แคร์การเงิน

เปิดร้านขายของชำซักร้าน ด้วย 7 สเต็ปง่าย ๆ ต้องใช้งบเท่าไร ? มาดูกันเลย!!

ผู้เขียน : คะน้าใบเขียว
คะน้าใบเขียว

นักเขียนรุ่นไฮบริด เขียนบทความด้านการบริหารเงินส่วนบุคคลและการลงทุนต่าง ๆ กว่า 7 ปี เริ่มต้นที่งานเขียนที่ Rabbit Finance จนย้ายมาที่ Rabbit Care และ Asia Direct

close
linkedin icon
แก้ไขโดย : Nok Srihong
Nok Srihong

มีประสบการณ์มากกว่า 3 ปี เป็นนักเขียนด้านประกันสุขภาพ ประกันชีวิต เพื่อสุขภาพที่ Rabbit Care และ Asia Direct และ 12 ปี ในอุตสาหกรรม OTA อย่าง Laterooms.com , Expedia.com จึงมีความเชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยว จบการศึกษาปริญญาตรี สาขาการจัดการการเงิน มหาวิทยาลัยขอนแก่น

close
linkedin icon
 
Published: April 18,2023
  
Last edited: June 1, 2024
งบประมาณในการเปิดร้านขายของชำ

ความฝันของหลาย ๆ คน อาจไม่ต้องมีธุรกิจใหญ่โตรวยล้นฟ้า หากแต่สามารถมีชีวิตเปี่ยมสุข เรียบง่าย พร้อมธุรกิจร้านขายของชำเล็ก ๆ สุดน่ารัก สำหรับเพื่อนบ้านรอบ ๆ ข้าง ได้ซื้อของ จนสามารถเป็นรายได้หลัก หรือรายได้เสริมที่มั่นคงทุกเดือน 

หากนี่คือความฝันของคุณ! มาดูกันเถอะว่าจะเริ่มเปิดร้านขายของชำอย่างไร? งบประมาณในการเปิดร้านขายของชำคือเท่าไหร่? แล้วต้องขออะไรบ้าง? ตั้งแต่ใบสรรพสามิต ยันทะเบียนพาณิชย์ ไปดูวิธีกันเลย! ซึ่งบอกเลยว่าจะดูแต่วิธีการเชิงเทคนิคไม่ได้!! ต้องเอาศาสตร์ความโชคดี มูเตลู เข้ามาเสริมพลังให้ธุรกิจไปได้ด้วยดีด้วย! ใครคิดจะเปิดร้านขายของชำ อย่าลืมคลิกดูฤกษ์เปิดร้าน เริ่มต้นธุรกิจรุ่งเรืองร่ำรวยกันเลย 

ประกันสุขภาพที่คุณเลือกเองได้ พร้อมชำระได้หลากหลายช่องทาง
icon angle up or down

เลือกแผนประกันสุขภาพที่คุณสนใจ

    ชื่อนามสกุล

    หมายเลขโทรศัพท์

    1. ศึกษาตลาดก่อนเปิดร้านขายของชำ

    ไม่ใช่แค่ร้านขายของชำ ร้านค้าปลีก แต่ไม่ว่าธุรกิจใด ลำดับแรกที่เราควรจะคำนึงถึงคือการหาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจที่เรากำลังจะเข้าไปมีส่วนร่วม ในกรณีของร้านขายของชำ สิ่งที่เราสามารถทำได้ง่ายที่สุดคือการสังเกตพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้า

    • ช่วงเวลาที่ผู้คนในบริเวณนั้น นิยมออกมาซื้อของกัน
    • เป็นพื้นที่ที่ใกล้เคียงกับอะไร เช่นโรงเรียน อาจต้องขายของที่เด็กชอบ หรือแหล่งชุมชนผู้สูงอายุ ต้องเป็นของเพื่อสุขภาพ ยี่ห้อดั้งเดิม
    • ดูคู่แข่ง หากเป็นพื้นที่ที่มีร้านค้าปลีกเยอะอยู่แล้ว เช่นเซเว่นอีเลฟเว่น โลตัส เราอาจไม่สามารถแข่งขันในด้านความหลากหลายของสินค้า อาจเปลี่ยนแนวไปขายของเฉพาะทางที่ เซเว่นฯ ไม่มีก็เป็นไปได้

