แคร์การเงิน

เปรียบเทียบ Retention กับ Refinance เลือกแบบไหนเหมาะที่สุด

ผู้เขียน : คะน้าใบเขียว

นักเขียนรุ่นไฮบริด เขียนบทความด้านการบริหารเงินส่วนบุคคลและการลงทุนต่าง ๆ กว่า 7 ปี เริ่มต้นที่งานเขียนที่ Rabbit Finance จนย้ายมาที่ Rabbit Care

close
 
 
Published: July 7,2023

Retention (รีเทนชั่น) และ Refinance (รีไฟแนนซ์) ต่างเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่สำคัญสำหรับคนที่ผ่อนบ้านโดยต้องเล่าย้อนก่อนว่าการผ่อนบ้านในช่วง 3 ปีแรกจะเป็นดอกเบี้ยแบบคงที่ ส่วนหลังจาก 3 ปีจะเป็นดอกเบี้ยลักษะลอยตัว ซึ่งจะทำให้เพิ่มภาระการผ่อนบ้านขึ้นนั่นเอง เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงจะคุ้นเคยกับการรีไฟแนนซ์บ้านเป็นอย่างดี น้องแคร์จึงขออาสาแนะนำใหรู้จักกับสิ่งนี้ให้มากขึ้น ไปดูกันว่า Retention คืออะไร รวมถึงเปรียบเทียบกันไปเลยว่า Retention หรือ Refinance แบบไหนจะดีกว่ากัน

Retention หรือ รีเทนชั่น คืออะไร?

รีเทนชั่นหรือว่า Retention คือ วิธีการขอปรับลดดอกเบี้ยบ้านโดยการขอเข้าไปเจรจากับธนาคารที่ได้ทำเรื่องกู้เงินซื้อบ้านธนาคารเดิม ซึ่งสำหรับการทำ Retention สำหรับลูกหนี้นั้นจะเริ่มทำได้ก็ต่อเมื่อมีการผ่อนบ้านมาแล้วอย่างน้อยเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยการทำ Retention (รีเทนชั่น) ก็เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีแบ่งเบาภาระค่าผ่อนบ้านหลังจากที่ดอกเบี้ยปรับเปลี่ยนมาเป็นแบบลอยตัว

การทำ Retention (รีเทนชั่น) มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง

สำหรับคนที่สนใจทำ Retention (รีเทนชั่น) หรือการขอลดดอกเบี้ยบ้านเมื่อครบกำหนดผ่อนบ้านครบ 3 ปีแต่ยังไม่รู้ว่าจะมีวิธีการรขอลดดอกเบี้ยบ้าน จากทางธนาคารอย่างไรหรือคิดว่าขั้นตอนการทำนั้นจะยุ่งยากหรือเปล่า น้องแคร์ขอบอกเลยว่าการขอลดดอกเบี้ยบ้าน ไม่ได้มีขั้นตอนยุ่งยากอย่างที่คิด เนื่องจากเป็นการเข้าไปเจรจากับธนาคารเดิมที่มีข้อมูลของเราเป็นอย่างดีอยู่แล้ว โดยขั้นตอนการทำ Retention (รีเทนชั่น) มีดังนี้

  • ติดต่อนัดเจรจากับธนาคารเดิมที่ต้องการทำ Retention หรือการขอลดดอกเบี้ยบ้าน
  • เตรียมเอกสารสำคัญทางการเงินรวมถึงเอกสารยืนยันตัวตนให้พร้อม
  • เข้าไปเจรจาพูดคุยกับธนาคารเดิมเพื่อทำการ Retention
  • รอผลอนุมัติการขอลดดอกเบี้ยบ้าน ซึ่งอาจมีหรือไม่มีการจ่ายค่าธรรมเนียม

เอกสารสำคัญสำหรับยื่นขอทำ Retention มีอะไรบ้าง

สำหรับการยื่นเอกสารเพื่อทำการ Retention (รีเทนชั่น) นั้นไม่ได้อาศัยเอกสารอะไรที่มากมาย และไม่ต้องการเอกสารที่มีความซับซ้อน เนื่องจากเอกสารที่จำเป็นต่าง ๆ ทางธนาคารที่เป็นผู้ปล่อยกู้จะมีข้อมูลที่จำเป็นบางส่วนอยู่แล้ว หากต้องการขอลดดอกเบี้ยหรือทำ Retention ต้องเตรียมเอกสารทางการเงินและเอกสารสำคัญดังต่อไปนี้

  • สัญญาเงินกู้
  • ทะเบียนบ้านตัวจริงและสำเนาของผู้กู้
  • บัตรประชาชนตัวจริงและสำเนาของผู้กู้

เตรียมเอกสารเพียงแค่นี้ก็สามารถยื่นเรื่องเข้าเจรจากับธนาคารเพื่อทำการ Retention ได้แล้ว

การทำขอทำ Retention บ้านใช้เวลาเท่าไหร่ถึงรู้ผล

หลังจากที่เสร็จสิ้นการเจรจากับธนาคารเพื่อขอทำ Retention ซึ่งทางธนาคารที่รับเรื่องก็จะทำการพิจารณาถึงการปรับลดดอกเบี้ยบ้านให้กับเพื่อน ๆ โดยเวลาที่ใช้ในการพิจารณาไปจนถึงการรู้ผลขึ้นอยู่กับเงื่อนไข กระบวนการต่าง ๆ ของธนาคารซึ่งตามปกติแล้ว จะทราบผลในการขอ Retention (รีเทนชั่น) อยู่ที่ 7-45 วัน โดยเมื่อทราบผลแล้วก็อาจมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียเล็กน้อยหรืออาจจะไม่เก็บเลย โดยขึ้นอยู่กับนโยบายของธนาคารแต่ละแห่ง

ทำไมการทำ Retention หรือ Refinance จึงเป็นตัวช่วยที่ดีของการผ่อนบ้าน

การทำ Retention และการทำ Refinance คือ อีกหนึ่งตัวช่วยในการแบ่งเบาภาระทางการเงินสำหรับคนที่ยื่นกู้ซื้อบ้านกับทางธนาคารและมีการผ่อนชำระค่าบ้านไปเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 3 ปี โดยเหตุผลก็เหมือนกับที่เราได้เกริ่นไว้ในตอนต้นนั้นก็คือช่วงระยะเวลาภายใน 3 ปีแรกของการผ่อนบ้านจะเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่เมื่อครบ 3 ปีแล้วจะเปลี่ยนระบบเป็นดอกเบี้ยลอยตัว ซึ่งจะเป็นการเพิ่มภาระทางการเงินให้กับผู้ผ่อนมากขึ้นเนื่องจากดอกเบี้ยมีการปรับสูงเพิ่มขึ้นนั้นเอง

เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของ Retention และ Refinance

หลังจากที่ได้รู้ข้อดีของการทำ Retention หรือว่าการขอลดดอกเบี้ยบ้านบ้านไปแล้ว ซึ่งหลาย ๆ คนอาจเลือกไม่ถูกว่าจะใช้การ Retention บ้านหรือ Refinance ดี น้องแคร์จึงได้จับเอาทั้ง 2 อย่างนี้มาเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียให้เห็นกันชัด ๆ เลยว่าแตกต่างกันอย่างไร จะได้เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการตัดสินใจให้กับเพื่อน ๆ

ข้อดี


ข้อเสีย

Retention

  • Retention ทำกับธนาคารเดิม ทำให้ไม่ต้องเตรียมเอกสารจำนวนมาก

  • ใช้เวลาในการอนุมัติที่รวดเร็วList Item 2

  • เสียค่าธรรมเนียมน้อยหรืออาจไม่เสียค่าธรรมเนียมเลย
    List Item 3

อัตราการลดดอกเบี้ยบ้านไม่ได้สูงมาก

Refinance

  • ได้รับอัตราการลดดอกเบี้ยบ้านที่ต่ำ

  • สามารถเลือกอัตราดอกเบี้ยบ้านได้หลากหลาย

  • ปรับโครงสร้างหนี้

  • ต้องเตรียมเอกสารเป็นจำนวนมาก

  • รอเวลาในการอนุมัตินานกว่า Retention

  • มีค่าธรรมเนียมที่สูง

Retention หรือ Refinance เหมาะกับใคร

จะเห็นได้ทั้ง 2 อย่างนั้นค่อนข้างมาความต่างในรายละเอียดอยู่พอสมควรเลย โดยเมื่อพิจารณาการใช้งานอย่างละเอียดจะพบว่าทั้ง Retention และ Refinance ต่างมีการใช้งานที่จะสร้างประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อคุณเป็นผู้กู้ที่มีคุณสมบัติดังนี้

เลือกใช้ Retention

การใช้รีเทนชั่นเหมาะกับการผ่อนบ้านที่มีจำนวนยอดเงินกู้เหลือน้อยกว่าหนึ่ง 1 ล้านบาท หรือเป็นการผ่อนบ้านมาเป็นระยะเวลานานที่ใกล้จะปิดหนี้ได้แล้ว ซึ่งการทำ Retention จะเป็นการช่วยลดดอกเบี้ยบ้าน ที่ถึงแม้ว่าการลดที่ไม่ได้เป็นจำนวนมาก แต่แลกมากลับการไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในราคาที่สูงนั่นเอง

เลือกใช้ Refinance

ส่วนการเลือกใช้ตัวช่วยในรูปแบบนี้เหมาะกับคนที่ยังยอดที่ต้องผ่อน 1 ล้านบาทขึ้นไป มีความต้องการให้ภาระผ่อนบ้านต่อเดือนอยู่ในระดับต่ำ หรือต้องการกู้เงินมาเพื่อใช้ในการซ่อมแซมหรือตกแต่งบ้าน

คัดมาให้แล้ว! ประกันรถสุดคุ้ม จากกว่า 30 บริษัทชั้นนำ

รถของคุณยี่ห้ออะไร

< กลับไป
< กลับไป

ระบุยี่ห้อรถของคุณ

ระบุปีผลิตรถของคุณ

  

Retention คือ การขอลดดอกเบี้ยบ้านกับทางธนาคารเดิม ซึ่งเป็นตัวช่วยลดภาระลดในการผ่อนบ้านของเพื่อน ๆ ลงไปได้นั่นเอง ซึ่งการทำรีเทนชั่นเหมาะอย่างยิ่งกับคนที่มียอดผ่อนบ้านเหลือน้อยกว่า 1 ล้านบาทซึ่งไม่ต้องการเสียเงินค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เป็นจำนวนมากนั่นเอง และถ้าเพื่อน ๆ คนไหนที่มองหาสินเชื่อบ้านเงื่อนไขดี ๆ อยู่ล่ะก็มาสมัครกับเราที่ แรบบิท แคร์ ได้เลยเพราะว่าเรามีสินเชื่อบ้านดี ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของเพื่อน ๆ ได้อย่างแน่นอน


 

บทความแคร์การเงิน

แคร์การเงิน

ไฟแนนซ์ คืออะไร จัดไฟแนนซ์รถ รีไฟแนนซ์บ้าน ทำได้อย่างไรบ้าง

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า จัดไฟแนนซ์ ขอไฟแนนซ์ หรือขอสินเชื่อกันมาพอสมควร แต่อาจจะยังไม่เข้าใจรายละเอียดเรื่องการจัดไฟแนนซ์ ว่ามีขั้นตอนอย่างไร
Thirakan T
11/04/2024

แคร์การเงิน

เป็นหนี้บัตรเครดิต ยึดทรัพย์ คู่สมรสได้ไหม?

เรื่องหนี้สิน เป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับคู่สมรส โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิต ที่เกิดจากการใช้จ่ายของทั้งสองฝ่าย ทั้งในกรณีที่ใช้จ่ายร่วมกัน
Thirakan T
11/04/2024

แคร์การเงิน

ผ่อนบ้านไม่ไหว ขายคืนธนาคารได้ไหม หรือควรทำอย่างไรดี

ปัญหาผ่อนบ้านไม่ไหว น่าจะเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่น่าหนักใจสำหรับใครหลายคน เพราะดอกเบี้ยบ้านที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัญหาผ่อนบ้านไม่ไหว
Thirakan T
11/04/2024