Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ในการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งาน และเพื่อเก็บข้อมูลสถิติ ท่านสามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่นโยบายคุกกี้
info

💙 แจก Starbuck Voucher มูลค่า 800 บาทฟรี! เพียงเปิดบัญชี Webull ผ่านช่องทางของ Rabbit Care สนใจ คลิก! 💙

user profile image
เขียนโดยPaweennuch W.วันที่เผยแพร่: May 09, 2024

การคืนทุนประกันคืออะไร และมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง?

คืนทุนประกัน คืออะไร?

การคืนทุนประกัน คือ การจ่ายเงินให้กับผู้รับผลประโยชน์แบบเต็มวงเงินของทุนประกันที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ดังนั้นในส่วนของทุนประกันรถจึงหมายถึงจำนวนเงินความรับผิดชอบต่อตัวรถ ว่าทางบริษัทประกันภัยจะจ่ายให้ไม่เกินเท่าไหร่ต่อการเกิดอุบัติเหตุ โดยที่การคิดทุนประกันเบื้องต้นนั้นจะคิดจากราคาซื้อขายรถในปัจจุบัน แล้วนำมาลบกับค่าเสื่อมรถอีก 20% ของทุก ๆ ปี และในส่วนของการจัดซ่อมนั้น ทางบริษัทประกันภัยจะมีการจัดซ่อมให้ในอัตรา 70% ของทุนประกันภัย แต่ถ้าหากว่ามีความเสียหายมากกว่า 70% ทางบริษัทประกันภัยก็จะให้เรานั้นตัดสินใจว่าจะซ่อมรถแล้วเสียส่วนต่างไป หรือว่าจะรับทุนประกันภัยคืน 100% แล้วขายซากรถให้กับทางประกันต่อไป ซึ่งในขั้นตอนนี้เราจะเรียกว่าเป็นการคืนทุนประกันนั่นเอง โดยในเบื้องต้นทางประกันภัยก็จะมีการคืนเงินให้กับทางผู้เอาประกันภัย หรือคืนเงินไปให้กับทางบริษัทไฟแนนซ์ สำหรับในกรณีที่ยังมีการผ่อนชำระอยู่นั่นเอง

เงินเอาประกัน คืออะไร?

เงินเอาประกัน คือ ทุนประกันภัยที่เป็นจำนวนเงินสูงสุด ซึ่งทางบริษัทประกันภัยจะจ่ายให้กับผู้เอาประกันภัย และจะครอบคลุมทั้งในเรื่องของการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนด้วย โดยจำนวนเงินนั้นจะถูกระบุเอาไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย และอาจจะแตกต่างกันออกไปตามประเภทของความคุ้มครองที่ได้มีการเลือกซื้อในตอนแรกด้วย

เงินเอาประกันมีความสำคัญอย่างไร?

เงินเอาประกัน คือทุนประกันภัยนั่นเอง ซึ่งจะมีความสำคัญมาจากหลากหลายปัจจัย ยกตัวอย่างเช่น

  • ความคุ้มครอง เงินเอาประกันภัยนั้นจะเป็นการมอบหลักประกันทางการเงินให้กับคุณเมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ซึ่งจะครอบคลุมอยู่ในกรมธรรม์ของคุณ อีกทั้งทางบริษัทประกันภัยก็จะรับผิดชอบจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ด้วย
  • ความสามารถในการจ่ายเบี้ยประกันภัย เงินเอาประกันภัยจะส่งผลต่อความสามารถในการจ่ายเบี้ยประกันภัยด้วย หากมีทุนประกันภัยที่สูง ก็จะส่งผลทำให้เบี้ยประกันภัยสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นทุนประกันภัยที่ต่ำกว่า ก็จะมีการจ่ายค่าเบี้ยประกันที่ถูกกว่านั่นเอง
  • ข้อกำหนด เงินเอาประกันภัยหรือทุนประกันภัยจะถูกกำหนดโดยกฎหมายหรือข้อบังคับเสมอ
  • การจัดการกับความเสี่ยง สำหรับวงเงินทุนประกันภัยนั้นจะถูกปรับแก้โดยผู้รับประกันภัย ตามการประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่ถือกรมธรรม์หรือประเภทของกรมธรรม์

กรณีใดบ้างที่สามารถคืนทุนประกันได้?