    2. เลือกทำเลที่เหมาะกับร้านขายของชำของคุณ

    สำหรับร้านโชห่วย ร้านค้าปลีก และร้านขายของชำเล็ก ๆ เรื่องของทำเลเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ และถือเป็นครึ่งหนึ่งของความสำเร็จได้เลยทีเดียว ยิ่งทำเลดีอย่างอาคารที่จดทะเบียนอพาร์ทเม้นท์มีผู้คนพลุกพล่าน คนก็ยิ่งเดินเข้าร้านขายของชำของเราเยอะมากขึ้นเท่านั้น โดยจะขอแบ่งทำเลออกเป็น 2 รูปแบบ

    งบประมาณในการเปิดร้านขายของชำ

    ทำเลที่เป็นเจ้าของอยู่แล้ว

    นำบ้าน หรือตึกแถวของตนเองมาปรับเป็นร้านขายของชำ หรือร้านโชห่วยเล็ก ๆ ทำให้รู้สึกว่าเป็นร้านที่เป็นกันเอง มีกลิ่นอายของธุรกิจในครัวเรือน ข้อดีคือเป็นทำเลที่ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องเช่า และบรรยากาศร้านอบอุ่น มีเอกลักษณ์ แต่ข้อเสีย หรือข้อจำกัดคือเรื่องของทำเลที่จะอยู่แค่ในพื้นที่ชุมชน เป็นทำเลรอง ไม่ใช่ที่พลุกพล่าน และหากเป็นบ้านที่มีผู้อยู่อาศัยเยอะ อาจมีความยุ่งวุ่นวายในการขายเล็กน้อย 

    ทำเลที่ต้องซื้อหรือเช่า

    หากเป็นกรณีที่อยากได้ร้านขายของชำที่ดูเป็นทางการ มีการขายให้คนหมู่มาก (Mass) อาจไปเช่าพื้นที่ตึกแถว หรือร้านเล็ก ๆ ติดกับแหล่งพลุกพล่านเพื่อตั้งเป็นร้านขายของชำ โดยแน่นอนว่าข้อเสียคือจะต้องจ่ายค่าเช่า ค่าพื้นที่ทุกเดือน จึงเหมือนกับผู้ประกอบการที่มีงบเยอะ แต่ข้อดีคือสามารถเลือกทำเลที่ดีที่สุดในการตั้งร้านขายของชำ และอาจสะดวกสบายในการประกอบการ

    3. คำนวณงบประมาณในการเปิดร้านขายของชำ

    งบประมาณขั้นต่ำในการเปิดร้านขายของชำ คือ ประมาณ 1 แสนบาทขึ้นไป แต่หัวใจสำคัญของการทำธุรกิจร้านขายของชำ คือ ต้องมั่นใจว่าเรามีเงินหมุนในแต่ละเดือนด้วย ฉะนั้นอาจคำนวนไปเลยว่า 70% ของเงินที่จะใช้ลงทุนงบประมาณในการเปิดร้านขายของชำ เป็นเงินเริ่มต้นสร้างร้านโชห่วย ส่วนที่เหลืออาจให้เป็นเงินเก็บไว้หมุนเวียน หรือเงินทุนสำรอง

    งบประมาณในการเปิดร้านขายของชำ

    โดยสิ่งที่ต้องลงทุนในร้านขายของชำมีค่อนข้างเยอะ แต่ ก็มี 3 สิ่งหลัก ๆ ที่ร้านขายของชำทุกร้านจะต้องมี ได้แก่

    ชั้นวางของ

    สามารถเลือกชั้นวางของได้หลากหลายรูปแบบ หลัก ๆ คือ 1.) ชั้นวางของสำเร็จรูป ที่ซื้อมาแล้วประกอบให้เลยเรียบร้อยแค่นำมาจัดวางในร้านโชห่วยก็ใช้งานได้เลย อาจมีราคาค่อนข้างสูง ราวละ 1,000 – 2,000 บาท และแบบที่ 2.) ชั้นวางของประกอบเอง อาจได้ราคาที่ถูก และสามารถปรับให้เข้ากับขนาดของร้านโชห่วยได้อย่างพอดี แต่อาจดูไม่เรียบร้อย และยากต่อการติดตั้ง

    โต๊ะเก็บเงิน

    ทุกร้านขายของชำจะต้องมีโต๊ะเก็บเงินทั้งหมด โดยพื้นฐานสิ่งที่จะต้องมีคือ โต๊ะ เก้าอี้ และเครื่องคิดเงิน POS (Point of Sale System) ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายระดับราคา ตั้งแต่ราคา 2,500 – 8,000 บาท ขึ้นอยู่กับความหลากหลายของฟังก์ชั่น ความล้ำสมัยของเครื่อง

    ตู้แช่

    เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบของร้านขายของชำที่มูลค่าค่อนข้างสูง โดยสามารถเลือกได้ประมาณ 3 รูปแบบ นั่นคือ 1.) ตู้แช่ 1 ประตู ซึ่งเป็นตู้แช่ขนาดเล็ก เหมาะกับร้านขายของชำท้องถิ่น 2.) ตู้แช่ 2 ประตู มีขนาดค่อนข้างใหญ่ เหมาะสำหรับร้านขายของชำขนาดใหญ่ และสุดท้ายคือ 3.) ตู้ไอติม หรือตู้ไอศครีม สำหรับร้านขายของชำที่ต้องการมีตู้ไอศครีม เน้นขายขนมล่อตาล่อใจเด็ก ๆ ซึ่งราคาจะมีตั้งแต่หลักพัน ไปจนถึงหลักหลาย ๆ หมื่นเลย 

    สรุปงบประมาณในการเปิดร้านขายของชำ

      ของใช้สำหรับการเปิดร้านขายของชำ

    ประมาณราคา

    ชั้นวางของ

      ~20,000 บาท

    โต๊ะเก็บเงิน

      ~1,000 บาท

    เครื่องคิดเงิน POS

      ~3,000 บาท

    เก้าอี้

      ~500 บาท

    ตู้แช่ 2 ประตู 1 ตู้ 

    ~16,000 บาท

    ตู้ไอศครีม 1 ตู้ 

    ~9,900 บาท

    ค่าเช่าที่

    ~18,500 บาท

    ค่าสินค้าในสต็อก

    ~25,000 บาท

    เงินทุนสำรอง

    ~24,600 บาท

    รวม ~100,000 บาท

    โดยสุดท้ายแล้ว งบประมาณในการเปิดร้านขายของชำ จะอยู่ที่ประมาณ 100,000 บาท แต่อย่างไรก็ตามงบประมาณก็จะขึ้นอยู่กับความต้องการของร้านโชห่วยแต่ละร้าน ซึ่งหากพิจารณาแล้วอาจลดค่าใช้จ่ายให้น้อยลงได้อีก โดยเฉพาะในกรณีที่ทำร้านขายของชำที่เปิดในบ้าน ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าที่ ฉะนั้นเราจึงไม่สามารถการันตีงบประมาณในการเปิดร้านขายของชำได้อย่างชัดเจนแน่นอน หากแต่ก็สามารถประมาณงบประมาณในการเปิดร้านขายของชำ มาได้ประมาณนี้

    4. หาแหล่งซื้อสินค้า

    อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมาก ๆ สำหรับร้านขายของชำ ก็คือต้องดูด้วยว่าเราจะเอาสินค้าต่าง ๆ จากไหน ลักษณะสินค้าที่ต้องการขาย รวมถึงราคา และกำไร ซึ่งถ้าหากยิ่งได้สินค้าราคาถูก ราคาขายส่ง ก็จะสามารถขายสินค้าในอัตราราคาที่ดี ซึ่งสุดท้ายก็จะนำไปสู่กำไรที่ดีขึ้นได้ โดยจะแบ่งเป็นแหล่งสินค้า 2 แหล่งก็คือ

    ร้านขายส่ง หรือยี่ปั๊ว

    ร้านขายส่ง หรืออีกชื่อหนึ่งที่คนเรียกกันจนชินปากว่า “ร้านยี่ปั๊ว” ซึ่งจะเป็นร้านค้าที่ส่วนใหญ่แล้วขายให้ร้านค้าปลีก เพื่อขายให้ลูกค้าทั่วไปอีกที จึงเป็นการขายทีละเยอะ ๆ ขายสินค้าแบบเดียวเป็นแพ็ค หรือเป็นกิโลกรัม ฉะนั้นจึงเหมาะกับร้านค้าปลีกเฉพาะทางที่ขายของไม่กี่อย่าง มีงบประมาณในการเปิดร้านขายของชำไม่เยอะ และจะต้องเป็นของที่ซื้อมาขายไปได้อย่างรวดเร็ว

    ร้านขายปลีก

    มีร้านค้าขายปลีกรูปแบบที่เรียกว่า “ร้านค้าปลีกในรูปการขายส่ง” (Cash and Carry) ซึ่งยังมีแค่เจ้าเดียวนั่นก็คือแม็คโคร ซึ่งเป็นห้างรูปแบบผสม สามารถซื้อของเดี่ยว ๆ ในราคาตลาดทั่วไป และยังให้บริการร้านขายของชำด้วยระบบการซื้อของแบบสมาชิก โดยเจ้าของร้านสะดวกซื้อสามารถซื้อสินค้าได้ทีละเยอะ ๆ เพื่อนำไปขายต่อ จึงเหมาะกับร้านสะดวกซื้อที่ต้องการขายของทั่วไป ขายของที่หลากหลาย

    5. ดูเรื่องใบอนุญาต และการเสียภาษีร้านค้าปลีก

    คือการดำเนินงานด้านเอกสาร เพื่อทำให้ร้านค้าปลีกของเรา สามารถขายของได้อย่างถูกต้องตามหลักกฎหมาย เพราะไม่ว่าร้านขายของชำจะเล็ก หรือมีงบประมาณในการเปิดร้านขายของชำน้อยขนาดไหน ก็ควรที่จะทำให้ร้านของคุณมีมาตรฐานถูกหลักกฎหมาย 

    โดยคุณจะต้องเผื่อเงินบางส่วน ประมาณ 1,000 บาทเป็นค่าธรรมเนียมในการขอใบอนุญาต ซึ่งราคาก็จะไม่เท่ากัน เช่นหากต้องการขายของมึนเมา คุณอาจต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปี ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งที่เจ้าของร้านขายของชำทุกท่านต้องคำนึง

    งบประมาณในการเปิดร้านขายของชำ

    ใบสรรพสามิต

    ใบสรรพสามิต คือใบขออนุญาตให้ร้านขายของชำขายยาสูบ (บุหรี่) และสุรา (เหล้าเบียร์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่น ๆ) ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งหากไม่ได้ขอใบสรรพสามิต ก็จะไม่สามารถขายสุรา และยาสูบได้ หากขัดขืนมีความผิดทางกฎหมาย โดยสามารถสมัครได้ออนไลน์ ตามเว็บไซต์ www.excise.go.th/excise2017/SERVICE/LIQUOR-TOBACCO-PLAYING_CARD_LICENSE/index.htm

    ค่าธรรมเนียมขายสุรา

    • ขายส่งสุรา ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ปีละ 5,500 บาท
    • ขายปลีกสุรา ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ปีละ 2,200 บาท (ผู้จำหน่ายไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ค่าธรรมเนียม ใบอนุญาตปีละ 330 บาท)

    ค่าธรรมเนียมขายยาสูบ

    • ขายส่งบุหรี่ ซิกาแรต และบุหรี่ซิการ์ ใบอนุญาตปีละ 1200 บาท สำหรับผู้ปลูกยาเส้น และขายเอง ใบอนุญาต ปีละ 100 บาท หากขายอย่างเดียว ปีละ 500 บาท
    • ขายปลีกบุหรี่ ซิการ์ ใบอนุญาตปีละ 500 บาท สำหรับขายยาเส้น ใบอนุญาต ปีละ 100 บาท

    ขอทะเบียนพาณิชย์

    ร้านขายของชำ ร้านค้าปลีก หรือธุรกิจแทบทั้งหมดจะต้องทำการขอทะเบียนพาณิชย์ เพื่อประกอบธุรกิจในแผ่นดินไทย โดยรูปแบบการขอทะเบียนพาณิชย์ร้านขายของชำสามารถขอทะเบียนพาณิชย์ได้ทั้งรูปแบบบุคคลธรรมดาคนเดียว (กิจการเจ้าของคนเดียว) และธุรกิจแบบนิติบุคคล โดยต้องจดทะเบียนพาณิชย์ภายใน 30 วันที่ร้านเปิดขาย

    โดยสามารถจดทะเบียนพาณิชย์ได้โดยการดาวน์โหลดเอกสารออนไลน์ผ่านทาง www.dbd.go.th/news_view.php?nid=946 

    และไปดำเนินเรื่องที่ได้ที่สำนักงานเขตของพื้นที่นั้น ๆ ที่คุณต้องการจะตั้งร้าน

    ค่าธรรมเนียมในการขอทะเบียนพาณิชย์

    • จดทะเบียนพาณิชย์ตั้งใหม่ 50 บาท
    • จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงรายการจดทะเบียน ครั้งละ 20 บาท
    • จดทะเบียนยกเลิกประกอบพาณิชยกิจ 20 บาท

    หากมีการตรวจสอบว่าร้านค้าไม่ได้มีการจดทะเบียนพาณิชย์ ต้องโดนปรับไม่เกิน 2,000 บาท และโดนปรับวันละ 100 บาทหากยังไม่ปฎิบัติตามกฎอย่างถูกต้อง

    การเสียภาษีร้านค้าปลีก

    คิดถึงแต่งบประมาณในการเปิดร้านขายของชำอย่างเดียวไม่ได้ เพราะเรื่องเสียภาษีร้านค้าปลีก ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ร้านขายของชำมักมองข้าม และสุดท้ายก็ต้องมาจ่ายภาษีย้อนหลังกระอักเลือดกันไปเป็นแถว ฉะนั้นมาดูกันเถอะว่าภาษีร้านค้าปลีก จะต้องจ่ายอย่างไรจึงจะถูกต้อง ไร้ปัญหาในอนาคต

    ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 

    กรณีที่เป็นร้านขายของชำขนาดเล็ก ทำธุรกิจคนเดียว หรือ 2 คน และไม่ได้ขอทะเบียนพาณิชย์ ต้องเสียภาษีร้านค้าปลีกบุคคลธรรมดา โดยจะต้องทำบัญชีแจกแจงรายรับรายจ่ายให้ชัดเจน พร้อมยื่นภาษีปีละ 2 ครั้ง รูปแบบภาษีจะเป็นแบบขั้นบันได ขึ้นอยู่กับรายได้ของบุคคล

    อัตราภาษีร้านค้าปลีก (บุคคลธรรมดา)

    5% - 35%

    ระยะเวลาในการจ่ายภาษีร้านค้าปลีก (บุคคลธรรมดา)

    - ครั้งที่1 : ภ.ง.ด.94 ยื่นได้ช่วงกันยายน

    - ครั้งที่ 2 : ภ.ง.ด.90 ยื่นได้ช่วงมีนาคม

    ภาษีเงินได้นิติบุคคล

    สำหรับร้านขายปลีกที่เป็นรูปแบบธุรกิจ มีผู้ร่วมทุนเยอะ และได้ขอทะเบียนพาณิชย์ในรูปแบบของธุรกิจนิติบุคคล ต้องจ่ายภาษีร้านค้าปลีก 2 ครั้งเช่นกัน ในรูปแบบของภาษีคงที่ เหมาะกับธุรกิจที่รายได้เยอะ มีกำไรที่แน่นอน

    อัตราภาษีร้านค้าปลีก (นิติบุคคล)

    20%

    ระยะเวลาในการจ่ายภาษีร้านค้าปลีก (นิติบุคคล)

    - ครั้งที่1 : ภ.ง.ด.51 ภายใน 2 เดือน นับ แต่วันครบ 6 เดือนของรอบระยะเวลาบัญชี

    - ครั้งที่ 2 : ภ.ง.ด.50 ภายใน 150 วัน นับ แต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี

    ภาษีเพิ่มเติมอื่น ๆ 

    • ภาษีมูลค่าเพิ่ม หากร้านขายของชำขายของได้เกินปีละ 1.8 ล้านบาท จะต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นอัตรา 7% เพิ่มเติม 
    • ภาษีกรมสรรพาสามิตด้วย ในกรณีที่ร้านขายของชำ หรือร้านค้าปลีกมีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และบุหรี่ ยาสูบต่าง ๆ

    6. คิดราคาข้าวของในร้านขายของชำให้เหมาะสม

    ขั้นตอนการตั้งราคามีรายละเอียดเยอะมาก ๆ สำหรับร้านค้าปลีก หรือร้านโชห่วย แต่ใจความสำคัญก็คือเราคิดราคาเพื่อให้ของขายได้ และเมื่อขายไปแล้วร้านค้าไม่ขาดทุน เป็นราคาที่สอดคล้องกับงบประมาณในการเปิดร้านขายของชำ โดยหลักการตั้งราคาที่ง่าย และเร็วที่สุดคือการแบ่งสินค้าออกเป็น 3 กลุ่ม อ้างอิงจากกำลังขายของสินค้าต่าง ๆ

    งบประมาณในการเปิดร้านขายของชำ

    สินค้าขายออกช้า หรือสินค้าค้างสต็อก

    ตั้งกำไรอยู่ที่ประมาณ 30% เป็นสินค้าจำพวกที่ไม่ได้ซื้อเป็นประจำ ซึ่งร้านค้าปลีกสามารถเก็บไว้ในสต็อกได้เป็นระยะเวลานาน ๆ ซึ่งในร้านสะดวกซื้ออาจจะเป็น พัดลม รองเท้าแตะ ร่ม ไปจนถึงกระเป๋า ซึ่งหากขายไม่ได้เน้นจำนวนเราอาจต้องคิดคำนวณให้อัตรากำไรเยอะหน่อย อาจถือว่าเป็นสินค้าพิเศษที่แต่ละร้านโชห่วยจะมีไว้เผื่อความต้องการของลูกค้า

    สินค้าพื้นฐาน

    ตั้งกำไรประมาณ 20% เป็นสินค้าทั่วไปที่มีการขายออกเรื่อย ๆ ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป อาจเป็นสินค้ากลุ่มขนมขบเคี้ยว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กระดาษทิชชู่ และอื่น ๆ อีกมากมาย เป็นสินค้าที่หาได้ในร้านโชห่วยทั่วไป 

    สินค้าขายออกเร็ว

    ตั้งกำไรประมาณ 10% เป็นสินค้าที่ซื้อมาขายไปได้อย่างรวดเร็ว ซื้อมาได้ทีละเยอะ ๆ มั่นใจว่าสามารถขายออกได้ในทันที เช่น บุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ของใช้จำเป็นเช่นผ้าอนามัย ซึ่งในแต่ละร้านค้าปลีก สินค้าประเภทนี้อาจแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า

    ทั้งนี้ทั้งนั้น การตั้งราคาต้องคำนึงถึงคู่แข่ง และการจับจ่ายใช้สอยของคนท้องถิ่นระแวกนั้นด้วย หากเป็นร้านค้าปลีกในเมืองต้องตั้งราคาที่สอดคล้องกับค้าครองชีพของคนแถวนั้น หากเป็นร้านค้าปลีกชานเมืองอาจถูกลงมาหน่อย หรือหากเป็นร้านค้าปลีกในพื้นที่ห่างไกลอาจต้องคิดค่าขนส่งของบวกเข้าไปด้วยเป็นต้น 

    7. จัดของในร้านค้าปลีกให้เหมาะสม

    สุดท้ายคือการจัดวางสินค้าในร้านค้าปลีก ซึ่งก็เป็นสิ่งสำคัญที่มอบข้ามไม่ได้ เพราะนอกจากจะเป็นตัวเรียกลูกค้าแล้วยังทำให้ลูกค้ารู้สึกดีและอยากกลับมาซื้อของที่ร้านอีกในครั้งต่อ ๆ ไป โดยการจัดของ ไม่ได้มีกฎตายตัว แต่ก็มีหลากหลายข้อที่เราอยากแนะนำ ดังนี้

    • จัดของให้เท่าสายตาของลูกค้า เช่นหากเป็นขนม หรือสินค้าสำหรับเด็กให้จัดสินค้าชั้นล่าง ๆ หรือหากเป็นสินค้าสำหรับผู้ใหญ่ให้จัดในระดับที่สูงขึ้นมาหน่อย เป็นต้น
    • สินค้าทุกอย่าง ต้องมีที่ประจำ เพื่อความสะดวกสบายของลูกค้าประจำ ไม่ควรวางผังร้านใหม่บ่อย สินค้าใดวางไว้ตรงไหนก็ให้จำให้ดี และเติมสินค้าใหม่ ณ ที่เดิม ซึ่งนอกจากดีกับลูกค้าแล้ว ยังง่ายต่อการเติมสต็อกสินค้าใหม่อีกด้วย

    ด้วย 6 ขั้นตอนนี้ คุณก็สามารถมีร้านขายของชำเป็นของตนเอง พร้อมประมาณงบประมาณ ในการเปิดร้านขายของชำของตนเอง ซึ่งถึงแม้เราจะพยายามเขียนให้เข้าใจง่าย และครบถ้วนที่สุด แต่ในทางปฎิบัติจริง ๆ แล้วเราเข้าใจว่ามันไม่ได้ทำง่ายขนาดนั้น! เพราะไหนจะต้องจัดการเรื่องเงิน ไหนจะต้องดูเรื่องที่ ฉะนั้น แรบบิท แคร์ จึงมีตัวช่วยเรื่องเงินมาเสนอให้ทุกคน! กับสินเชื่อส่วนบุคคล สมัครง่าย ไม่ต้องค้ำประกัน สำหรับทุกคนที่คิดอย่างเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวของตนเอง!

    บทความที่เกี่ยวข้อง


     

    บทความแคร์การเงิน

    Rabbit Care Blog Image 97227

    แคร์การเงิน

    ผ่อนบอลลูน คือ อะไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไร เหมาะสมกับใครมากที่สุด

    เคยได้ยินกันไหมกับการผ่อนรถแบบผ่อนบอลลูน คำศัพท์ที่ดูแปลกและไม่ค่อยชินกันเท่าไหร่นัก เพราะในเวลาปกติเราตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์สักคันด้วยการกู้สินเชื่อ
    คะน้าใบเขียว
    14/11/2024
    Rabbit Care Blog Image 94185

    แคร์การเงิน

    ไม่มีรถคืนไฟแนนซ์ ต้องเจอปัญหาใหญ่แค่ไหน

    พอถึงเวลาที่เราผิดสัญญาไฟแนนซ์ต่อเนื่อง มีโอกาสถูกยึดรถสูงมาก แต่ถ้าไม่มีรถคืนไฟแนนซ์จะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน
    Natthamon
    03/09/2024
    Rabbit Care Blog Image 93664

    แคร์การเงิน

    มรดกหนี้ คืออะไร ? เมื่อพ่อแม่เสียชีวิต ลูกต้องใช้หนี้ต่อหรือไม่ ?

    เคยได้ยินคำว่ามรดกหนี้หรือไม่ ? เคยสงสัยไหมว่าเมื่อพ่อแม่เสียชีวิตไปแล้วหนี้ที่มีอยู่จะต้องทำอย่างไร ใครต้องรับภาระเหล่านั้นเอาไว้ ? วันนี้ แรบบิท แคร์
    คะน้าใบเขียว
    22/08/2024