังวล และมีประโยชน์ไม่น้อยในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ดังนั้น การมีประกันรถยนต์ติดรถเอาไว้ จะช่วยให้คุณอุ่นใจได้มากยิ่งขึ้นในทุกการขับขี่บนท้องถนน

สำหรับใครที่ต้องการเลือกซื้อประกันรถยนต์ แต่ไม่รู้จะเลือกซื้อที่ไหน ไม่รู้จะเปรียบเทียบยังไง ต้องทที่นี้เลย แรบบิท แคร์ ที่นี้นอกจากจะมีประกันรถให้เลือกหลากหลายชั้นประกัน หลากหลายบริษัทแล้ว ยังมีบริการเปรียบเทียบเบี้ยประกันรถยนต์ให้คุณได้เลือกได้ตรงกับไลฟ์สไตล์การขับขี่ พร้อมคำแนะนำจากเจ้าหน้าีท่อย่าง แครืเอเจ้นทน์ ดูแลทั้งก่อนและหลังการขายที่ แรบบิท แคร์

ค่าสินไหมทดแทน คือ อะไร ตามกฎหมาย

ค่าสินไหมทดแทน (Damages) ตามกฎหมาย หมายถึง เงินหรือทรัพย์สินที่ฝ่ายหนึ่งจะต้องชดใช้ให้กับอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย สัญญา หรือการละเมิดสิทธิ์ ค่าสินไหมทดแทนมีวัตถุประสงค์เพื่อคืนสภาพฝ่ายที่เสียหายให้กลับคืนใกล้เคียงกับสภาพก่อนเกิดเหตุการณ์ให้มากที่สุด

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับค่าสินไหมทดแทนในประเทศไทยอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยบทบัญญัติเกี่ยวกับการละเมิดอยู่ในมาตรา 420 เป็นต้นไป และบทบัญญัติเกี่ยวกับสัญญาอยู่ในมาตรา 371 เป็นต้นไป

ในกรณีที่มีข้อพิพาททางกฎหมาย การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจะต้องผ่านการพิจารณาจากศาล ซึ่งจะเป็นผู้ตัดสินว่าค่าสินไหมทดแทนจะต้องจ่ายเท่าไหร่และอย่างไรบ้าง

ค่าสินไหมทดแทน มีกี่ประเภท

ค่าสินไหมทดแทนสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทตามลักษณะของความเสียหายและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยหลัก ๆ แล้วค่าสินไหมทดแทนแบ่งออกได้เป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้:

1. ค่าสินไหมทดแทนจากการละเมิด (Tort Damages)

เป็นค่าสินไหมทดแทนที่เกิดจากการกระทำที่ผิดกฎหมาย เช่น การทำลายทรัพย์สินหรือการทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร

  • ค่าสินไหมทดแทนเพื่อชดเชยความเสียหายที่แท้จริง (Compensatory Damages): เพื่อชดเชยความเสียหายจริงที่ผู้เสียหายได้รับ เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมแซมทรัพย์สิน หรือค่าเสียหายที่เกิดจากการสูญเสียรายได้
  • ค่าสินไหมทดแทนเพื่อชดเชยความเสียหายทางจิตใจ (General Damages): ชดเชยความเสียหายที่ไม่สามารถคำนวณเป็นตัวเงินได้ เช่น ความทุกข์ทรมาน ความเครียด หรือความอับอาย
  • ค่าสินไหมทดแทนเชิงลงโทษ (Punitive Damages): เป็นค่าสินไหมทดแทนที่ศาลกำหนดขึ้นเพื่อเป็นการลงโทษฝ่ายที่กระทำผิด โดยทั่วไปจะใช้ในกรณีที่มีการกระทำที่จงใจและมีความรุนแรง

2. ค่าสินไหมทดแทนจากการผิดสัญญา (Contractual Damages)

เป็นค่าสินไหมทดแทนที่เกิดจากการผิดสัญญาหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญา

  • ค่าสินไหมทดแทนทั่วไป (Expectancy Damages): ชดเชยให้ผู้เสียหายได้รับประโยชน์ตามที่ควรจะได้ตามสัญญา หากสัญญานั้นถูกปฏิบัติตาม
  • ค่าสินไหมทดแทนเชิงพิเศษ (Consequential Damages): ชดเชยความเสียหายที่เป็นผลกระทบต่อเนื่องจากการผิดสัญญา เช่น การสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ
  • ค่าสินไหมทดแทนเพื่อลดความเสียหาย (Liquidated Damages): เป็นค่าสินไหมทดแทนที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าในสัญญา ในกรณีที่มีการผิดสัญญา

3. ค่าสินไหมทดแทนจากการประกันภัย (Insurance Damages)

เป็นค่าสินไหมทดแทนที่จ่ายตามกรมธรรม์ประกันภัยเมื่อเกิดเหตุการณ์ตามที่ระบุไว้ในสัญญากรมธรรม์ เช่น อุบัติเหตุ รถชน หรือการเจ็บป่วย

  • ค่าสินไหมทดแทนในกรณีการเสียชีวิต (Death Benefits): ชดเชยให้กับครอบครัวหรือผู้รับผลประโยชน์ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต
  • ค่าสินไหมทดแทนในกรณีทรัพย์สินเสียหาย (Property Damage Compensation): ชดเชยความเสียหายต่อทรัพย์สิน เช่น บ้าน รถยนต์ หรือทรัพย์สินอื่น ๆ
  • ค่าสินไหมทดแทนในกรณีอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย (Accident or Health Compensation): ชดเชยค่ารักษาพยาบาลหรือค่าชดเชยรายได้ที่สูญเสียเนื่องจากการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ

4. ค่าสินไหมทดแทนพิเศษ (Special Damages)

ค่าสินไหมทดแทนที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์เฉพาะเจาะจงหรือที่มีเงื่อนไขพิเศษ เช่น ค่าทนายความ ค่าธรรมเนียมศาล หรือค่าชดเชยทางการเงินที่เกิดขึ้นจากการเสียโอกาสในธุรกิจ

ประเภทของค่าสินไหมทดแทนเหล่านี้อาจมีความแตกต่างกันตามกฎหมายของแต่ละประเทศ หรือเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาหรือกรมธรรม์ การทำความเข้าใจประเภทของค่าสินไหมทดแทนเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้สามารถเรียกร้องและชดเชยความเสียหายได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายและสัญญาที่เกี่ยวข้อง

วิธีชดเชยค่าสินไหมทดแทนตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย

การชดเชยค่าสินไหมทดแทนตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย เป็นกระบวนการที่บริษัทประกันภัยจะทำการชดเชยหรือจ่ายเงินตามสัญญากรมธรรม์ให้กับผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับผลประโยชน์ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ กระบวนการชดเชยค่าสินไหมทดแทนจะมีขั้นตอนหลักดังนี้:

1. การแจ้งเหตุการณ์

เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ครอบคลุมในกรมธรรม์ ผู้เอาประกันภัยต้องรีบแจ้งให้บริษัทประกันภัยทราบโดยเร็วที่สุด โดยการแจ้งนี้ควรมีรายละเอียดที่ครบถ้วน เช่น วันเวลา สถานที่ และลักษณะของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งการแจ้งเหตุการณ์อาจทำผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์ อีเมล หรือระบบออนไลน์ของบริษัทประกันภัย

2. ขั้นตอนการเรียกค่าสินไหมทดแทน

ผู้เอาประกันภัยจะต้องกรอกแบบฟอร์มคำร้องขอค่าสินไหมทดแทนตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด โดยแนบเอกสารประกอบที่เกี่ยวข้อง เช่น รายงานการเกิดเหตุ ภาพถ่ายความเสียหาย หรือใบรับรองแพทย์ เป็นต้น ซึ่งเอกสารและข้อมูลที่ต้องการอาจแตกต่างกันไปตามประเภทของกรมธรรม์ประกันภัย เช่น ประกันภัยรถยนต์ ประกันชีวิต หรือประกันสุขภาพ

