อยากทำเลสิก ใช้ประกันสุขภาพเคลมได้ไหม?
การทำเลสิกนั้น เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในทางเลือกของคนสายตาสั้น ที่จะช่วยให้กลับมามองเห็นแบบปกติได้! ว่าแต่มีอะไรที่เราต้องรู้นะ ? แล้วการทำเลสิก เราสามารถใช้ประกันสุขภาพ หรือประกันสังคมในการเบิกเคลมได้ไหม ? ไปหาคำตอบกันดีกว่า!
อยากทำเลสิก ใช้ประกันสุขภาพเคลมได้ไหม?
รู้จักกันก่อน กับการทำเลสิก
เลสิก คือ วิธีการผ่าตัดรักษาภาวะสายตาผิดปกติ ทั้ง สายตาสั้น, สายตายาวโดยกำเนิด สายตาเอียง และสายตายาวตามอายุ แบบถาวร โดยใช้หลักการแยกชั้นกระจกตา ร่วมกับการใช้เครื่อง Excimer Laser ในการปรับแต่งความโค้งกระจกตาให้เหมาะสม ทำให้ผู้เข้ารับการรักษาสามารถใช้สายตาได้เหมือนคนปกติหลังจากนั้นแพทย์จะปิดกระจกตาที่แยกชั้นพับไว้กลับที่เดิม
ซึ่งการรักษาแบบนี้ไม่ต้องกังวลว่า ตัวเลเซอร์จะทำร้ายลูกตาแต่อย่างใด เพราะเลเซอร์ความยาวคลื่นสั้น เป็นแสงเลเซอร์แบบเย็น ซึ่งจะทำปฏิกิริยาเฉพาะพื้นผิวที่สัมผัสเท่านั้น ไม่สามารถทะลุผ่าน หรือทำร้ายกระจกตาเข้าไปในลูกตาได้
การทำการรักษาด้วยวิธีเลสิกไม่ได้มีข้อกำหนดว่าต้องหยุดพักฟื้นกี่วัน ส่วนการใช้สายตาก็สามารถทำได้เป็นปกติ แต่ในกรณีคนไข้ที่ต้องใช้สายตาในการทำงานมากๆ ทางแพทย์ อาจจะให้คำแนะนำให้ผู้ป่วยเสมอ เช่น พักสายตาทุกหนึ่งชั่วโมง ด้วยการหลับตานิ่งๆ 1–2 นาที หรืออาจจะเปลี่ยนอริยาบทไปทำอย่างอื่นชั่วคราว
ถึงแม้ว่าการทำเลสิจะสะดวกสบายก็จริง แต่พื้นฐานแล้ว มีข้อจำกัดหลายอย่าง ซึ่งคุณจำเป็นต้องตรวจสอบก่อนทำเสมอ เช่น
- ต้องมีอายุเกิน 18 ปี สำหรับคนไข้ที่อายุไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ ต้องมีผู้ปกคริงมาด้วยในวันที่เข้ารับการตรวจและผ่าตัด
- มีค่าสายตาคงที่ เกิน 1 ปี (เปลี่ยนไม่เกิน 50)
- ไม่อยู่ในภาวะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- ไม่มีโรคประจำตัว เช่น โรครูมาตอยด์ เอสแอลอี หรือเป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ เป็นต้น
- ไม่มีโรคทางตาบางโรคที่เป็นข้อห้าม เช่น โรคกระจกตาโก่ง โรคจอตาเสื่อม โดยทางจักษุแพทย์จะประเมินอย่างละเอียดก่อนทำเลสิกทุกครั้ง
- ไม่เป็นโรคทางร่างกายที่มีผลต่อการหายของแผล เช่น โรค SLE ,โรค Sjogren’s หรือโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการขาดภูมิคุ้มกัน
ทำเลสิก ไม่ได้มีแค่แบบเดียว
สำหรับการทำเลสิกนั้น ยังแบ่งออกได้หลายเทคนิค ซึ่งแต่ละเทคนิคเอง ก็จะผกผันไปตามราคาของการทำอีกด้วย โดยในปัจจุบัน มีรายละเอียดดังนี้
ReLEx ,SMILE เป็นการแยกเนื้อกระจกตาตามค่าสายตาของผู้ป่วย โดยไม่มีการเปิดฝากระจกตา ข้อดีคือแผลเล็ก กระตุ้นให้เกิดตาแห้งน้อยสุด และแสงกระจายน้อยเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอื่น ราคาประมาณ 80,000 – 135,000 บาท
Femto LASIK หรือเลสิกไร้ใบมีด เป็นการใช้เลเซอร์ 2 ตัว ตัวแรกเ ปิดฝากระจกตา และตัวที่ 2 เจียระไนค่าความโค้งกระจกตา ข้อดี ในช่วงของการเปิดฝากระจกตามีความแม่นยำ ปลอดภัยสูง ราคาประมาณ 50,000 – 115,000 บาท
Microkeratome LASIK หรือ ปัจจุบันใช้เป็น SBK ที่มีความปลอดภัยสูงมาก ข้อดีคือราคาย่อมเยา ราคาประมาณ 35,000 – 62,000 บาท
PRK เหมาะกับผู้ป่วยไม่สามารถทำเลเซอร์สายตาด้วยวิธีอื่นได้ เช่น ความหนากระจกตาไม่พอ หรือตาเล็กไม่สามารถใส่เครื่องมือในการทำเลเซอร์ด้วยเทคนิคอื่นได้ หรือในบางอาชีพ เช่น นักบิน ราคาประมาณ 30,000 – 79,500 บาท
มีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกไหมนะ ?
โดยทั่วไปแล้ว การทำเลสิกจะมีค่าใช้จ่ายต่างๆ นอกจากการเลเซอร์ และการผ่าตัด ดังนี้
ค่าตรวจสภาพตาโดยละเอียด
ซึ่งจะต้องได้รับการตรวจอย่างละเอียด เป็นสิบๆ ขั้นตอน ใช้เวลา 2 – 3 ชั่วโมง.และต้องทำการนัดหมายล่วงหน้าก่อนจึงเข้ามาตรวจได้ และหลายแห่งจะให้คุณทราบผลการตรวจได้ทันทีว่า สามารถแก้ไขสายตาได้หรือไม่ ภายในวันเดียวกันเ
ค่าใช้จ่ายในการทำผ่าตัด
ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ หลายๆโรงพยาบาลจะให้คุณเลือกได้ว่า จะจ่ายเป็นเงินสด หรือใช้บัตรเครดิต ซึ่งแต่ละแห่งก็จะมีโปรโมชั่นไม่เหมือนกัน บางแห่งมีบริการให้คุณผ่อนค่าทำเลสิกได้นานถึง 10 เดือน หรือบางแห่งให้ส่วนลดพิเศษ ถ้าคุณเลือกจ่ายเงินสด
ค่าดูแลหลังการผ่าตัด
ถึงแม้การทำเลสิก หลายแห่งไม่จำเป้นต้องนอนโณงพยาบาล และหลายแห่งมีบริการตรวจฟรีเป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อเช็กสภาพตาของคุณหลังทำเลสิก แต่อาจจะมีค่ายารักษา หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
น่าสนใจจัง แบบนี้ใช้ประกันสุขภาพเบิกเคลมได้ไหมนะ?
จริงอยู่ที่การทำเลสิก คือการรักษาภาวสะสายตาผิดปกติต่างๆ แต่ไม่ถูกนับเป็นการการรักษาโรคตา เช่น โรคต้อกระจก โรคต้อหิน เป็นต้น ทำให้ไม่สามารถใช้สิทธิ์ประกันสังคม หรือประกันสุขภาพได้ ทั้งค่าใช้จ่ายในการตรวจประเมินสายตา และการทำเลสิก
แต่ก็ไม่ต้องตกใจไป เพราะทุกวันนี้ อย่างที่เราได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว หลายโรงพยาบาลมักจะมีโปรโมชั่นในการทำเลสิกอยู่ บางแห่งให้คุณผ่อนได้ 0% ยาวนานถึง 10 เดือน หรือบางแห่งให้ส่วนลดพิเศษตามฤดูกาลอีกด้วย
ไม่ใช่แค่เลสิก แต่มีการรักษาบางอย่างที่ประกันสุขภาพไม่ครอบคลุม
โดยแต่ละกรมธรรม์ อาจจะให้รายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป แต่หลังๆ แล้ว จะมีข้อยกเว้นที่น่าสนใจ และเราควรตรวจสอบก่อนทำประกันสุขภาพ
General Exclusion คือ ข้อยกเว้นทั่วไปที่ประกันไม่คุ้มครอง เช่น
- โรคเรื้อรังที่เป็นมาแต่กำเนิด โรคทางพันธุกรรม
- การตรวจรักษาเพื่อความงาม
- โรคแทรกซ้อนที่เกิดจากการตั้งครรภ์ แท้งบุตร ทำแท้ง
- โรคเอดส์ การโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ทำเลสิคสายตา หรือค่าใช้จ่ายสำหรับอุปกรณ์เพื่อการมองเห็น
- การบำบัดจากการใช้สารเสพติดให้โทษ บุหรี่ สุรา
- โรคทางจิตเวช หรือมีความผิดปกติทางบุคลิกภาพ สมาธิสั้น เครียด หรือความวิตกกังวล
- การตรวจรักษาโรคที่อยู่ในระหว่างการทดลอง
- การฉีดวัคซีนป้องกันโรคหรือป้องกันบาดทะยัก หลังจากถูกสัตว์ทำร้าย
- การตรวจรักษากับแพทย์ทางเลือก
- การพยายามฆ่าตัวตาย ทำร้ายตัวเอง รวมถึงอุบัติเหตุจากการกิน ดื่ม หรือฉีดยา สารพิษเข้าร่างกายเกินกว่าที่แพทย์สั่ง
- การบาดเจ็บที่เกิดจากการเมาสุรา หรือเสพสารเสพติด
- บาดเจ็บ เพราะร่วมทะเลาะวิวาท
- บาดเจ็บจากการก่ออาชญากรรม และหลบหนีจากการจับกุม
Personal Exclusion คือ ข้อยกเว้นเฉพาะรายบุคคล เช่น ในคนที่มีประวัติสุขภาพมาก่อนทำประกัน อาจจะมีการยกเว้นการรับประกัน หรือเงื่อนไขในบางโรค
สรุปแล้ว ประกันสุขภาพเป็นสัญญาที่จะให้ความคุ้มครองเรื่องค่ารักษาพยาบาล แต่ก็ยังมีการยกเว้น อาการเจ็บป่วย หกรือรูปแบบการรักษาอยู่บ้าง ดังนั้น เราจึงควรศีกษารายละเอียดของสัญญาให้ดี เพื่อที่จะได้วางแผนการเงิน และวางแผนการทำประกันสุขภาพได้อย่างครอบคลุม
ถึงแม้ว่าการทำเลสิกจะไม่สามารถเบิกเคลมได้ แต่การทำประกันสุขภาพเอง ก็ยังสามารถช่วยแบ่งเบาภาระด้านสุขภาพได้ไม่มาก ก็น้อย หากใครกำลังมองหา ประกันสุขภาพดีๆ ต้องที่นี้เลย Rabbit Care พร้อมบริการเปรียบเทียบประกันสุขภาพให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ ครอบคลุม คลิกเลย!
นักเขียนรุ่นไฮบริด เขียนบทความด้านการบริหารเงินส่วนบุคคลและการลงทุนต่าง ๆ กว่า 7 ปี เริ่มต้นที่งานเขียนที่ Rabbit Finance จนย้ายมาที่ Rabbit Care และ Asia Direct