  • กรณีที่รถยนต์เกิดอุบัติเหตุแล้วได้รับความเสียหายโดยสิ้นเชิง และมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมรถเกินกว่า 70% ของราคารถในปัจจุบัน
  • กรณีที่รถยนต์ถูกไฟไหม้จนได้รับความเสียหายโดยสิ้นเชิง เพราะโครงสร้างของรถยนต์ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก และไม่ปลอดภัยอีกต่อไปหากจะนำกลับมาซ่อมแซมเพื่อนำมาใช้งานต่อ
  • กรณีที่รถยนต์สูญหาย (ไม่มีซากรถ) ทางบริษัทประกันภัยจะคืนทุนประกันให้เราได้ก็ต่อเมื่อคดีความทางกฎหมายสิ้นสุดแล้ว ซึ่งในกรณีนี้เราจะได้รับเงินช้ามากที่สุด เนื่องจากว่าจะต้องไปแจ้งความและรอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นสืบสวนและสรุปสำนวนให้เสร็จสิ้นก่อน ทางบริษัทประกันภัยจึงจะจ่ายเงินคืนให้

ใครคือผู้รับผลประโยชน์จากการคืนทุนประกัน?

โดยที่ทางบริษัทประกันภัยนั้นจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนนี้ให้กับผู้รับผลประโยชน์ที่ระบุอยู่ในกรมธรรม์ เท่านั้น แต่จะแตกต่างไปตามกรณีของการซื้อรถ ดังนี้

  • 1. ซื้อรถยนต์เป็นเงินผ่อน ในปีแรกจะมีการระบุชื่อผู้รับผลประโยชน์เป็นชื่อของทางบริษัทไฟแนนซ์ที่ได้ขอสินเชื่อไว้ ส่วนในปีถัดไปหากเราเปลี่ยนบริษัทประกันภัยรถยนต์เป็นเจ้าอื่น เราสามารถระบุชื่อผู้รับผลประโยชน์ให้เป็นชื่อของเราเองได้
  • 2. ซื้อรถยนต์เป็นเงินสด เราก็จะสามารถระบุชื่อผู้รับผลประโยชน์เป็นชื่อเราเองได้เลยทันที ซึ่งโดยปกติแล้วจะระบุให้เป็นชื่อเดียวกันกับชื่อของผู้เอาประกันภัย

ทุนประกันภัยแตกต่างจากเบี้ยประกันภัยอย่างไร?

ทุนประกันภัย

เบี้ยประกันภัย

เบี้ยประกันจะแปรผันตามทุนประกันภัยเบี้ยประกันจะแปรผันตามทุนประกันภัยเหมือนกัน
คำนวณจากราคารถใหม่ป้ายแดง หรือราคากลางของรถ ณ ปีนั้น ๆคำนวณจากปัจจัยต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ทุนประกันภัย ประวัติการขับขี่ของผู้เอาประกัน ประเภทของประกันภัย ระยะเวลาการคุ้มครอง เป็นต้น
เป็นมูลค่าความเสียหายสูงสุดที่บริษัทประกันภัยจะชดใช้ให้กับผู้เอาประกันเป็นเงินที่ผู้เอาประกันนั้นจะต้องจ่ายให้กับทางบริษัทประกันภัย เพื่อแลกกับความคุ้มครองที่จะได้รับจากแผนกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์

 

จากข้อมูลเรื่อง “ความแตกต่างระหว่างทุนประกันภัยกับเบี้ยประกันภัย” ในเว็บไซต์ของวิริยะประกันภัยได้กล่าวไว้ว่า โดยปกติแล้วถ้าทุนประกันภัยรถยนต์สูง ตัวเบี้ยประกันภัยรถยนต์ก็มักจะสูงตามไปด้วย เนื่องจากว่าได้รับความคุ้มครองที่มากกว่านั่นเอง ดังนั้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ต้องเงินจ่ายเอง เพราะว่าทางบริษัทประกันภัยที่ผู้เอาประกันทำอยู่นั้นจะเป็นผู้รับผิดชอบให้ทั้งหมด และรถส่วนใหญ่ที่เป็นรถป้ายแดงหรือรถที่มีอายุไม่เกิน 7 ปี ก็มักจะเลือกทำประกันรถยนต์ที่มีทุนประกันสูง นั่นก็คือการยอมจ่ายเบี้ยประกันภัยรถยนต์ที่มากกว่าเดิม เพื่อแลกกับความคุ้มครองที่ตอบโจทย์และครอบคลุมมากที่สุด แต่สำหรับคนที่มีงบไม่มากหรือไม่ค่อยได้ใช้รถ ก็สามารถที่จะเลือกทำเป็นประกันภัยรถยนต์ที่มีทุนประกันภัยในราคาที่ไม่สูงมากก็ได้เช่นเดียวกัน เพื่อที่จะได้จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ที่ประหยัดมากยิ่งขึ้น แต่ก็จะต้องแลกมาด้วยความคุ้มครองที่ครอบคลุมน้อยลงด้วยนั่นเอง

หากคืนทุนประกันแล้วจะต้องโอนรถหรือไม่?

โดยปกติแล้วการคืนทุนประกันนั้น ทางผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่อาจจะเป็นเจ้าของรถหรือบริษัทไฟแนนซ์จะต้องทำการโอนกรรมสิทธิ์และทะเบียนรถของคันที่เกิดอุบัติเหตุไปยังบริษัทประกันภัย ซึ่งความคุ้มครองตามกรมธรรม์ก็จะถือว่าสิ้นสุดลงทันที หรือจะเรียกว่าเป็นการขายซากรถหรือติดไฟแนนซ์นั่นเอง แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากว่าไม่ต้องการที่จะขายซากรถให้กับทางบริษัทประกันภัย ทางผู้เอาประกันก็จะได้รับค่าสินไหมที่ลดลงไปจากเดิม และสามารถนำซากรถพังนั้นไปจัดการเองได้ โดยในเรื่องของความคุ้มครองตามกรมธรรม์ก็จะถือว่าสิ้นสุดลงเช่นเดียวกัน

แล้วทำอย่างไรกับซากรถพัง?

โดยปกติแล้วทางบริษัทประกันภัยจะให้เราโอนซากรถไปให้กับทางบริษัทประกันภัย แล้วหลังจากนั้นจึงจะมีการคืนทุนประกันภัยรถยนต์ให้แบบเต็มทุนประกันเลย แต่ถ้าหากว่าเราต้องการที่จะนำซากรถนั้นมาซ่อมเองก็ทำได้เช่นเดียวกัน โดยสามารถเจรจากับทางบริษัทประกันภัยได้เลย ซึ่งทางบริษัทประกันภัยก็จะพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้เช่นเดียวกัน แต่จะไม่ได้เต็มทุนประกันตามที่ได้มีการระบุไว้ในกรมธรรม์ โดยอาจจะจ่ายให้เพียงแค่ 70 - 80% และเราก็สามารถนำเงินตรงนี้ไปซ่อมรถเองได้ ซึ่งในกรณีนี้จะต้องมีชื่อผู้รับผลประโยชน์เป็นชื่อตัวเราเองเท่านั้น

ควรเลือกทำประกันภัยรถยนต์ชั้นไหนดี เพื่อรับความคุ้มครองเพิ่มเติม?

สำหรับรถมือหนึ่งป้ายแดงหรือมือใหม่หัดขับ ก็จะแนะนำว่าให้เลือกทำเป็น ประกันรถยนต์ชั้น 1 ไว้จะดีที่สุดเพราะว่าสามารถอุ่นใจได้ตลอดการเดินทาง เนื่องจากว่าอุบัติเหตุบนท้องถนนนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นการไม่ประมาทจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด เพียงแค่จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยไม่กี่บาทต่อปี จะได้ไม่ต้องไปเสียเงินก้อนใหญ่เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาในอนาคต หรือสามารถขอรับคำปรึกษาได้ที่ Care Center เบอร์ 1438 เป็นบริการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการเลือกและการเช็กประกันรถยนต์ออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง

ซื้อประกันรถยนต์ผ่านแรบบิท แคร์ จะได้รับสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง?

การซื้อประกันรถยนต์กับแรบบิท แคร์ นั้นไม่เพียงแต่จะให้ความคุ้มค่าในเรื่องของแผนประกันภัยและการคุ้มครองเท่านั้น แต่ยังให้ความอุ่นใจมากกว่าที่อื่นอีกด้วย เพราะว่าแรบบิท แคร์ นั้นมีความน่าเชื่อถือและมีความปลอดภัย 100% อีกทั้งยังได้รับการรับรองความถูกต้องจาก คปภ. และมีประสบการณ์ในการดูแลและให้บริการลูกค้ามาอย่างยาวนาน นอกจากนี้ยังมีช่องทางในการชำระเบี้ยประกันภัยรถยนต์มากมาย ไม่ว่าจะชำระค่าเบี้ยประกันภัยผ่านช่องทางไหนก็สะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต เงินสด หรือแม้แต่กระทั่งการผ่อนชำระก็มี ดังนั้นจึงทำให้ลูกค้านั้นมีทางเลือกที่หลากหลาย และยังสามารถวางแผนสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย รวมไปถึงในเรื่องของส่วนลดก็มีให้ด้วย สามารถคลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของ แรบบิท แคร์

จะมีการคืนทุนประกันรถยนต์ในกรณีใดบ้าง

การคืนทุนประกันรถยนต์จะเกิดขึ้นในกรณีต่อไปนี้

กรณีรถยนต์เสียหายสิ้นเชิง

หากรถยนต์ได้รับความเสียหายจนไม่สามารถซ่อมได้ หรือเสียหายสิ้นเชิง ซึ่งโดยทั่วไปจะหมายถึงกรณีรถเสียหายและค่าซ่อมเกิน 70% ของราคารถ บริษัทประกันอาจคืนทุนตามมูลค่าตลาดของรถยนต์ในขณะนั้น หลังจากหักค่าความเสื่อมราคาและส่วนต่างอื่น ๆ

กรณีที่ไม่สามารถใช้รถยนต์ได้อย่างถาวร

หากรถยนต์ไม่สามารถใช้งานได้อีกและไม่คุ้มค่าที่จะซ่อม บริษัทประกันอาจพิจารณาคืนทุน เช่น กรณีรถสูญหายโดยไม่ได้เกิดจากความประมาทของเจ้าของรถ เช่น เสียบกุญแจรถทิ้งไว้ เป็นต้น

กรณีทุนประกันมากกว่าราคารถปัจจุบัน บริษัทจะคืนทุนประกันหรือไม่

หากทุนประกันของรถยนต์มากกว่าราคาตลาดปัจจุบันของรถ และเกิดกรณีที่ต้องเคลมประกัน เช่น รถถูกขโมยหรือเสียหายสิ้นเชิง บริษัทประกันจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามมูลค่าตลาดของรถ ณ ขณะนั้น ซึ่งหมายความว่าคุณจะไม่ได้รับเงินตามทุนประกันที่สูงกว่าราคาตลาด บริษัทประกันจะไม่คืนทุนประกันส่วนที่เกินจากราคาตลาดของรถให้

กล่าวอีกนัยหนึ่ง บริษัทประกันจะชดเชยให้ตามมูลค่าตลาดของรถในปัจจุบันเท่านั้น ไม่ใช่ตามทุนประกันที่ระบุไว้หากทุนประกันนั้นสูงกว่ามูลค่าตลาดจริง ๆ ของรถในเวลาที่เคลม

การคืนทุนประกันในกรณีที่รถเสียหายสิ้นเชิง

การคืนทุนประกันในกรณีที่รถเสียหายสิ้นเชิง (Total Loss) มีขั้นตอนดังนี้

1. แจ้งเคลมประกัน

เมื่อรถยนต์เกิดอุบัติเหตุหรือไฟไหม้และเสียหายจนไม่สามารถซ่อมแซมได้ ควรแจ้งเคลมประกันกับบริษัททันที โดยแจ้งรายละเอียดของเหตุการณ์และสาเหตุที่ทำให้รถเสียหายสิ้นเชิง

2. ตรวจสอบความเสียหาย

บริษัทประกันจะส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบความเสียหายของรถ เพื่อประเมินว่ารถยนต์นั้นเสียหายสิ้นเชิงหรือไม่ หากเจ้าหน้าที่ประเมินว่าไม่คุ้มค่าที่จะซ่อม หรือค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเกินกว่ามูลค่าตลาดของรถในขณะนั้น ก็จะถือว่ารถเสียหายสิ้นเชิง

3. การประเมินมูลค่าตลาดของรถ

บริษัทประกันจะประเมินมูลค่าตลาดของรถในขณะนั้น โดยอ้างอิงจากสภาพและราคาตลาดของรถยนต์รุ่นเดียวกันในเวลาที่เกิดความเสียหาย โดยมีรายละเอียดเพิ่มเติมดังนี้

  • ถ้าเกิดทุนประกันรถยนต์ของรถคันที่เสียหายสิ้นเชิงสูงกว่า 80% ของมูลค่ารถยนต์ ณ ขณะนั้น เจ้าของรถหรือผู้ทำประกันจะต้องโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้แก่บริษัทประกัน และถือว่าความคุ้มครองรถยนต์ จะถือเป็นอันสิ้นสุดทันที
  • ถ้าเกิดทุนประกันรถยนต์ที่ทำไว้ ต่ำกว่า 80% ของมูลค่ารถยนต์ เจ้าของรถหรือผู้ทำประกันจะไม่ต้องโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้แก่บริษัทประกัน

4. การชำระเงินค่าสินไหมทดแทน

หลังจากประเมินมูลค่าตลาดแล้ว บริษัทประกันจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามมูลค่าตลาดที่ประเมินได้ ซึ่งจะเป็นจำนวนเงินที่คุณจะได้รับแทนการซ่อมแซมรถ หากทุนประกันที่คุณทำไว้สูงกว่ามูลค่าตลาด บริษัทจะจ่ายให้เท่ากับมูลค่าตลาดเท่านั้น ไม่ได้จ่ายตามทุนประกันที่สูงกว่า

5. ส่งมอบซากรถ

ในบางกรณี คุณอาจต้องส่งมอบซากรถให้บริษัทประกันตามข้อตกลง เพื่อให้บริษัทนำไปขายหรือดำเนินการต่อไป

6. รับเงินคืน

เมื่อกระบวนการตรวจสอบและประเมินเสร็จสิ้น คุณจะได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนตามที่บริษัทประกันได้ประเมินไว้ เงินจำนวนนี้อาจโอนเข้าบัญชีธนาคารของคุณหรือส่งเป็นเช็คตามที่ตกลงกัน

การคืนทุนประกันในกรณีที่รถสูญหาย

การคืนทุนประกันในกรณีที่รถสูญหายมีขั้นตอนดังนี้

1. แจ้งความกับตำรวจ

เมื่อทราบว่ารถของคุณสูญหายหรือถูกขโมย ควรรีบแจ้งความกับสถานีตำรวจทันที พร้อมขอสำเนาใบแจ้งความหรือเอกสารการสอบสวนเพื่อใช้เป็นหลักฐาน

2. แจ้งเคลมกับบริษัทประกัน

หลังจากแจ้งความแล้ว ให้ติดต่อบริษัทประกันภัยเพื่อแจ้งเหตุการณ์และยื่นคำร้องเคลม โดยแนบเอกสารที่จำเป็น เช่น สำเนาใบแจ้งความ, สำเนากรมธรรม์ประกัน, สำเนาทะเบียนรถ, และเอกสารประจำตัว

3. การตรวจสอบและการสอบสวน

บริษัทประกันอาจทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์รถสูญหาย รวมถึงการสอบถามข้อมูลจากตำรวจ เพื่อยืนยันว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงและเป็นไปตามเงื่อนไขของกรมธรรม์

4. ประเมินมูลค่าตลาดของรถ

หากการสอบสวนเสร็จสิ้นและยืนยันว่ารถสูญหาย บริษัทประกันจะทำการประเมินมูลค่าตลาดของรถในขณะนั้น เพื่อกำหนดจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนที่คุณจะได้รับ โดยเจ้าของรถจะต้องโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์คันดังกล่าวให้กับบริษัทประกัน เมื่อบริษัทจ่ายคืนทุนประกันรถยนต์แล้ว ก็จะถือว่า ความคุ้มครองสิ้นสุด

5. การชำระค่าสินไหมทดแทน

เมื่อประเมินมูลค่าตลาดของรถแล้ว บริษัทประกันจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามมูลค่าตลาดที่ประเมินได้ หากทุนประกันที่คุณทำไว้สูงกว่ามูลค่าตลาดของรถ บริษัทจะจ่ายให้เท่ากับมูลค่าตลาดเท่านั้น

6. รับเงินคืน

หลังจากบริษัทประกันดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ เสร็จสิ้น คุณจะได้รับเงินคืนตามมูลค่าตลาดของรถที่สูญหาย ซึ่งบริษัทจะโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของคุณหรือส่งเช็คให้ตามที่ตกลงกันไว้

หมายเหตุ - ถ้าหากบริษัทประกันคืนทุนประกันให้แล้ว แต่ได้รับรถยนต์ที่หายไปกลับคืนมา บริษัทประกันจะต้องแจ้งให้เจ้าของรถเดิมหรือผู้ทำประกันทราบภายใน 7 วัน โดยเจ้าของรถเดิมหรือผู้ทำประกันจะมีสิทธิเลือกขอรับรถยนต์คืนพร้อมกับคืนเงินทุนประกันให้กับบริษัทได้ หรือ จะสละสิทธิไม่ขอรับรถยนต์คืนก็ได้ภายใน 30 วันหลังจากได้รับแจ้ง

ทุนประกันรถยนต์ของประกันแต่ละประเภท

ทุนประกันรถยนต์คือมูลค่าความคุ้มครองที่บริษัทประกันภัยจะจ่ายให้กับผู้เอาประกันเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหายตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยทุนประกันจะแตกต่างกันไปตามประเภทของประกันภัยรถยนต์ที่เลือก ดังนี้:

  1. ประกันภัยชั้น 1 : เป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมมากที่สุด รวมถึงความเสียหายต่อรถยนต์ของเราและคู่กรณี ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ การชน การโจรกรรม ไฟไหม้ หรือภัยธรรมชาติ ทุนประกันของประกันชั้น 1 มักจะสูงกว่าแบบอื่นๆ เพราะให้การคุ้มครองที่ครอบคลุมกว้างขวาง

  2. ประกันภัยชั้น 2+ และ 3+ : ทั้งสองประเภทนี้ให้ความคุ้มครองใกล้เคียงกับชั้น 1 แต่จะมีข้อจำกัดบางประการ เช่น คุ้มครองเฉพาะกรณีที่มีคู่กรณีเท่านั้น ทุนประกันของชั้น 2+ และ 3+ มักจะต่ำกว่าชั้น 1 แต่ยังครอบคลุมความเสียหายที่สำคัญ

  3. ประกันภัยชั้น 2 : ให้ความคุ้มครองในกรณีที่รถถูกโจรกรรมหรือเกิดไฟไหม้ รวมถึงคุ้มครองบุคคลภายนอกในกรณีที่เราเป็นฝ่ายผิด แต่ไม่คุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ของเราในกรณีอุบัติเหตุ

  4. ประกันภัยชั้น 3 : เป็นประกันที่มีทุนประกันต่ำที่สุด คุ้มครองเฉพาะความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบุคคลภายนอกและทรัพย์สินของเขาเท่านั้น ไม่คุ้มครองรถยนต์ของเรา

ทุนประกันที่เลือกควรพิจารณาจากมูลค่าของรถยนต์ ความเสี่ยงในการใช้งาน และงบประมาณที่มีอยู่ เพื่อให้ได้การคุ้มครองที่เหมาะสมที่สุด

คืนทุนประกันแล้ว ต้องโอนรถหรือไม่

เมื่อคืนทุนประกันรถยนต์แล้ว หมายถึงบริษัทประกันได้จ่ายเงินค่าชดเชยเต็มจำนวนตามมูลค่าที่ตกลงกันไว้ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในกรณีที่รถยนต์เสียหายอย่างหนักจนไม่สามารถซ่อมได้ หรือกรณีรถยนต์ถูกโจรกรรมและไม่สามารถหาเจอได้

ดังที่กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า ในกรณีนี้ หากผู้เอาประกันได้รับค่าชดเชยตามมูลค่าทุนประกันเต็มจำนวนแล้ว ปกติผู้เอาประกันจะต้องโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ให้กับบริษัทประกันภัย นั่นหมายความว่าผู้เอาประกันจะต้องโอนรถให้กับบริษัทประกันเพื่อแลกกับการได้รับเงินชดเชยนั้น เนื่องจากหลังจากการคืนทุนประกันแล้ว รถยนต์จะกลายเป็นทรัพย์สินของบริษัทประกันภัย ยกเว้นเพียงกรณีเดียวคือ กรณีที่ทุนประกันที่ทำไว้ต่ำกว่า 80% ของมูลค่ารถยนต์ที่ได้รับการตีราคา ณ ขณะนั้นนั่นเอง

หากคุณต้องการความแน่ใจในรายละเอียดเพิ่มเติม ควรติดต่อสอบถามกับบริษัทประกันภัยของคุณเพื่อทราบขั้นตอนที่ถูกต้องและเงื่อนไขที่เกี่ยวข้อง

ความคุ้มครองประกันรถยนต์

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา