
บัตรเครดิตเติมน้ำมัน (Fleet Card) คืออะไร ? มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ?
สามเหลี่ยมทางการเงินหรือพีระมิดทางการเงิน สิ่งที่ผู้ที่ต้องการวางแผนการเงินและอนาคตในระยะยาวต้องรู้จักเอาไว้ เพราะเพียงรู้จักเจ้าสามเหลี่ยมทางการเงินนี้ก็สามารถเปลี่ยนคุณภาพชีวิตของเราในวันข้างหน้าได้ สามเหลี่ยมการเงินนี้คืออะไร ? มีความสำคัญอย่างไร มีส่วนประกอบอะไร เหมาะกับใคร แรบบิท แคร์ รวมข้อมูลสรุปมาให้ รายละเอียดของผู้ช่วยวางแผนด้านการเงินที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล!
สามเหลี่ยมทางการเงิน หรือที่บางคนอาจคุ้นชินกับชื่อพีระมิดทางการเงินนั้น คือ รูปแบบหรือวิธีการในการบริหารจัดการเงิน การใช้จ่ายเงิน และการเก็บเงินเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพที่สูงที่สุด ซึ่งในการวางแผนนั้นก็จะมีรูปแบบที่ถูกกำหนดไว้เป็นขั้นต่าง ๆ โดยเริ่มทำจากในส่วนของฐานหรือสิ่งที่เรียกว่าการจัดสรรการเงินในส่วนของฐานพีระมิด ก่อนจะไล่ระดับขยับสเตปไต่ขึ้นไปในขั้นที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยสามเหลี่ยมทางการเงินนั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ หรือ 3 ระดับขั้น ด้วยกัน ซึ่งจะกล่าวอธิบายให้โดยละเอียดในหัวข้อถัดไป
อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่าสามเหลี่ยมทางการเงินนั้นจะประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ๆ ด้วยกัน เพื่อเป็นการแบ่งลำดับขั้นและจัดสรรบริหารการเงินของเราได้อย่างมีระเบียบแบบแผน โดยส่วนประกอบทั้ง 3 ส่วนของสามเหลี่ยมทางการเงินก็จะมีดังนี้
ส่วนนี้ของสามเหลี่ยมทางการเงินนั้นนับเป็นจุดเริ่มต้น หรืออาจอธิบายให้มองเห็นภาพอย่างชัดเจนได้ง่าย ๆ ว่าคือส่วนฐานของพีระมิด และแม้จะเป็นส่วนแรกหรือสิ่งที่เหมือนจะเป็นพื้นฐานแต่ความจริงแล้วการวางแผนทางการเงินในส่วนนี้นั้นถือว่าสำคัญมาก ทุกคนควรที่จะเตรียมความพร้อมในส่วนนี้อยู่เสมอ เหตุผลก็เพราะหากการวางแผนและการจัดการทางการเงินในส่วนนี้ล้มเหลวก็จะส่งผลกระทบทำให้ส่วนอื่น ๆ ล้มเหลวไปด้วย เช่นเดียวกับการสร้างพีระมิดซึ่งหากฐานไม่มั่นคงแข็งแรงและถล่มล้มลง ส่วนอื่น ๆ ที่สูงขึ้นไปก็ย่อมพังลงมาไม่ต่างกันนั่นเอง
สำหรับการจัดการทางการเงินในส่วนนี้ คือการมีเงินก้อนแรก ซึ่งเป็นเงินสำหรับสำรองฉุกเฉินจำนวน 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน หรืออาจเรียกให้เข้าใจง่าย ๆ ว่าจะต้องมีเงินเก็บสำรองใช้ฉุกเฉินสำหรับการใช้จ่ายรายเดือนล่วงหน้าอย่างน้อย 3-6 เดือนเป็นอย่างต่ำ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นหลักประกันสภาพคล่องให้กับตัวเองหรือเก็บไว้ลงทุนระยะยาวในภายภาคหน้า อีกทั้งเงินก้อนดังกล่าวอาจเป็นสิ่งที่จะช่วยเราได้ในวันที่เดือดร้อนหรืออับจนหนทางที่สุดได้อีกด้วย
สำหรับการบริหารและจัดสรรเงินในส่วนนี้ของสามเหลี่ยมทางการเงินนั้น ขอแนะนำว่าให้ทำการฝากธนาคารหรือลงทุนในกองทุนรวมที่มีสภาพคล่องสูง และทำการจัดสรรโดย
นอกจากนี้ยังควรที่จะมีการบริหารจัดการความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เช่น การซื้อประกันสุขภาพ ประกันรถยนต์ ประกันอุบัติเหตุ หรือจะเลือกซื้อประกันออมทรัพย์ กับ แรบบิท แคร์ ก็นับเป็นทางเลือกที่ดี เนื่องจากสามารถช่วยในการเก็บออมเงิน ในขณะเดียวกันก็ได้รับการคุ้มครองชีวิตเหมือนกับการซื้อประกันชีวิตแบบฟรี ๆ เลยทีเดียว
สำหรับส่วนที่ 2 ของสามเหลี่ยมทางการเงินนั้น ในส่วนนี้จะเป็นส่วนของการลงทุนและตั้งเป้าหมายทางการเงินในอนาคต หรือการวางแผนเพื่อการเกษียณอายุ (Retirement Planning) และการวางแผนการศึกษา (Education Planning) โดยในปัจจุบันนั้นก็ได้มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เป็นเสมือนดังตัวช่วยที่เหมาะสมกับการวางแผนการเกษียณอายุและการวางแผนการศึกษาอยู่มากมาย ซึ่งการลงทุนในส่วนนี้นั้นถือเป็นการลงทุนในระยะที่ค่อนข้างยาวนาน
ดังนั้นสำหรับการลงทุนในส่วนที่ 2 ของสามเหลี่ยมทางการเงินนี้นั้น ใครที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องของการลงทุนในกองทุนรวมหรือการลงทุนในหุ้นก็สามารถทำการซื้อและลงทุนได้ด้วยตนเองในทันที แต่สำหรับใครที่ไม่มีความรู้ทางด้านนี้อีกทั้งยังมีเวลาในการศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนอย่างจำกัด ก็ขอแนะนำว่าให้เริ่มต้นศึกษาลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงในระดับ 5 ขึ้นไป และวิธีการออมเงินที่แนะนำก็คือ การเปิดบัญชีฝากประจำ กองทุนรวมผสม กองทุนรวมหุ้น หรือการซื้อประกันที่มีเงื่อนไขในระยะสั้นหรือระยะกลางนั่นเอง
ส่วนที่ 3 ของสามเหลี่ยมทางการเงิน หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นชั้นบนสุดของพีระมิดทางการเงินนั้น คือส่วนของการลงทุนตามความต้องการส่วนบุคคล ซึ่งสำหรับการเลือกลงทุนในส่วนนี้นั้นจะต้องพิจารณาจากความถนัดของผู้ลงทุนว่ามีความเชี่ยวชาญหรือความสามารถในการลงทุนในรูปแบบใด เหตุผลที่การลงทุนในส่วนยอดของสามเหลี่ยมทางการเงินนี้สามารถเลือกลงทุนตามความต้องการได้ เนื่องจากส่วนนี้เป็นส่วนที่สามารถรับความเสี่ยงได้อย่างเต็มที่นั่นเอง
การลงทุนส่วนนี้นั้นสามารถแบ่งเป้าหมายการลงทุนเป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือ การลงทุนระยะสั้น การลงทุนระยะกลาง และการลงทุนระยะยาว
หลังจากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับสามเหลี่ยมทางการเงินกันไปแล้ว อาจมีบางคนเริ่มสงสัยและอาจจะยังมองเห็นภาพได้ไม่ชัดนักว่าเจ้าสามเหลี่ยมทางการเงินนั้นมีความสำคัญอย่างไร ความจริงแล้วสามเหลี่ยมทางการเงินซึ่งถือเป็นรูปแบบการวางแผนทางการเงินนี้นั้นมีความสำคัญมาก คือ
สำหรับผู้ที่กำลังสงสัยว่าใครบ้างที่จะเหมาะกับการใช้การวางแผนทางการเงินในรูปแบบการใช้สามเหลี่ยมทางการเงินนั้น บอกได้เลยว่าไม่ว่าใครก็ล้วนสามารถใช้สามเหลี่ยมทางการเงินได้ เพราะถึงแม้คุณจะไม่ได้มีความสามารถทางการเงินมากนักในปัจจุบัน ก็สามารถเริ่มวางแผนจัดการส่วนที่หนึ่งหรือส่วนฐานของสามเหลี่ยมทางการเงินได้ จากนั้นค่อย ๆ ขยับขึ้นไป จนกลายเป็นบุคคลที่มีความมั่นคงและมีอิสระทางการเงินในท้ายที่สุดได้นั่นเอง
บางคนอาจมีความคิดและความรู้สึกว่า การวางแผนทางการเงิน โดยเฉพาะในรูปแบบของการใช้สามเหลี่ยมทางการเงินนั้นเป็นสิ่งที่มีแต่คนรวยที่จะทำได้เพียงเท่านั้น หากเป็นคนที่หาเช้ากินค่ำ คงไม่สามารถที่จะนำเงินมาเก็บออมหรือใช้ลงทุนในส่วนต่าง ๆ ได้ เพราะแค่จะกินข้าวและใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็ยังแทบไม่พอใช้นั่นเอง
สำหรับความกังวลและความคิดเช่นนี้นั้นความจริงแล้วก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ว่าสำหรับผู้ที่มีภาระมากมายสวนทางกับความสามารถในการสร้างรายได้นั้นก็คงยากที่จะทำใจลงทุนกับการวางแผนทางการเงิน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องไม่ลืมว่า สำหรับการวางแผนทางการเงิน เราสามารถเริ่มทำได้เท่าที่เรามีเท่าที่เราไหว ดีกว่าที่จะไม่ทำอะไร หากเป็นเช่นนั้นชีวิตคงไม่มีวันที่จะหลุดพ้นจากวงจรการหาเช้ากินค่ำใช้เงินเดือนชนเดือน บางเดือนชักหน้าไม่ถึงหลังจนต้องไปกู้หนี้ยืมสิน
ดังนั้นสำหรับคำถามที่ว่าคนเงินเดือนน้อยสามารถใช้สามเหลี่ยมทางการเงินได้หรือไม่นั้น แรบบิท แคร์ ขอตอบว่าสามารถใช้ได้ เพียงแต่ต้องค่อย ๆ เริ่มต้นตามที่เราไหว ค่อย ๆ ใช้เวลาสร้างและทำในส่วนพื้นฐานให้ได้ จากนั้นก็ค่อย ๆ ขยับไปทีละขั้น สักวันจะต้องประสบความสำเร็จและสามารถสร้างสามเหลี่ยมทางการเงินที่สมบูรณ์ได้อย่างแน่นอน
นักเขียนรุ่นไฮบริด เขียนบทความด้านการบริหารเงินส่วนบุคคลและการลงทุนต่าง ๆ กว่า 7 ปี เริ่มต้นที่งานเขียนที่ Rabbit Finance จนย้ายมาที่ Rabbit Care และ Asia Direct
บทความแคร์การเงิน
บัตรเครดิตเติมน้ำมัน (Fleet Card) คืออะไร ? มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ?
ผ่อนบอลลูน คือ อะไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไร เหมาะสมกับใครมากที่สุด
ไม่มีรถคืนไฟแนนซ์ ต้องเจอปัญหาใหญ่แค่ไหน