ขับรถไม่คาดเข็มขัดนิรภัย โทษปรับเท่าไหร่?
เข็มขัดนิรภัยคืออะไร?
เข็มขัดนิรภัย (Seat Belt) นั้นถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพที่ถูกติดตั้งมาพร้อมกับรถยนต์ทุกคัน ซึ่งจะสามารถช่วยปกป้องผู้โดยสารและคนขับจากอาการบาดเจ็บรุนแรงหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ โดยเข็มขัดนิรภัยนั้นได้ถูกประดิษฐ์คิดค้นขึ้นครั้งแรกโดยวิศวกรชาวสวีเดนชื่อว่าคุณนิลล์ โบห์ลิน (Nils Ivan Bohlin) เมื่อปี ค.ศ. 1959 ซึ่งจะเป็นแบบ 3 จุด และในปัจจุบันก็ยังคงใช้หลักการนี้อยู่เช่นกัน และได้กลายมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่จะต้องมีการติดตั้งมาพร้อมกับรถยนต์ทุกคัน ซึ่งในปี พ.ศ. 2550 ทางประเทศไทยได้มีการวิจัยถึงประสิทธิภาพของการใช้เข็มขัดนิรภัยแล้วพบว่า “เข็มขัดนิรภัยนั้นสามารถช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้มากถึง 34% เลยทีเดียว และอัตราความเสี่ยงของผู้ที่ไม่คาดเข็มขัดนิรภัยนั้นจะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้สูงกว่าผู้ที่คาดเข็มขัดนิรภัยถึง 1.52 เท่าด้วย”
ความสำคัญของการคาดเข็มขัดนิรภัย?
เข็มขัดนิรภัยนั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้คาดผ่านส่วนที่แข็งแรงที่สุดของร่างกายเอาไว้นั่นก็คือบริเวณสะโพกและหัวไหล่นั่นเอง ดังนั้นจึงจะช่วยสร้างความกระชับและช่วยประคองร่างกายเอาไว้ได้ดีในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ขึ้นมา อีกทั้งยังสามารถช่วยรักษาชีวิตและลดการเสียชีวิตได้สูงสุดมากถึง 60% อีกด้วย เพราะว่าจะสามารถช่วยลดความรุนแรงและการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนนได้นั่นเอง ดังนั้นการคาดเข็มขัดนิรภัยที่ถูกวิธีจึงมีส่วนช่วยในการรักษาชีวิตเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เข็มขัดนิรภัยมีกี่ประเภท?
ในประเทศไทยนั้นจะมีการใช้อยู่ 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
- แบบ ELR (Emergency Locking Retractor) เป็นเข็มขัดนิรภัยแบบรั้งตัวและดึงกลับอัตโนมัติ กลไกภายในจะมีชุดเฟืองที่ออกแบบมาให้สามารถล็อกเฟืองได้ทันที เมื่อตัวล็อกสายเกิดการเปลี่ยนองศาจากแรงดึงหรือกระชากอย่างรุนแรง โดยส่วนมากจะพบในแบบล็อก 3 จุด บริเวณเบาะหน้า เบาะนั่งริมหน้าต่าง และเบาะนั่งตรงกลางด้านหลังของรถรุ่นใหม่ ๆ ด้วยนั่นเอง
- แบบ ALR (Automatic Locking Retractor) เป็นเข็มขัดนิรภัยแบบชุดดึงกลับที่สามารถล็อกได้เองโดยอัตโนมัติ เมื่อเกิดการดึงสายอย่างรวดเร็วหรือดึงยาวในระดับหนึ่ง ซึ่งกลไกจะคล้ายกับระบบแบบ ELR แต่ว่าไม่ซับซ้อนเท่า จึงจะพบได้ในแบบล็อก 2 จุด บริเวณแถวนั่งด้านหลังทั้งแบบพาดบ่าและแบบพาดตัก
วิธีการคาดเข็มขัดนิรภัยที่ถูกต้อง
เพื่อการปกป้องชีวิตให้ปลอดภัยจากการคาดเข็มขัดนิรภัยที่มีประสิทธิภาพ ถ้าหากว่าเกิดประสบอุบัติเหตุขึ้นมา ตัวเข็มขัดนิรภัยภัยจะได้มีการทำงานได้อย่างเต็มที่ คือจะช่วยปกป้องเราไม่ให้กระเด็นออกไปข้างนอกตัวรถยนต์ อีกทั้งยังช่วยลดการบาดเจ็บจากแรงกระแทกได้ด้วย ส่วนวิธีแกะตัวล็อคเข็มขัดนิรภัยก็ทำได้ง่าย เพียงแค่กดปุ่มสีแดงตัวล็อกก็จะคลายออกทันที ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่าการคาดเข็มขัดนิรภัยนั้นไม่ได้ยุ่งยากเลย
- สตรีมีครรภ์ ส่วนบนให้คาดพาดผ่านอกลงมาที่ด้านข้างท้อง ส่วนด้านล่างให้คาดพาดผ่านตัก ต่ำกว่าครรภ์ เพื่อลดแรงกดทับที่อาจจะเป็นอันตรายต่อเด็กในครรภ์
- เด็กที่มีอายุไม่เกิน 6 ปี และมีความสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตรให้นั่งคาร์ซีท เพราะคาร์ซีทจะสามารถช่วยปกป้องเด็กได้มากกว่าการคาดเข็มขัดนิรภัย ถ้าหากเกิดเหตุอุบัติเหตุมีการเบรกกะทันหันจะได้ช่วยรองรับแรงกระแทก และช่วยป้องกันไม่ให้เด็กกระเด็นหรือหลุดออกจากเบาะไปข้างนอกรถ
- บุคคลทั่วไป ส่วนบนให้คาดพาดทแยงไหล่ โดยห้ามคาดชิดลำคอและใต้วงแขนเด็ดขาด ส่วนด้านล่างให้คาดพาดทแยงผ่านตัก หน้าขา และห้ามคาดบริเวณหน้าท้องเป็นอันขาด
- การนั่งรถทุกครั้งควรคาดเข็มขัดนิรภัยด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นทางเบาะหน้าหรือทางเบาะหลัง และปรับสายเบลท์คาดเอวให้กระชับ เพื่อเช็กให้ปลอดภัยก่อนออกรถทุกครั้ง
- ห้ามนำคาร์ซีทแบบหันหน้าเข้าหาเบาะมาวางยึดกับเข็มขัดนิรภัยในบริเวณที่มีถุงลมนิรภัยติดตั้งไว้อยู่
- ห้ามใช้เข็มขัดนิรภัยร่วมกัน เพราะผู้โดยสารทุกคนจะต้องนั่งประจำที่นั่งของตนเองพร้อมกับคาดสายเบลท์ในตำแหน่งของตนเองเท่านั้น
- เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปีให้นั่งเบาะหลังหรือนั่งคาร์ซีทในท่านั่งที่เหมาะสม สะดวกสบาย และมีผู้ปกครองคอยดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดการเดินทาง
กฎหมายเข็มขัดนิรภัย ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ปรับเท่าไหร่?
- สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคล รถแท็กซี่ รถกระบะ ทั้งคนขับและผู้โดยสารหากไม่มีการคาดสายรัดนิรภัยจะมีโทษปรับ 2,000 บาทต่อคน
- สำหรับรถตู้สาธารณะ รถทัวร์ รถบรรทุก รถบขส. หากคนขับไม่คาดสายรัดนิรภัยจะมีโทษปรับ 2,000 บาทต่อคน ส่วนผู้โดยสารหากไม่มีการคาดสายรัดนิรภัยจะมีโทษปรับ 5,000 บาทต่อคน
- ส่วนคนขับรถทุกประเภทที่ไม่ได้มีการจัดให้ผู้โดยสารคาดเข็มขัดนิรภัยก็จะถูกปรับเพิ่มอีก 500 บาทด้วย
- ล่าสุดทาง พ.ร.บ. จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 ก็ได้มีประกาศผลบังคับใช้ทางกฎหมายสำหรับรถยนต์ส่วนบุคคล ว่าทุกที่นั่งจะต้องมีการคาดเข็มขัดนิรภัย ยกเว้นรถกระบะแบบมีแค็บที่คนนั่งในแค็บไม่ต้องคาดสายรัดนิรภัยก็ได้ เพราะไม่ถือว่าผิดกฎหมาย
ข้อยกเว้นสำหรับรถที่ไม่มีเข็มขัดนิรภัย
- สำหรับรถยนต์เก่าที่มีการจดทะเบียนก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2531 ไม่ถือว่ามีความผิด
- สำหรับรถกระบะที่มีการจดทะเบียนก่อนปี พ.ศ. 2537 ไม่ถือว่ามีความผิด
- สำหรับรถสามล้อ รถแทรกเตอร์ รถบดถนน รถที่ใช้งานในเกษตรกรรม และรถยนต์ประเภทอื่น ๆ ที่ไม่มีการติดตั้งสายรัดนิรภัยจะไม่ถือว่ามีความผิด
- สำหรับรถกระบะ หรือรถกึ่งกระบะนั้นกำหนดให้คาดสายรัดเฉพาะแถวหน้าเท่านั้น ส่วนแค็บด้านหลังหรือที่นั่งท้ายกระบะนั้นไม่ต้องคาดก็ได้ แต่ต้องไม่นั่งเกินจำนวนที่กฎหมายกำหนดไว้ ต้องนั่งในลักษณะที่ปลอดภัย และต้องขับขี่ไม่เกินความเร็วตามที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วย
ประโยชน์ของการคาดเข็มขัดนิรภัยมีอะไรบ้าง?
