7 เช็คลิสต์ ตรวจสภาพรถง่ายๆ ก่อนเดินทางไกลเที่ยวสงกรานต์
ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการ และเทศกาลสงกรานต์ก็ใกล้เข้ามาแล้ว หลายๆ คนคงกำลังวางแผนเที่ยวช่วงวันหยุดยาว หรือเตรียมวางแผนเดินทางไกลกลับบ้านไปพบปะญาติพี่น้อง
แต่คงจะไม่ดีแน่ๆ ถ้าเจ้ารถยนต์คู่ใจ ดันมาเกิดปัญหาขึ้นในช่วงที่จะเดินทาง เพราะนอกจากจะไปไม่ถึงจุดหมายเเล้ว ยังเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุในระหว่างทางเพิ่มขึ้นอีกด้วย แรบบิท แคร์ สรุปรวม 7 จุดสำคัญในรถยนต์ที่สามารถตรวจเช็กด้วยตัวเองได้ง่ายๆ ก่อนออกเดินทางไกลเที่ยวสงกรานต์มาฝากกัน
1. รอยรั่วซึมรอบตัวรถ
การรั่วซึมของของเหลวภายจากในระบบรถยนต์ ไม่ว่าจะรั่วไหลออกมาภายนอกตัวรถ หรือไหลซึมให้เห็นภายในห้องเครื่องยนต์ นับเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนความผิดปกติของชิ้นส่วนหรืออะไหล่ต่างๆ ภายในรถยนต์ หากไม่รีบแก้ไขอาการการรั่วซึมที่เกิดเพียงเล็กน้อย ของเหลวที่รั่วไหลออกมาอย่างไม่ถูกที่ถูกทางอาจขยายความเสียหายไปยังส่วนอื่นๆ ของเครื่องยนต์ได้
2.1 สิ่งที่ต้องเช็กเมื่อตรวจรอยรั่วซึมของรถด้วยตัวเอง
ตรวจสอบสภาพความพร้อมของชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ ภายในรถยนต์จากประเภทของเหลวที่อาจรั่วซึมออกมาให้เห็นได้จากบริเวณภายในห้องโดยสาร ใต้ท้องรถ หรือในห้องเครื่องยนต์ เช่น น้ำมันเครื่อง, น้ำมันเพาเวอร์จากพวงมาลัย, น้ำมันเบรก, น้ำมันเกียร์, น้ำมันคลัทช์, น้ำหม้อน้ำ, น้ำฉีดกระจก, น้ำทิ้งระบบหล่อเย็น หรือน้ำกลั่นแบตเตอรี่
2.2 ขั้นตอนในการตรวจรอยรั่วซึมของรถด้วยตัวเอง
- ตรวจสภาพรถโดยรวมเพื่อหารอยรั่วซึม โดยเริ่มจากก้มมองที่บริเวณใต้ท้องรถ บริเวณล้อรถ บริเวณภายในห้องโดยสาร บริเวณแผงควบคุม (คอนโซล) และบริเวณภายในห้องเครื่องยนต์
- ตรวจสอบประเภทของเหลวที่รั่วซึม โดยหากพบว่ามีร่องรอยของการรั่วซึม มีหยดน้ำหรือของเหลวรั่วซึม ใหสังเกตสภาพหรือสีของเหลวนั้นๆ ดู ตัวอย่างเช่น
- หยดน้ำในห้องโดยสาร – คาดว่ามีสาเหตุมาจากท่อน้ำทิ้งส่วนคอยล์เย็นมีปัญหา หรือเกิดปัญหากับระบบแอร์รถยนต์
- ของเหลวสีแดง – คาดว่ามีปัญหาบริเวณพวงมาลัยพาวเวอร์
- ของเหลวสีเขียว – คาดว่าเกิดปัญหาบริเวณระบบหล่อเย็น
- ของเหลวสีดำ – คาดว่าเป็นรอยรั่วของน้ำมันเครื่องรถยนต์
2. ยางรถยนต์
ยางรถยนต์เป็นอีกส่วนประกอบหนึ่งที่มักจะสึกหรอเมื่อมีการใช้งานรถยนต์อย่างต่อเนื่อง ทำให้ยางรถยนต์มีโอกาสชำรุดได้หากต้องเดินทางไกล เพราะฉะนั้น อย่าลืมเช็กความดันลมยาง และควรเพิ่มความดันลมยางให้มากขึ้น 3-5 ปอนด์/ตารางนิ้ว เพื่อให้เหมาะสมกับน้ำหนักของผู้โดยสาร, สัมภาระ รวมถึงการเสียดสีของหน้ายางกับผิวถนนด้วย
2.1 สิ่งที่ต้องเช็กเมื่อตรวจยางรถยนต์ด้วยตัวเอง
ตรวจสอบสภาพความสมบูรณ์โดยรวม และวันหมดอายุของยางรถยนต์ ซึ่งต้องไม่มีลักษณะดอกยางเสื่อม แก้มยางฉีกขาด หน้ายางมีรอยแตกลายงา ยางปูดบวมผิดรูปทรง เนื้อยางแข็งกระด้างผิดปกติ
2.2 ขั้นตอนในการตรวจยางรถยนต์ด้วยตัวเอง
- ตรวจสภาพโดยรวมของยางรถยนต์ทั้ง 4 ล้อ ด้วยการสังเกตด้วยตาเปล่า ไม่ว่าจะเป็นลักษณะผิดปกติของยางรถยนต์จากอาการแบน บวม หรือรอยฉีกขาด
- ตรวจสอบแรงดันลมยาง ด้วยเกจวัดลมยาง เพียงหมุนจุกปิดลมยางออก และเสียบเกจวัดลมยางค้างไว้สักครู่เพื่อรออ่านค่าแรงดันจากหน้าปัดแสดงผล (ทั้งแบบเข็มและแบบดิจิทัล) โดยส่วนใหญ่จะมีค่าความดันอยู่ที่ 28-32 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI)
- ตรวจสอบลึกของดอกยาง โดยอุปกรณ์วัดความลึก หรือสังเกตได้ด้วยตาเปล่า หากเนื้อยางใช้งานสัมผัสถนนไปจนบางลง และมีระดับความหนาใกล้เคียงกับช่องว่างหรือร่องยาง หากมีลักษณะแบบนี้ควรเปลี่ยนชุดยางรถยนต์ใหม่
- ตรวจสอบยางอะไหล่ อุปกรณ์ช่วยเหลือ และจุกปิดยางให้พร้อมใช้งาน
3. ไฟส่องสว่างและสัญญาณไฟรถยนต์
ไฟรถยนต์สำคัญมาก โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ต้องขับรถตอนกลางคืน หากไม่มีแสงจากไฟรถยนต์ที่สว่างมากพอก็อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ทั้งนี้รวมถึงไฟบริเวณหน้าปัดรถยนต์และไฟภายในห้องโดยสารด้วย ควรตรวจเช็กสภาพของไฟให้พร้อมใช้ก่อนที่จะเดินทาง หากเจอสิ่งผิดปกติจะได้แก้ไขได้ทันเวลา
3.1 สิ่งที่ต้องเช็กเมื่อตรวจไฟและสัญญาณไฟรถยนต์ด้วยตัวเอง
ตรวจสอบการทำงานของระบบไฟส่องสว่างและระบบไฟเตือนต่างๆ เช่น ไฟหน้า, ไฟหรี่,ไฟสูง,ไฟต่ำ, ไฟขอทาง, ไฟเลี้ยว, ไฟฉุกเฉิน, ไฟส่องป้ายทะเบียน, ไฟถอยหลัง,ไฟตัดหมอก และไฟเบรค โดยโคมไฟต้องไม่แตกร้าว ไม่มีอาการการทำงานผิดปกติ เช่น ไม่สว่าง, สว่างน้อยกว่าปกติ, สว่างไม่สม่ำเสมอต่อเนื่อง หรือกระพริบถี่ผิดปกติ
3.2 ขั้นตอนในการตรวจตรวจไฟและสัญญาณไฟรถยนต์ด้วยตัวเอง
- ตรวจสภาพโคมไฟด้วยตาเปล่า โดยโคมไฟต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ พร้อมใช้งาน
- ตรวจสีของแสงและการติดตั้ง โดยตำแหน่งการติดตั้ง จำนวนและสีต้องถูกต้องตามกฏหมาย
- ตรวจการทำงานโดยการเปิดสวิตช์ควบคุม เริ่มต้นจากไล่เปิดไฟหน้า จากนั้นเปลื่ยนเป็นไฟสูงสลับกัน รวมถึงเช็กชุดไฟเลี้ยวทุกดวง ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ไปจนถึงไฟเบรค และไฟถอยหลัง
- ตรวจสอบทิศทางและความเข้มของแสง จากการใช้งานจริงในสภาพแวดล้อมที่มีแสงมาก หรือช่วงที่มีแสงน้อย
4. ระบบเบรกและน้ำมันคลัตช์
ระบบเบรกเป็นสิ่งที่ต้องเช็กให้แน่ใจเลย เพราะถ้าระบบเบรกมีปัญหา นั่นอาจหมายถึงอันตรายที่จะเกิดกับคนบนรถยนต์ โดยเฉพาะคนที่ต้องการใช้งานรถยนต์ในการเดินทางไกลยิ่งต้องเช็กให้ละเอียด
วิธีการเช็กระบบเบรกเบื้องต้นทำได้โดยการสตาร์ทรถและเข้าเกียร์ D แล้วลองเหยียบที่แป้นเบรกเพื่อดูว่ามีการเบรกอยู่ไหม และมีการคืนตัวเป็นยังไง กระตุกหรือไม่ หากพบสิ่งผิดปกติให้นำรถยนต์เข้าศูนย์เพื่อทำการซ่อมแซมจะดีกว่า
4.1 สิ่งที่ต้องเช็กเมื่อตรวจระบบเบรกด้วยตัวเอง
ตรวจสอบการทำงานของระบบเบรกโดยต้องไม่มีอาการผิดปกติในระหว่างการใช้งานเบรก เช่น เสียงผิดปกติ, รถส่ายไปมา, พวงมาลัยสั่นหรือหมุน, รถกระตุก, ปัญหารั่วซึมบริเวณล้อ หรือใต้ท้องรถ, เบรกแข็งหรือจมผิดปกติ
4.2 ขั้นตอนในการตรวจระบบเบรกด้วยตัวเอง
- ตรวจน้ำมันเบรก ต้องมีสภาพใส และมีระดับตามปริมาณที่กำหนด ไม่รั่วซึมบริเวณใต้ท้องรถหรือตามล้อรถยนต์
- ตรวจหม้อลมเบรก (Brake Booster) เพื่อเช็กความหนักเบาในการใช้แรงเหยียบเบรก ทั้งในระหว่างดับเครื่องยนต์และติดเครื่อง
- เริ่มจากเหยียบเบรกจนสุด 3-5 ครั้ง และเหยียบเบรกค้างไว้ขณะดับเครื่องยนต์
- ติดเครื่องยนต์โดยที่ยังเหยีบบเบรกค้างไว้อยู่ ระหว่างนี้เบรกควรจะจมลงไปเล็กน้อย
- ดับเครื่องและเหยียบเบรคคาไว้อย่างน้อย 30 วินาที ระดับแป้นเบรกต้องไม่เปลี่ยนแปลง
- ปล่อยเท้าจากเบรคแล้วติดเครื่องยนต์อย่างน้อย 1 นาที แล้วดับเครื่อง เหยียบเบรคซ้ำหลายๆ ครั้ง โดยในแต่ละครั้งจะรู้สึกแป้นเบรคหนัก และยกตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ต้องใช้แรงเหยียบมากขึ้น ถือว่าระบบสูญญากาศในหม้อลมยังทำงานได้ดีตามปกติ
5. น้ำกลั่นและแบตเตอรี่
น้ำกลั่นเป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำงานของเครื่องยนต์ ควรเติมน้ำกลั่นให้พอดีกับระดับที่กำหนด และเตรียมติดรถไปด้วยเผื่อเติมในอนาคตหรือยามฉุกเฉิน ส่วนแบตเตอรี่ก็เป็นแหล่งพลังงานของระบบไฟฟ้าต่างๆ ภายในรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเสียง ไฟรถยนต์ ระบบแอร์รถยนต์ ล้วนแต่พึ่งพาพลังงานจากแบตเตอรี่ จึงควรตรวจเช็กบริเวณขั้วต่อสายไฟว่ายังมีสภาพดีหรือไม่ และอายุการใช้งานแบตเตอรี่นานแค่ไหน ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนหรือยัง
5.1 สิ่งที่ต้องเช็กเมื่อตรวจน้ำกลั่นและแบตเตอรี่ด้วยตัวเอง
ตรวจสอบประสิทธิภาพในการเก็บไฟ ปริมาณน้ำกลั่น ตลอดจนอายุการใช้งานของแบตเตอรี่โดยแบตเตอรี่ที่เสื่อมประสิทธิภาพอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เครื่องยนต์เริ่มติดเครื่องยาก, ไฟหน้าสว่างน้อยลง, ระบบกระจกไฟฟ้าทำงานช้าลง รวมถึงระบบไฟฟ้าในรถยนต์ทำงานผิดปกติ
5.2 ขั้นตอนในการตรวจน้ำกลั่นและแบตเตอรี่ด้วยตัวเอง
- ตรวจสภาพแบตเตอรี่โดยทำความสะอาดคราบสกปรก หรือฝุ่นผงบนตัวแบตเตอรี่ด้วยผ้าชุบน้ำยาเช็ดกระจก หรือผงฟูผสมน้ำ
- ตรวจระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ผ่านตาแมว (Indicator Sign) ที่แสดงบนตัวแบตเตอรี่ หรือเปิดช่องเซลล์แบตเตอรี่ (ฝาพลาสติกด้านบนของแบตเตอรี่) และใช้ไฟฉายส่องเพื่อดูปริมาณน้ำกลั่นที่เหลืออยู่
- ตรวจอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ โดยแบตเตอรี่ทั่วไปจะมีอายุการใช้งานประมาณ 2 ปี อายุการใช้งานที่แนะนำจะขึ้นอยู่กับประเภทแบตเตอรี่ เช่น แบตเตอรี่แบบแห้ง แบตเตอรี่กึ่งแห้ง หรือแบตเตอรี่แบบน้ำ
6. สายพานรถยนต์
สายพานมีหน้าที่ถ่ายทอดกำลังที่ได้จากเครื่องยนต์ไปยังชิ้นส่วน และอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถยนต์ เพื่อร่วมกันทำงานและขับเคลื่อนรถยนต์ การตรวจสายพานรถยนต์ด้วยตัวเองทำได้ง่ายๆ เริ่มจากการมองสำรวจร่องรอยชำรุด และเช็กความตึงของสายพานด้วยการใช้นิ้วมือกดที่ช่วงกลางสายพาน หากลองกดลงไปแล้วสายพานยังมีความตึง คือกดลงไปได้ไม่เกิน 10 มม. แสดงว่าสายพานยังอยู่ในสภาพดี สามารถใช้งานได้ตามปกติ แต่ถ้ากดลงไปได้มากกว่านั้น แนะนำให้เปลี่ยนสายพานก่อนดีกว่า
6.1 สิ่งที่ต้องเช็กเมื่อตรวจสายพานรถยนต์ด้วยตัวเอง
ตรวจสอบสภาพสายพานต่างๆ ในระบบเครื่องยนต์ ไม่ว่าจะเป็นสายพานลิ่ม, สายพานแบน หรือสายพานฟันเฟื่อง หากสายพานเสื่อมอายุการใช้งาน จะสังเกตได้จากการลักษณะกรอบแตก ลายงา ขาดบิ่น หรือมีเสียงผิดปกติจากการทำงานของเครื่องยนต์
6.2 ขั้นตอนในการตรวจสายพานรถยนต์ด้วยตัวเอง
- ตรวจสอบสภาพโดยรวมของสายพาน ด้วยการสังเกตได้ด้วยตาเปล่าโดยไม่ต้องถอดประกอบชิ้นส่วนใดใด หากพบว่าสายพานฉีกขาด ควรเปลี่ยนทันที
- ตรวจสอบความตึงของสายพาน ด้วยการใช้มือกดลงไปบนเส้นสายพาน หากสายพานหย่อนมากเกินไป หรือมีลักษณะแข็ง กรอบแตก ไม่ยืดหยุ่น ควรต้องเปลี่ยนสายพานเช่นกัน
- ตรวจอายุการใช้งานของสายพาน จากในคู่มือประจำรถ และบันทึกการตรวจสภาพรถครั้งล่าสุด โดยสายพานส่วนใหญ่จะมีรอบเปลี่ยนเมื่อครบกำหนดระยะทางอยู่ที่ 100,000 กิโลเมตร
7. ประกันรถยนต์
ช่วงสงกรานต์แบบนี้ สื่อมักจะเรียกว่าช่วง 7 วันอันตราย โดยส่วนใหญ่แล้วก็มาจากอุบัติเหตุบนท้องถนนนี่แหละ เพราะฉะนั้น การใช้รถใช้ถนนจึงมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง การขับรถอย่างไม่ประมาทและการเมาไม่ขับ ก็อาจไม่ช่วยให้อุ่นใจได้มากเท่าที่ควร
ขอแนะนำให้เช็กประกันรถยนต์ พ.ร.บ. ให้ยังพร้อมใช้งาน รวมถึงมองหาประกันรถยนต์เพิ่มในช่วงสงกรานต์ เพราะเป็นช่วงที่บริษัทประกันภัยหลายๆ เจ้า ทยอยออกโปรโมชันดีๆ มาให้คนที่ใช้รถยนต์ในช่วงวันหยุดยาวนี้ได้เลือกประกันรถยนต์ที่มีข้อเสนอและเบี้ยประกันที่น่าสนใจ ทำให้ได้รับความคุ้มครองมารองรับให้อุ่นใจในราคาที่สบายกระเป๋า
บทสรุปส่งท้าย
แรบบิท แคร์ รวบรวมประกันรถออนไลน์จากทุกบริษัทชั้นมาให้ได้เลือกเปรียบเทียบครบทุกความต้องการ ในที่เดียว พร้อมรับส่วนลดสูงสุด 70% พร้อมบริการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ และบริการช่วยเหลือในทุกเส้นทางการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นบริการช่วยเหลือและให้ข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์ Care Center โทร 1438 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือบริการแจ้งเคลมหรือประสานแจ้งเหตุฉุกเฉินผ่าน LINE Official Account (@rabbitcare)
รับสิทธิพิเศษเพิ่มความแคร์รับสงกรานต์แบบนี้ได้ เฉพาะลูกค้าที่เลือกซื้อประกันรถยนต์ กับ แรบบิท แคร์ ตั้งเเต่วันนี้เป็นต้นไปเท่านั้น! เปรียบเทียบประกันกับแรบบิท แคร์ ได้เลยที่ Rabbit Care หรือโทร 1438
Tawan มีประสบการณ์สร้างสรรค์ผลงานออนไลน์ 2 ปี เขียนด้านยานยนต์ ประกันยานยนต์ที่ Rabbit Care และ Asia Direct
มีใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันชีวิตและนายหน้าประกันวินาศภัย มีความเชี่ยวชาญด้านประกันรถยนต์และประกันชีวิต