3. การตรวจสอบและประเมินความเสียหาย

บริษัทประกันภัยจะทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์และประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้น บางกรณีอาจต้องมีการส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุหรือประเมินความเสียหาย หากพบว่าการเรียกร้องมีความถูกต้องและสอดคล้องกับเงื่อนไขในกรมธรรม์ บริษัทประกันภัยจะพิจารณาจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนที่ควรชดใช้

4. การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

เมื่อกระบวนการตรวจสอบเสร็จสิ้นและบริษัทประกันภัยยอมรับการเรียกร้อง จะทำการจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับผลประโยชน์ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ โดยการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสามารถทำได้ในรูปแบบเงินสด โอนเงินเข้าบัญชี หรือเช็ค ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของกรมธรรม์และนโยบายของบริษัทประกันภัย

5. การยุติคดีและการปิดบัญชี

หลังจากที่มีการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว บริษัทประกันภัยและผู้เอาประกันภัยจะต้องลงนามในเอกสารยุติคดีเพื่อเป็นการปิดบัญชีและยืนยันว่าไม่มีข้อเรียกร้องเพิ่มเติมใด ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น

ข้อควรระวัง

  • อ่านกรมธรรม์ให้เข้าใจ: ผู้เอาประกันภัยควรอ่านและทำความเข้าใจเงื่อนไขและข้อยกเว้นต่าง ๆ ในกรมธรรม์อย่างละเอียด เพื่อป้องกันปัญหาในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน
  • เก็บเอกสารให้ครบถ้วน: การเก็บเอกสารทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการยื่นคำร้องและต่อรองในกรณีที่มีข้อโต้แย้ง

การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยเป็นสิทธิ์ของผู้เอาประกันภัย และการปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างถูกต้องจะช่วยให้การชดใช้เป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว

ค่าสินไหมทดแทนของประกันแต่ละแบบต่างกันไหม

ค่าสินไหมทดแทนของประกันแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ขึ้นอยู่กับประเภทของประกันภัย ความคุ้มครองที่กรมธรรม์ประกันภัยให้ไว้ และเงื่อนไขที่ระบุในสัญญา โดยทั่วไปแล้ว ประกันภัยที่นิยมใช้ในประเทศไทยสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ดังนี้:

1. ประกันชีวิต

  • ค่าสินไหมทดแทนกรณีเสียชีวิต : ค่าสินไหมทดแทนที่จ่ายให้กับผู้รับผลประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต ซึ่งจำนวนเงินจะขึ้นอยู่กับวงเงินประกันที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์
  • ค่าสินไหมทดแทนกรณีทุพพลภาพถาวร : ค่าสินไหมทดแทนที่จ่ายให้เมื่อผู้เอาประกันภัยประสบอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยจนเป็นเหตุให้ทุพพลภาพถาวร
  • ค่าสินไหมทดแทนกรณีครบกำหนดสัญญา : ในบางกรมธรรม์ ผู้เอาประกันภัยอาจได้รับค่าสินไหมทดแทนเมื่อครบกำหนดอายุสัญญา

2. ประกันสุขภาพ

  • ค่ารักษาพยาบาล : ค่าสินไหมทดแทนที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นค่าห้องพัก ค่ายา หรือค่าผ่าตัด ตามเงื่อนไขที่กำหนด
  • ค่าสินไหมทดแทนกรณีเจ็บป่วยร้ายแรง : ค่าสินไหมทดแทนที่จ่ายเมื่อผู้เอาประกันภัยถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง หรือโรคหัวใจ
  • ค่าชดเชยรายได้ : ค่าสินไหมทดแทนที่จ่ายชดเชยรายได้ที่สูญเสียไปเนื่องจากการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ

3. ประกันรถยนต์

  • ค่าซ่อมรถยนต์ : ค่าสินไหมทดแทนที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถยนต์ของผู้เอาประกันภัยในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ
  • ค่าสินไหมทดแทนกรณีรถยนต์สูญหายหรือถูกขโมย : ค่าสินไหมทดแทนที่จ่ายให้เมื่อรถยนต์ของผู้เอาประกันภัยถูกขโมยหรือสูญหาย
  • ค่าชดเชยความเสียหายต่อบุคคลภายนอก : ค่าสินไหมทดแทนที่จ่ายเพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบุคคลภายนอก เช่น ค่ารักษาพยาบาลหรือค่าเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลที่สาม

4. ประกันภัยทรัพย์สิน

  • ค่าสินไหมทดแทนกรณีความเสียหายต่อทรัพย์สิน : ค่าสินไหมทดแทนที่ครอบคลุมความเสียหายต่อทรัพย์สิน เช่น บ้านหรืออาคาร ในกรณีที่เกิดไฟไหม้ น้ำท่วม หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ
  • ค่าชดเชยการสูญเสียทรัพย์สิน : ค่าสินไหมทดแทนที่จ่ายเมื่อทรัพย์สินถูกขโมยหรือสูญหาย

5. ประกันภัยเดินทาง

  • ค่าสินไหมทดแทนกรณีเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุระหว่างเดินทาง : ค่าสินไหมทดแทนที่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลในต่างประเทศหรือค่าชดเชยจากการเกิดอุบัติเหตุระหว่างเดินทาง
  • ค่าชดเชยการยกเลิกการเดินทาง : ค่าสินไหมทดแทนที่จ่ายเมื่อผู้เอาประกันภัยต้องยกเลิกการเดินทางเนื่องจากเหตุฉุกเฉิน เช่น เจ็บป่วย หรือต้องไปทำธุระสำคัญ
  • ค่าชดเชยการสูญหายของสัมภาระ : ค่าสินไหมทดแทนที่ครอบคลุมค่าความเสียหายจากการสูญหายของสัมภาระระหว่างการเดินทาง

6. ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล

  • ค่าชดเชยการสูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพ : ค่าสินไหมทดแทนที่จ่ายเมื่อผู้เอาประกันภัยประสบอุบัติเหตุจนเป็นเหตุให้สูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพถาวร
  • ค่าชดเชยกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ : ค่าสินไหมทดแทนที่จ่ายให้กับผู้รับผลประโยชน์ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ

7. ประกันความรับผิด

  • ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายต่อบุคคลภายนอก : ค่าสินไหมทดแทนที่จ่ายในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือร่างกายของบุคคลภายนอก
  • ค่าทนายความและค่าธรรมเนียมศาล : ค่าสินไหมทดแทนที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความรับผิด

สรุป ค่าสินไหมทดแทนของประกันแต่ละแบบมีความแตกต่างกันตามประเภทของประกันภัยและความคุ้มครองที่ระบุในกรมธรรม์ การทำความเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยให้ผู้เอาประกันภัยเลือกประเภทประกันภัยที่เหมาะสมกับความต้องการและเข้าใจสิทธิประโยชน์ที่สามารถเรียกร้องได้เมื่อเกิดเหตุการณ์ตามเงื่อนไขของประกันภัย

ค่าสินไหมทดแทน กรณีบาดเจ็บ เบิกอะไรได้บ้าง

ค่าสินไหมทดแทนกรณีบาดเจ็บเป็นค่าสินไหมที่จ่ายให้กับผู้เอาประกันภัยหรือบุคคลที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยอาจครอบคลุมหลายด้านตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัย ประเภทของค่าสินไหมทดแทนกรณีบาดเจ็บมีดังนี้:

1. ค่ารักษาพยาบาล (Medical Expenses)

เป็นค่าสินไหมทดแทนที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บ เช่น ค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาล ค่าเวชภัณฑ์ ค่าผ่าตัด และค่าบริการทางการแพทย์อื่น ๆ ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์

2. ค่าชดเชยรายได้ (Income Compensation)

หากผู้เอาประกันภัยได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถทำงานได้ ค่าสินไหมทดแทนนี้จะชดเชยรายได้ที่สูญเสียไปในช่วงที่ไม่สามารถทำงานได้ โดยจำนวนเงินและระยะเวลาที่ชดเชยจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของกรมธรรม์

3. ค่าชดเชยกรณีทุพพลภาพ (Disability Compensation)

หากผู้เอาประกันภัยได้รับบาดเจ็บจนทำให้เกิดทุพพลภาพทั้งชั่วคราวหรือถาวร ค่าสินไหมทดแทนนี้จะชดเชยตามระดับของทุพพลภาพที่เกิดขึ้น เช่น สูญเสียอวัยวะหรือความสามารถในการทำงานบางส่วนหรือทั้งหมด

4. ค่าชดเชยกรณีบาดเจ็บสาหัส (Severe Injury Compensation)

หากการบาดเจ็บมีความรุนแรง เช่น กระดูกหัก หรือบาดเจ็บที่ต้องรักษาเป็นเวลานาน ค่าสินไหมทดแทนนี้จะจ่ายเพิ่มเติมเพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น

5. ค่าสินไหมทดแทนกรณีบาดเจ็บที่ส่งผลต่อจิตใจ (Emotional Distress Compensation)

ในบางกรณี การบาดเจ็บทางกายอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจ เช่น ความเครียดหรือภาวะซึมเศร้า ค่าสินไหมทดแทนนี้จะจ่ายเพื่อชดเชยความเสียหายทางจิตใจ

6. ค่าชดเชยสำหรับการบาดเจ็บที่ทำให้เสียโอกาสทางอาชีพ (Loss of Future Earnings)

หากการบาดเจ็บส่งผลต่อความสามารถในการทำงานในอนาคต เช่น ไม่สามารถทำงานในตำแหน่งหรืออาชีพเดิมได้ ค่าสินไหมทดแทนนี้จะชดเชยรายได้ในอนาคตที่สูญเสียไป

ตัวอย่างการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกรณีบาดเจ็บ

  • ประกันชีวิตและสุขภาพ: ประกันชีวิตและประกันสุขภาพมักจะครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลและค่าชดเชยรายได้เมื่อผู้เอาประกันภัยได้รับบาดเจ็บ
  • ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล: ครอบคลุมค่าชดเชยกรณีบาดเจ็บสาหัส ทุพพลภาพ และค่ารักษาพยาบาล โดยมักจะมีการจ่ายเงินชดเชยเป็นก้อนสำหรับทุพพลภาพหรือบาดเจ็บสาหัส
  • ประกันภัยรถยนต์: ค่าสินไหมทดแทนสำหรับการบาดเจ็บของผู้ขับขี่และผู้โดยสารจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ มักจะครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลและค่าชดเชยรายได้

ข้อควรระวัง

  • ผู้เอาประกันภัยควรตรวจสอบเงื่อนไขและความคุ้มครองในกรมธรรม์ประกันภัยให้ชัดเจน เพื่อทราบถึงสิทธิประโยชน์ที่สามารถเรียกร้องได้
  • ในกรณีที่มีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ผู้เอาประกันภัยต้องจัดเตรียมเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น ใบรับรองแพทย์ บิลค่ารักษาพยาบาล หรือรายงานการเกิดอุบัติเหตุ

ค่าสินไหมทดแทนกรณีบาดเจ็บเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผู้ได้รับบาดเจ็บสามารถกลับมาดำเนินชีวิตได้ใกล้เคียงกับสภาพเดิมที่สุดและช่วยลดผลกระทบทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นจากการบาดเจ็บ

ค่าสินไหมทดแทน ทางจิตใจ คืออะไร คู่กรณีจะได้ชดเชยอะไรบ้าง

ค่าสินไหมทดแทนทางจิตใจ (Emotional Distress Compensation) เป็นค่าสินไหมทดแทนที่จ่ายให้กับผู้ที่ได้รับความเสียหายทางจิตใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น การประสบอุบัติเหตุที่รุนแรง การถูกทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ หรือเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสภาพจิตใจของผู้เสียหาย

ลักษณะของค่าสินไหมทดแทนทางจิตใจ

ค่าสินไหมทดแทนทางจิตใจมักเกี่ยวข้องกับความทุกข์ทรมาน ความเครียด ภาวะซึมเศร้า หรือผลกระทบทางจิตใจอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ที่เป็นสาเหตุของการเรียกร้อง โดยทั่วไปจะมีลักษณะดังนี้:

  1. ความทุกข์ทรมาน (Pain and Suffering) ค่าสินไหมทดแทนนี้ครอบคลุมความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นจากการบาดเจ็บทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งอาจเป็นความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง หรือผลกระทบทางจิตใจที่ทำให้ผู้เสียหายรู้สึกทุกข์ทรมาน
  2. ผลกระทบทางจิตใจ (Psychological Impact) ความเครียด ความวิตกกังวล หรืออาการซึมเศร้าที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ ค่าสินไหมทดแทนนี้ครอบคลุมความเสียหายที่เกิดจากผลกระทบดังกล่าว เช่น การต้องรับการบำบัดหรือรักษาทางจิตเวช
  3. ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต (Impact on Quality of Life) การสูญเสียความสามารถในการดำเนินชีวิตตามปกติ หรือการสูญเสียความสุขในชีวิตเนื่องจากผลกระทบทางจิตใจ ค่าสินไหมทดแทนนี้ชดเชยความเสียหายที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้เสียหาย
  4. ค่าสินไหมทดแทนเชิงลงโทษ (Punitive Damages) ในบางกรณี ศาลอาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนเชิงลงโทษเพิ่มเติม หากพบว่าฝ่ายที่กระทำผิดมีพฤติกรรมที่รุนแรงหรือประมาทเลินเล่ออย่างมาก ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสียหายทางจิตใจอย่างรุนแรงต่อผู้เสียหาย

กรณีที่สามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนทางจิตใจได้

  • การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ: เช่น การประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่รุนแรง ซึ่งอาจทำให้ผู้เสียหายเกิดความเครียดหรือภาวะซึมเศร้า
  • การทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ: การถูกทำร้ายร่างกาย การล่วงละเมิดทางเพศ หรือการข่มขู่คุกคามที่ส่งผลต่อจิตใจ
  • การสูญเสียคนที่รัก: ในกรณีที่เกิดความสูญเสียบุคคลในครอบครัวหรือคนที่รัก อาจทำให้เกิดความเศร้าโศกหรือภาวะซึมเศร้า

การพิสูจน์และการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนทางจิตใจ

  • การพิสูจน์ความเสียหายทางจิตใจ: ผู้เสียหายอาจต้องมีหลักฐานทางการแพทย์ เช่น ใบรับรองแพทย์จากจิตแพทย์ หรือรายงานการบำบัดรักษา เพื่อยืนยันว่ามีการได้รับผลกระทบทางจิตใจจากเหตุการณ์นั้น ๆ
  • การประเมินค่าเสียหาย: การประเมินค่าเสียหายทางจิตใจมักจะซับซ้อนกว่าในกรณีความเสียหายทางกายภาพ เนื่องจากความเจ็บปวดทางจิตใจนั้นไม่สามารถวัดได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ศาลหรือบริษัทประกันภัยอาจพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ความรุนแรงของเหตุการณ์ ระยะเวลาที่ต้องรักษา และผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต

ข้อควรทราบ การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนทางจิตใจอาจมีขั้นตอนและกระบวนการทางกฎหมายที่ซับซ้อน จึงควรปรึกษาทนายความหรือผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง

ค่าสินไหมทดแทนทางจิตใจมีความสำคัญในการช่วยให้ผู้เสียหายได้รับการชดเชยที่เหมาะสมสำหรับความเสียหายที่ไม่สามารถวัดเป็นตัวเงินได้โดยตรง แต่มีผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตและสุขภาพจิตของผู้เสียหาย

ค่าสินไหมทดแทนของประกันรถยนต์แต่ละชั้นแตกต่างกันอย่างไร

ค่าสินไหมทดแทนของประกันรถยนต์จะแตกต่างกันตามประเภทของประกันภัยที่ผู้เอาประกันเลือกใช้ ซึ่งประกันรถยนต์ในประเทศไทยมีการแบ่งออกเป็นหลายชั้น เช่น ประกันชั้น 1, ชั้น 2+, ชั้น 2, ชั้น 3+, และชั้น 3 โดยแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างในเรื่องของการคุ้มครองและค่าสินไหมทดแทน ดังนี้:

ประกันชั้น 1

  • คุ้มครองครอบคลุมที่สุด : ประกันชั้น 1 คุ้มครองทั้งความเสียหายของรถคันที่เอาประกันและรถคู่กรณี รวมถึงคุ้มครองบุคคลภายนอก, ทรัพย์สิน, การโจรกรรม, ไฟไหม้, และความเสียหายจากอุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณี เช่น รถชนสิ่งของหรือพลิกคว่ำ
  • ค่าสินไหมทดแทน : จะจ่ายค่าซ่อมแซมหรือทดแทนตามมูลค่าความเสียหายของรถทั้งสองฝ่าย โดยประกันชั้น 1 มักมีเพดานการจ่ายที่สูงที่สุด และรวมถึงค่าสินไหมในกรณีรถหายหรือเกิดเหตุไฟไหม้
  • เหมาะสำหรับ : ผู้ที่ต้องการความคุ้มครองเต็มรูปแบบและมูลค่าสินไหมสูง โดยเฉพาะรถใหม่หรือรถราคาแพง

ประกันชั้น 2+

  • คุ้มครองใกล้เคียงกับประกันชั้น 1 : แต่ไม่ครอบคลุมอุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณี
  • ค่าสินไหมทดแทน : จ่ายค่าซ่อมแซมรถทั้งคันที่เอาประกันและรถคู่กรณีในกรณีที่มีการชนกับยานพาหนะทางบกเท่านั้น ไม่คุ้มครองกรณีชนสิ่งของหรือเสียหายโดยไม่มีคู่กรณี แต่ยังคุ้มครองกรณีรถหายและไฟไหม้
  • เหมาะสำหรับ : ผู้ที่ต้องการความคุ้มครองระดับสูง แต่สามารถรับความเสี่ยงในกรณีอุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณีได้

ประกันชั้น 2

  • คุ้มครองคล้ายกับประกันชั้น 2+ : แต่ไม่มีความคุ้มครองสำหรับความเสียหายของรถคันที่เอาประกัน
  • ค่าสินไหมทดแทน : คุ้มครองเฉพาะทรัพย์สินและบุคคลภายนอก รวมถึงการโจรกรรมและไฟไหม้ แต่ไม่ครอบคลุมค่าซ่อมแซมรถของผู้เอาประกันหากเกิดอุบัติเหตุ
  • เหมาะสำหรับ : รถเก่าหรือรถที่ไม่ค่อยได้ใช้งานบ่อย ๆ และผู้ที่ไม่ต้องการความคุ้มครองต่อความเสียหายของรถตัวเอง

ประกันชั้น 3+

  • คุ้มครองเฉพาะกรณีชนกับยานพาหนะทางบก : คล้ายกับชั้น 2+ แต่ไม่ครอบคลุมการโจรกรรมหรือไฟไหม้
  • ค่าสินไหมทดแทน : จ่ายค่าซ่อมแซมรถทั้งคันที่เอาประกันและคู่กรณี แต่จะคุ้มครองเฉพาะในกรณีที่มีคู่กรณีเป็นยานพาหนะเท่านั้น
  • เหมาะสำหรับ : ผู้ที่ต้องการประกันราคาประหยัดที่คุ้มครองอุบัติเหตุเฉพาะกรณีการชนกับรถยนต์เท่านั้น

ประกันชั้น 3

  • คุ้มครองขั้นพื้นฐานที่สุด : คุ้มครองเฉพาะคู่กรณีและบุคคลภายนอก ไม่คุ้มครองรถของผู้เอาประกัน
  • ค่าสินไหมทดแทน : จะจ่ายค่าซ่อมแซมรถของคู่กรณีและค่ารักษาพยาบาลของบุคคลภายนอกเท่านั้น แต่ไม่คุ้มครองรถของผู้เอาประกันแม้จะเป็นฝ่ายถูก
  • เหมาะสำหรับ : รถเก่าหรือผู้ที่ต้องการประหยัดค่าเบี้ยประกัน และสามารถรับความเสี่ยงในกรณีที่ต้องซ่อมแซมรถตัวเอง

สรุปความแตกต่างของค่าสินไหมทดแทนแต่ละชั้น:

  • ประกันชั้น 1 : คุ้มครองครอบคลุมสูงสุด และจ่ายค่าสินไหมทดแทนทั้งกรณีมีหรือไม่มีคู่กรณี รวมถึงกรณีไฟไหม้และรถหาย
  • ประกันชั้น 2+ : คุ้มครองใกล้เคียงชั้น 1 แต่ไม่ครอบคลุมอุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณี
  • ประกันชั้น 2 : คุ้มครองเฉพาะบุคคลภายนอกและความเสียหายจากไฟไหม้หรือรถหาย แต่ไม่ครอบคลุมความเสียหายของรถผู้เอาประกัน
  • ประกันชั้น 3+ : คุ้มครองกรณีชนกับยานพาหนะเท่านั้น ไม่ครอบคลุมกรณีไฟไหม้หรือรถหาย
  • ประกันชั้น 3 : คุ้มครองเฉพาะบุคคลภายนอกและคู่กรณี ไม่คุ้มครองรถของผู้เอาประกัน

ความคุ้มครองประกันรถยนต์

บทความแนะนำ

ไม่ใช่เจ้าของรถ เบิก พรบได้ไหม
  • เมื่อเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ หากมี พ.ร.บ. แม้ไม่ใช่เจ้าของรถ คุณจะสามารถเบิกค่าเคลมจาก พ.ร.บ. รถได้หรือไม่?
เพื่อนยืมรถแล้วเกิดอุบัติเหตุต้องทำอย่างไรบ้าง
  • เพื่อนยืมรถไปชน ใครต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย? เจ้าของรถหรือเพื่อน? ประกันจะช่วยจ่ายในกรณีนี้หรือไม่?
hit-utility-pole-damages.jpg
  • ชนเสาไฟฟ้า ต้องทำอย่างไรบ้าง? มีความผิดตามกฎหมายหรือไม่ ต้องจ่ายค่าปรับเท่าไหร่ และประกันจะจ่ายค่าเสียหายไหม?
ขับรถชนคนเสียชีวิตประกันจ่ายให้หรือไม่
  • เมื่อขับรถชนคนเสียชีวิต ประกันคุ้มครองอย่างไร? พ.ร.บ. ครอบคลุมค่าชดเชยผู้เสียหายหรือไม่? และบทลงโทษมีอะไรบ้าง?

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา