สรุปรวมกฎหมายขับรถเร็ว 2567 ที่ควรต้องทราบ
หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าปัจจุบันกฎหมายขับรถเร็วกำหนดความเร็วของยานพาหนะต่าง ๆ ไว้ที่เท่าใดบ้าง ถนนหรือทางเดินรถแบบไหนบ้างที่กำหนดความเร็วในการขับขี่ และทางเดินรถหรือถนนแต่ละประเภทกำหนดความเร็วไว้ที่เท่าใด หรือขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดจะยังได้รับความคุ้มครองจากประกันรถยนต์หรือไม่? วันนี้ แรบบิท แคร์ สรุปข้อมูลกฎหมายขับรถเร็วมาให้แล้ว
ทางหลวงแผ่นดิน และทางหลวงชนบท
กฎกระทรวงกำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงแผ่นดินหรือทางหลวงชนบทที่กำหนด พ.ศ. 2564 โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป กำหนดให้อัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงแผ่นดินหรือทางหลวงชนบทที่มีทางเดินรถซึ่งได้แบ่งช่องเดินรถในทิศทางเดียวกันไว้ตั้งแต่สองช่องเดินรถขึ้นไป มีเกาะกลางถนนแบบกำแพง (Barrier Median) ที่ใช้แบ่งทางเดินรถในทิศทางตรงข้ามกันและไม่มีจุดกลับรถเสมอระดับถนน มีรายละเอียดกฎหมายขับรถเร็วดังต่อไปนี้
- รถยนต์ (ส่วนบุคคล) ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถจักรยานยนต์ (ทั่วไป) ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถบรรทุกที่มีน้ำหนักเกิน 2,200 กิโลกรัม หรือรถบรรทุกคนโดยสารที่บรรทุกคนโดยสารเกิน 15 คน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถขณะที่ลากจูงรถอื่น รถยนต์สี่ล้อเล็ก หรือรถยนต์สามล้อ ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถจักรยานยนต์ที่มีกำลังเครื่องยนต์ตั้งแต่ 35 กิโลวัตต์ขึ้นไป หรือมีขนาดความจุของกระบอกสูบรวมกันตั้งแต่ 400 ซี.ซี. ขึ้นไป ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถโรงเรียน หรือรถรับส่งนักเรียน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถบรรทุกคนโดยสารที่มีที่นั่งเกิน 7 คน แต่ไม่เกิน 15 คน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถแทรกเตอร์ รถบดถนน รถใช้งานเกษตรกรรม ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ทั้งนี้ หากรถอยู่ในช่องเดินรถช่องขวาสุด ต้องใช้ความเร็วไม่ต่ำกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เว้นแต่ในกรณ๊ที่ช่องเดินรถนั้นมีข้อจำกัดด้านการจราจรหรือทัศนวิสัย มีสิ่งกีดขวาง หรือมีเหตุขัดข้องอื่น
ทางเดินรถในเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา และอื่น ๆ
กฎกระทรวงกำหนดอัตราความเร็วสำหรับการขับรถในทางเดินรถ พ.ศ. 2564 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป กำหนดให้อัตราความเร็วสำหรับการขับรถในทางเดินรถที่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา เขตเทศบาลนคร เขตเทศบาลเมือง หรือเขตชุมชน มีรายละเอียดกฎหมายขับรถเร็วดังต่อไปนี้
- รถยนต์ (ส่วนบุคคล) ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถจักรยานยนต์ (ทั่วไป) ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถบรรทุกที่มีน้ำหนักเกิน 2,200 กิโลกรัม หรือรถบรรทุกคนโดยสารที่บรรทุกคนโดยสารเกิน 15 คน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถขณะที่ลากจูงรถอื่น รถยนต์สี่ล้อเล็ก หรือรถยนต์สามล้อ ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถจักรยานยนต์ที่มีกำลังเครื่องยนต์ตั้งแต่ 35 กิโลวัตต์ขึ้นไป หรือมีขนาดความจุของกระบอกสูบรวมกันตั้งแต่ 400 ซี.ซี. ขึ้นไป ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถโรงเรียน หรือรถรับส่งนักเรียน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถบรรทุกคนโดยสารที่มีที่นั่งเกิน 7 คน แต่ไม่เกิน 15 คน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถแทรกเตอร์ รถบดถนน รถใช้งานเกษตรกรรม ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ทางเดินรถนอกเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา และอื่น ๆ
กฎกระทรวงกำหนดอัตราความเร็วสำหรับการขับรถในทางเดินรถ พ.ศ. 2564 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป กำหนดให้อัตราความเร็วสำหรับการขับรถในทางเดินรถที่อยู่นอกเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา เขตเทศบาลนคร เขตเทศบาลเมือง หรือเขตชุมชนมีรายละเอียดกฎหมายขับรถเร็วดังต่อไปนี้
- รถยนต์ (ส่วนบุคคล) ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถจักรยานยนต์ (ทั่วไป) ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถบรรทุกที่มีน้ำหนักเกิน 2,200 กิโลกรัม หรือรถบรรทุกคนโดยสารที่บรรทุกคนโดยสารเกิน 15 คน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถขณะที่ลากจูงรถอื่น รถยนต์สี่ล้อเล็ก หรือรถยนต์สามล้อ ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถจักรยานยนต์ที่มีกำลังเครื่องยนต์ตั้งแต่ 35 กิโลวัตต์ขึ้นไป หรือมีขนาดความจุของกระบอกสูบรวมกันตั้งแต่ 400 ซี.ซี. ขึ้นไป ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถโรงเรียน หรือรถรับส่งนักเรียน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถบรรทุกคนโดยสารที่มีที่นั่งเกิน 7 คน แต่ไม่เกิน 15 คน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถแทรกเตอร์ รถบดถนน รถใช้งานเกษตรกรรม ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ทางพิเศษเหนือ หรือใต้พื้นดิน/พื้นน้ำ
กฎกระทรวงกำหนดอัตราความเร็วสำหรับการขับรถในทางเดินรถ พ.ศ. 2564 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป กำหนดให้อัตราความเร็วสำหรับการขับรถในทางเดินรถที่อยู่บนทางพิเศษ (ทางพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย) และทางเดินรถนั้นอยู่ในระดับเหนือหรือใต้พื้นดินหรือพื้นน้ำ มีรายละเอียดกฎหมายขับรถเร็วดังต่อไปนี้
- รถยนต์ (ส่วนบุคคล) ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถบรรทุกที่มีน้ำหนักเกิน 2,200 กิโลกรัม หรือรถบรรทุกคนโดยสารที่บรรทุกคนโดยสารเกิน 15 คน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถขณะที่ลากจูงรถอื่น รถยนต์สี่ล้อเล็ก หรือรถยนต์สามล้อ ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถโรงเรียน หรือรถรับส่งนักเรียน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถบรรทุกคนโดยสารที่มีที่นั่งเกิน 7 คน แต่ไม่เกิน 15 คน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ทั้งนี้ หากรถดังกล่าวอยู่ในทางเดินรถที่ได้จัดแบ่งช่องเดินรถในทิศททางเดียวกันไว้ตั้งแต่สามช่องขึ้นไป ให้การขับรถในช่องเดินรถช่องขวาสุด ต้องใช้ความเร็วไม่ต่ำกว่า 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เว้นแต่ในกรณีที่ช่องเดินรถนั้นมีข้อจำกัดด้านการจราจรหรือทัศนวิสัย มีสิ่งกีดขวาง หรือมีเหตุขัดข้องอื่น
ทางพิเศษระดับพื้นดิน
กฎกระทรวงกำหนดอัตราความเร็วสำหรับการขับรถในทางเดินรถ พ.ศ. 2564 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป กำหนดให้อัตราความเร็วสำหรับการขับรถในทางเดินรถที่อยู่บนทางพิเศษ (ทางพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย) และทางเดินรถนั้นอยู่ในระดับพื้นดิน มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
- รถยนต์ (ส่วนบุคคล) ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถบรรทุกที่มีน้ำหนักเกิน 2,200 กิโลกรัม หรือรถบรรทุกคนโดยสารที่บรรทุกคนโดยสารเกิน 15 คน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถขณะที่ลากจูงรถอื่น รถยนต์สี่ล้อเล็ก หรือรถยนต์สามล้อ ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถโรงเรียน หรือรถรับส่งนักเรียน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถบรรทุกคนโดยสารที่มีที่นั่งเกิน 7 คน แต่ไม่เกิน 15 คน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ทั้งนี้ หากรถดังกล่าวอยู่ในทางเดินรถที่ได้จัดแบ่งช่องเดินรถในทิศททางเดียวกันไว้ตั้งแต่สามช่องขึ้นไป ให้การขับรถในช่องเดินรถช่องขวาสุด ต้องใช้ความเร็วไม่ต่ำกว่า 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เว้นแต่ในกรณีที่ช่องเดินรถนั้นมีข้อจำกัดด้านการจราจรหรือทัศนวิสัย มีสิ่งกีดขวาง หรือมีเหตุขัดข้องอื่น
เกิดอุบัติเหตุเพราะขับรถเร็วกว่ากฎหมายขับรถเร็วกำหนด ประกันรับผิดชอบไหม?
การขับรถเร็วกว่าที่กฎหมายขับรถเร็วกำหนดจนเกิดอุบัติเหตุ จะยังได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์ แม้ว่าจะผิดกฎหมายก็ตาม เนื่องจากการขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดจนเกิดอุบัติเหตุไม่ผิดเงื่อนไขความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ทั้งนี้ บริษัทประกันจะยกเว้นความคุ้มครองเฉพาะกรณีการที่ผู้เอาประกันตั้งใจนำรถไปแข่งขันความเร็วจนเกิดอุบัติเหตุ
แม้ว่ากฎกระทรวงที่ประกาศออกมาข้างต้นจะไม่ได้บังคับใช้ในทุกพื้นที่ รวมถึงอาจมีความคาบเกี่ยวกันในแต่ละพื้นที่ ทำให้ผู้ขับขี่อาจเกิดความไม่แน่ใจในความเร็วในการขับขี่ที่ควรต้องใช้สำหรับในแต่ละพื้นที่
ทั้งนี้ ขอให้ผู้ขับขี่ใช้วิธีการสังเกตจากป้ายกำกับหรือเครื่องหมายจราจรในพื้นนั้น ๆ แทน เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายขับรถเร็วให้ถูกต้องที่สุดนั่นเอง
เกิดอุบัติเหตุเพราะขับรถเร็วกว่ากำหนด ประกันแต่ละชั้นคุ้มครองอย่างไรบ้าง
การเกิดอุบัติเหตุจากการขับรถเร็วกว่ากฎหมายกำหนดเป็นเรื่องที่อาจส่งผลต่อการเคลมประกัน โดยเฉพาะในกรณีที่ความประมาทนี้ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ประกันรถยนต์แต่ละชั้นมีเงื่อนไขการคุ้มครองในกรณีดังกล่าวที่แตกต่างกัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วประกันรถยนต์ในประเทศไทยยังคงให้ความคุ้มครองอยู่ในหลายกรณี แม้จะเกิดจากการขับรถเร็วเกินกำหนด แต่มีข้อควรระวังเกี่ยวกับการประเมินจากบริษัทประกัน รวมถึงกรณีที่อาจมีการปฏิเสธการเคลมได้ในบางสถานการณ์
1. ประกันรถยนต์ชั้น 1 : คุ้มครองเต็มรูปแบบแม้เกิดจากการขับรถเร็วเกินกำหนด
- ความคุ้มครอง: ประกันชั้น 1 ยังคงคุ้มครองกรณีเกิดอุบัติเหตุที่เกิดจากการขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด โดยครอบคลุมทั้งค่าซ่อมแซมรถของผู้เอาประกันและรถคู่กรณี รวมถึงค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในกรณีที่มีผู้บาดเจ็บ
- ข้อควรระวัง: บริษัทประกันอาจทำการตรวจสอบอย่างละเอียดว่าอุบัติเหตุเกิดจากการฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ และอาจใช้เหตุผลนี้ในการปรับลดหรือเพิ่มค่าเบี้ยประกันในปีถัดไป
- ความคุ้มครองเพิ่มเติม: คุ้มครองทรัพย์สินภายนอก ความเสียหายที่เกิดกับบุคคลภายนอก และค่ารักษาพยาบาลของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
2. ประกันรถยนต์ชั้น 2+ : คุ้มครองในกรณีที่มีคู่กรณี
- ความคุ้มครอง: ประกันชั้น 2+ จะยังคงคุ้มครองในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากการขับรถเร็วเกินกำหนด โดยคุ้มครองทั้งรถของผู้เอาประกันและรถคู่กรณี เฉพาะกรณีที่มีคู่กรณีเป็นยานพาหนะ และไม่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณี (เช่น ชนสิ่งของหรือเสา)
- ข้อควรระวัง: บริษัทประกันอาจตรวจสอบสถานการณ์ว่าเกิดจากการขับขี่โดยประมาทหรือไม่ และหากพบว่าเกิดจากความประมาท เช่น ขับรถเร็วเกินกำหนด บริษัทอาจพิจารณาปรับเบี้ยประกันในปีถัดไป แต่โดยทั่วไปยังคงคุ้มครองตามเงื่อนไขปกติ
3. ประกันรถยนต์ชั้น 2 : คุ้มครองเฉพาะรถคู่กรณี
- ความคุ้มครอง: ประกันชั้น 2 คุ้มครองเฉพาะรถคู่กรณีและความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก หากเกิดอุบัติเหตุจากการขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด คุณยังสามารถเคลมความเสียหายของคู่กรณีได้
- ข้อควรระวัง: รถของคุณเองจะไม่ครอบคลุมในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากการขับรถเร็ว คุณต้องรับผิดชอบค่าซ่อมแซมรถของตัวเอง
4. ประกันรถยนต์ชั้น 3+ : คุ้มครองเฉพาะกรณีมีคู่กรณี
- ความคุ้มครอง: ประกันชั้น 3+ ราคาประหยัด จะคุ้มครองกรณีที่มีคู่กรณีเป็นยานพาหนะ โดยจะคุ้มครองความเสียหายของรถคู่กรณีและรถของคุณ หากเกิดอุบัติเหตุจากการขับรถเร็วเกินกำหนด
- ข้อควรระวัง: หากไม่มีคู่กรณี เช่น ชนสิ่งกีดขวาง ประกันชั้น 3+ จะไม่คุ้มครอง นอกจากนี้ หากพบว่าคุณเป็นฝ่ายผิดและขับรถโดยประมาท บริษัทประกันอาจพิจารณาปรับเบี้ยประกันในปีถัดไป
5. ประกันรถยนต์ชั้น 3 : คุ้มครองเฉพาะคู่กรณี
- ความคุ้มครอง: ประกันภัยชั้น 3 จะคุ้มครองเฉพาะความเสียหายของรถคู่กรณี หากคุณเกิดอุบัติเหตุจากการขับรถเร็วกว่าที่กฎหมายกำหนด รถของคู่กรณีจะได้รับความคุ้มครองตามปกติ
- ข้อควรระวัง: รถของคุณจะไม่คุ้มครองค่าเสียหาย คุณจะต้องรับผิดชอบค่าซ่อมแซมเองทั้งหมด
ในทุกกรณี บริษัทประกันยังคงมีสิทธิ์ตรวจสอบพฤติกรรมการขับขี่ที่เป็นสาเหตุของอุบัติเหตุ และหากเป็นการขับขี่โดยประมาท เช่น การขับรถเร็วเกินกำหนด อาจมีผลต่อเบี้ยประกันในอนาคต
แรบบิท แคร์ ศูนย์รวมประกันรถยนต์ออนไลน์จ่ากทุกบริษัทชั้นนำที่มีให้เลือกครบที่สุด พร้อมสิทธิพิเศษและส่วนลดที่การันตีว่าถูกกว่าซื้อตรงด้วยตัวเองกับบริษัทประกันภัย ไม่ว่าจะเป็นผ่อนเบี้ยประกัน 0% ด้วยเงินสดหรือบัตรเครดิต นานสูงสุด 10 เดือน ส่วนลดสูงสุด 70% หรือบริการเสริมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นบริการรถเช่าในระหว่างซ่อม นานสูงสุด 3 วัน หรือค่าชดเชยการเดินทางสูงสุด 500 บาท โทรเลย 1438
บทความเกี่ยวกับกฏหมายจราจร
สรุป
แม้ว่ากฎกระทรวงที่ประกาศออกมาข้างต้นจะไม่ได้บังคับใช้ในทุกพื้นที่ รวมถึงอาจมีความคาบเกี่ยวกันในแต่ละพื้นที่ ทำให้ผู้ขับขี่อาจเกิดความไม่แน่ใจในความเร็วในการขับขี่ที่ควรต้องใช้สำหรับในแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้ ขอให้ผู้ขับขี่ใช้วิธีการสังเกตจากป้ายกำกับหรือเครื่องหมายจราจรในพื้นนั้น ๆ แทน เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายขับรถเร็วให้ถูกต้องที่สุดนั่นเอง
Thirakan Thongseenual เป็นนักเขียนที่มีประสบการณ์มากกว่า 3 ปี ที่ RabbitCare และ Asia Direct โดยมีความชำนาญในประกันรถยนต์ เน้นเขียนบทความที่เผยแพร่บน Blog และมีความเชี่ยวชาญด้าน SEO กว่า 4 ปี ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอได้ใช้ในการสร้างความรู้และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของ RabbitCare อย่างมีประสิทธิภาพ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ปริญญาตรี สาขา Information Technology