- ช่วยลดแรงกระแทกกับวัตถุที่พุ่งชน 80% เพื่อช่วยลดอาการบาดเจ็บจากการเคลื่อนไหวที่ช้าลง เพราะการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันนั้นจะทำให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรงขึ้นมาได้
- ช่วยลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตมากถึง 60%
- ช่วยป้องกันศีรษะ ใบหน้า และหน้าอกไปกระแทกกับพวงมาลัยและกระจกหน้า ก็คือจะช่วยกระจายแรงกระแทกที่เกิดจากอุบัติเหตุนั่นเอง
- หากไม่คาดสายรัดจะมีความเสี่ยงในการกระเด็นออกนอกตัวรถเมื่อมีอุบัติเหตุจากแรงเหวี่ยงหรือแรงกระแทก และจะมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าคนที่อยู่ในรถมากถึง 6 เท่าเลยทีเดียว
- หากรถกำลังวิ่งอยู่ในความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเกิดอุบัติเหตุรถชนขึ้นมา การคาดสายรัดนั้นจะช่วยทำให้ผู้ประสบอุบัติเหตุรู้สึกเหมือนตกตึก 3 ชั้นจาก 15 ชั้น
- ช่วยป้องกันสมองและกระดูกสันหลังที่เป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายจากอันตรายต่าง ๆ ที่อาจจะทำให้เสียชีวิตได้
ความคุ้มครองประกันรถยนต์
คำถามและข้อสงสัยที่พบบ่อย
ควรเลือกทำประกันรถยนต์ชั้นไหนดี?
สำหรับรถยนต์ที่เป็นมือหนึ่งหรือมือสองก็ดี หรือแม้แต่มือใหม่หัดขับแบบนี้ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เพราะนอกจากจะให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมแบบสูงสุดแล้ว ก็ยังคุ้มค่ามากที่สุดอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับทรัพย์สิน จากภัยพิบัติธรรมชาติ จากการชน หรือแม้แต่กระทั่งชีวิตของคู่กรณีถ้าหากเรานั้นเป็นฝ่ายผิด ดังนั้นเพื่อความสบายใจมากที่สุดและเพื่อที่ตัวเราเองจะได้ไม่ต้องมานั่งกังวล การทำประกันภัยชั้น 1 จึงสำคัญมาก เพราะเพียงแค่เรามีความสม่ำเสมอในการต่อประกันไม่ให้ขาด เพียงเท่านี้เราก็อุ่นใจได้เลยในทุกการขับขี่
ซื้อประกันรถยนต์ผ่านแรบบิท แคร์ จะได้สิทธิประโยชน์อะไรบ้าง?
เพราะนอกจากจะมีบริการหลังการขายที่พร้อมจะดูแลทุกท่านให้ได้รับบริการสุด Exclusive ตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว ทางแรบบิท แคร์ ก็ยังมีแผนและระบบเช็กเบี้ยประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ให้ท่านได้เลือกสรรมากมาย เพื่อให้เหมาะสมกับรถยนต์ของคุณ และพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างคุณให้ได้รับความสะดวกสบายมากที่สุด อีกทั้งยังมีบริการสุดพิเศษให้คุณอีกมากมาย สามารถคลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ แรบบิท แคร์ หรือโทรขอคำปรึกษาได้ที่ Care Center เบอร์ 1438 แรบบิท แคร์ เพราะเราแคร์คุณยิ่งกว่าใคร ได้ตลอด 24 ชั่วโมง