รวมกฎหมาย กฎจราจร ที่ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตาม เมื่ออยู่บนท้องถนน
การขับรถบนท้องถนนเป็นสิ่งที่คนขับรถจะต้องพึงระวัง และควรปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัดเสมอ การที่คุณขับรถอยู่ในพื้นที่สาธารณะนั้นต่างก็ต้องมีความรับผิดชอบในการรักษาความปลอดภัยทั้งของตัวเองและผู้อื่นด้วย ดังนั้นบทความนี้จึงจะมาแนะนำสิ่งที่ควรคำนึงในการขับรถบนท้องถนนมาให้ได้รู้และปฎิบัติตามกันค่ะ เพราะบนท้องถนนอะไรก็เกิดขึ้นได้ หากไม่มีสติและการควบคุมที่ดี….
กฎจราจร และกฎหมายมีความสําคัญอย่างไร
- ความปลอดภัย
กฎจราจรมีเป้าหมายสำคัญในการสร้างการขับขี่ปลอดภัยในทางของการขับขี่ โดยกำหนดกฎเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ทั้งเรื่องการจัดการความเร็ว การตรวจสอบรถยนต์ การใช้งานสัญญาณไฟจราจร และเครื่องหมายต่างๆ เมื่อผู้ขับขี่ปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างถูกต้อง สถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนมักลดลงอย่างมีนัยสำคัญ - การจัดเรียงการขับขี่
กฎจราจรช่วยให้มีการจัดเรียงการขับขี่ให้เป็นระเบียบ ควบคุมการเคลื่อนที่ของรถยนต์ และป้องกันการปะทุของการจราจรที่ไม่เรียบร้อย สิ่งนี้ช่วยลดการติดขัดและเพิ่มความเป็นระเบียบในการใช้ถนน - การปรับพฤติกรรมขับขี่
กฎจราจรช่วยส่งเสริมพฤติกรรมที่เหมาะสมและขับขี่ปลอดภัย การกำหนดกฎหมายเกี่ยวกับการใช้คาดเข็มขัดนิรภัย การสวมหมวกกันน็อค หรือห้ามการใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่ เป็นต้น ช่วยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมขับขี่อันตราย - การควบคุมมลพิษทางอากาศ
กฎจราจรมีบทบาทในการควบคุมมลพิษทางอากาศที่เกิดจากการขับขี่รถยนต์ โดยกำหนดมาตรฐานสำหรับมลพิษอากาศที่ถ่ายโอนจากรถยนต์และกำหนดข้อกำหนดการตรวจสอบความเสียหายสำหรับรถยนต์เก่า - ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ
การปฏิบัติตามกฎจราจรช่วยสร้างความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ โดยเพิ่มประสิทธิภาพในการเคลื่อนที่ ลดเวลาเสียสู่การติดขัดจราจร และลดต้นทุนในการดูแลรักษาถนน - ความเท่าเทียม
วิธีสร้างความเท่าเทียมในการใช้ถนน คือการสร้างกฎจราจร ไม่ว่าจะเป็นความเท่าเทียมในการเข้าถึงถนนหรือในการได้รับการปฏิบัติตามกฎหมาย กฎหมายจราจรช่วยลดการเลือกปฏิบัติตามความเป็นมากกว่าความเท่าเทียมเพื่อสร้างความเท่าเทียม
อัปเดท กฎจราจร ตัดคะแนน 2566
ณ วันที่ 9 มกราคม 2566 มีกฎหมายใหม่ออกมาใช้ประกับกฎจราจร และมารยาทในการขับขี่ อัพเดตกฎหมายจราจรทางบกใหม่ หรือ “พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2565” เพื่อให้กฎหมายมีความเท่าทันยุคสมัย โดยใช้ระบบตัดคะแนน โดยหัวใจหลัก ๆ ของกฎนี้จะมุ่งเน้นความจริงจังของกฎจราจร และแก้ปัญหากลุ่มผู้ที่ทำผิดกฎติดต่อกันหลาย ๆ ครั้ง ต้องจ่าย และรับบทลงโทษมากขึ้นเรื่อย ๆ
- ขับรถต้องมีใบขับขี่ และทุกครั้งที่ขับรถต้องพกใบขับขี่ไปด้วย โดยผู้ขับขี่จะมีคะแนนเริ่มต้นคนละ 12 คะแนน (ไม่ว่าคุณจะได้รับใบอนุญาตขับขี่กี่ชนิดก็ตาม)
- หากทำผิดกฎจราจรใน 20 ฐานความผิด ที่อาจก่ออุบัติเหตุใด ๆ หรือไม่ชำระค่าปรับจราจร จะถูกตัดคะแนนตั้งแต่ 1-4 คะแนน (ขึ้นอยู่กับความผิดที่คุณกระทำ)
- กรณีผิดกฎจราจรจนถูกตัดคะแนนเหลือ 0 คุณจะถูกพักใช้ใบอนุญาตขับขี่สูงสุด 90 วัน
- หากฝ่าฝืนกฎจราจร หรือขับรถในช่วงถูกพักใบขับขี่ มีโทษจำคุกนาน 3 เดือน และ / หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท
- คุณสามารถได้รับคะแนนคืนได้ ด้วยการเข้าอบรม เรียนรู้กฎจราจร กับกรมการขนส่งทางบก หรือรอให้ครบ 1 ปี ระบบจะคืนคะแนนให้โดยอัตโนมัติ
- หากถูกพักใช้ใบขับขี่เป็นครั้งที่ 3 ภายในรอบ 3 ปี คุณอาจถูกพักใช้ใบขับขี่มากกว่า 90 วัน และหลังจากนั้น ภายใน 1 ปี หากถูกตัดคะแนนจนถูกพักใช้ใบขับขี่เป็นครั้งที่ 4 คุณอาจถูกเพิกถอนใบขับขี่ทุกประเภท เพราะเป็นผู้ที่ไม่สามารถทำตามกฎจราจรได้
เกณฑ์การหักคะแนน
หัก 1 คะแนน : ความผิดกฎจราจรเล็กน้อย เช่น ขับรถไม่หยุดให้คนเดินข้ามทาง ณ ทางข้าม ฝ่าฝืนเครื่องหมายจราจรบนพื้นทางประเภทบังคับ “เส้นทางข้าม” / ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน / ขับรถบนทางเท้าโดยไม่มีเหตุอันสมควร / ขับรถในขณะใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โดยไม่ใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนา (และอื่น ๆ อีกมากมาย)
หัก 2 คะแนน : ความผิดกฎจราจรระดับกลาง เช่น ขับรถโดยฝ่าฝืนไฟแดง หรือเครื่องหมายจราจรสีแดงที่มีคำว่า “หยุด” / ขับรถย้อนศร / ขับรถในระหว่างที่ใบอนุญาตถูกสั่งยึด หรือถูกสั่งพักใช้ (และอื่น ๆ)
หัก 3 คะแนน : ความผิดระดับกลางที่อาจทำให้ผู้อื่นเสี่ยงภัย เช่น ขับรถในขณะหย่อนความสามารถ / ขับรถในลักษณะที่ผิดปกติวิสัยของการขับรถตามธรรมดาหรือไม่อาจแลเห็นทางด้านหน้าหรือด้านหลัง ด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้านได้พอแก่หารขับขี่ปลอดภัย (และอื่น ๆ อีกมากมาย)
หัก 4 คะแนน : ความผิดกฎจราจรระดับสูง ที่ทำให้ผู้อื่นเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เช่น ขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น / ขับรถในขณะเสพยาเสพติดให้โทษหรือเสพวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท / ไม่คำนึงถึงการขับขี่ปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น / แข่งรถบนนถนนโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจร (และอื่น ๆ อีกมากมาย)
ค่าปรับ กฎจราจร
กฎจราจรทั่วไป
- ละเมิดกฎหมายขับรถเร็ว ปรับไม่เกิน 4,000 บาท จากโทษเดิมปรับไม่เกิน 1,000 บาท
- ขับรถฝ่าสัญญาณไฟจราจร ปรับไม่เกิน 4,000 บาท จากโทษเดิมปรับไม่เกิน 1,000 บาท
- ไม่หยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย ปรับไม่เกิน 4,000 บาท จากโทษเดิมปรับไม่เกิน 1,000 บาท
- ขับรถย้อนศร ปรับไม่เกิน 2,000 บาท จากโทษเดิมปรับไม่เกิน 500 บาท
- ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ปรับไม่เกิน 2,000 บาท จากโทษเดิมปรับไม่เกิน 500 บาท
- ไม่สวมหมวกนิรภัย ปรับไม่เกิน 2,000 บาท จากโทษเดิมปรับไม่เกิน 500 บาท
- ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยต่อชีวิตหรือร่างกายผู้อื่น โทรปรับ 5,000 - 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จากโทษเดิมปรับตั้งแต่ 2,000 - 10,000 หรือทั้งจำทั้งปรับ
กฎจราจร เมาแล้วขับ
- เมาแล้วขับครั้งแรก จำคุกไม่เกิน 1 ปี มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 - 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- เมาแล้วขับซ้ำภายใน 2 ปี นับตั้งแต่วันที่เมาแล้วขับครั้งแรก จำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับ 50,000 - 100,000 บาท ซึ่งศาลจะทั้งลงโทษจำคุกและปรับค่าเสียหาย
กฎจราจร เกี่ยวกับการแข่งรถ
- หากรวมกลุ่มกันเพื่อแข่งรถในทางสาธารณะตั้งแต่ 5 คันขึ้นไป มีฐานความผิด “พยายามแข่งรถ” หากมีพฤติกรรม คือ (1) นัดหมายกันล่วงหน้าเพื่อมาแข่งรถ (2) รถที่ใช้แข่งในทางมีการดัดแปลงสภาพไม่ถูกต้องตามกฎหมาย (3) มีพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นว่าทำการแข่งรถใน มีโทษ 2 ใน 3 ของความผิดฐานแข่งรถในทาง ต้องจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 5,000 - 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ในกรณีที่เป็นผู้จัดหรือผู้โฆษณา ประกาศชักชวนให้แข่งรถ มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับตั้งแต่ 10,000 - 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ร้านที่แต่งรถที่ช่วยแต่งรถให้ไปใช้แข่ง ต้องรับโทษในฐานะผู้สนับสนุน คือมีโทษ 2 ใน 3 ของความผิดฐานแข่งรถในทาง ต้องจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 5,000 - 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากกฎจราจรที่ทุกคนต้องปฎิบัติตามแล้ว สิ่งที่ผู้ขับขี่ทุกคนต้องมีคือแผนประกันรถยนต์ที่ดี ไม่ว่าคุณจะต้องการประกันแบบไหน ก็สามารถหาประกันรถยนต์ที่เหมาะกับตนเองได้ ด้วย แรบบิท แคร์ รวมประกันชั้นนำจากสถาบันการเงินมากมาย ซื้อง่าย ครบ จบ ในที่เดียว
กฎจราจร 10 ข้อ ที่ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตาม
หากกล่าวถึงการขับขี่ยวดยานพาหนะในประเทศไทย คงหนีไม่พ้นกฎจราจรที่เราต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพราะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หนึ่งในสาเหตุหลักของการเสียชีวิตคืออุบัติเหตุในท้องถนนที่เกิดจากการขับขี่โดยไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร นั่นหมายความว่าในปัจจุบัน ยังมีผู้ขับขี่ที่คิดว่าไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎจราจรจนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุที่เป็นข่าวอยู่ระยะ ๆ กฎ 10 ข้อที่จะได้อ่านกันนี้เป็นกฎจราจรที่ผู้ขับขี่ทุกคนควรจดจำและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนนทุก ๆ คน รวมไปถึงคนเดินถนน
1. การขับขี่ด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎจราจรกำหนด
โดยปกติแล้ว ในเขตกรุงเทพมหานคร เขตพัทยา และเขตเทศบาลต่าง ๆ ผู้ขับรถยนต์ทั่วไปและผู้ขี่รถจักรยานยนต์สามารถใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากขับขี่นอกเขตดังกล่าวแล้ว จะสามารถใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สำหรับรถบรรทุกที่มีน้ำหนักรถ รวมทั้งน้ำหนักบรรทุกเกิน 1,200 กิโลกรัม หรือรถที่บรรทุกคนโดยสาร สามารถใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเขตที่กล่าวมา และ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกเขตที่กล่าวไว้ข้างต้น หากเป็นรถพ่วงหรือรถยนต์สามล้อ สามารถใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามลำดับ หากผู้ขับขี่ใช้ความเร็วเกินตามที่กฎจราจรกำหนด จะทำให้นำไปสู่อุบัติเหตุในท้องถนนได้อย่างง่ายดาย
2. เมาแล้วขับ
สำหรับกฎจราจรข้อนี้ แน่นอนว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จะทำให้สมรรถนะการขับขี่ รวมไปถึงความสามารถในการตัดสินใจของผู้ขับขี่ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด มากไปกว่านั้น หากผู้ขับขี่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วมีปริมาณแอลกอฮอล์ในระดับเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ในพระราชบัญญัติจราจรทางบก ฉบับที่ 13 พ.ศ.2565 มาตรา 43 กล่าวว่า “มาตรา 43 ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถ… (3) ในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น” การดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์แล้วขับรถนอกจากจะลดสมรรถนะในการขับขี่แล้ว ยังก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่น ๆ ได้ โดยเฉพาะคนเดินถนน หากผู้ขับขี่ที่เมาสุราเลี้ยวรถเพื่อหักหลบสิ่งกีดขวางข้างหน้า แต่กลับเลี้ยวรถไปชนคนเดินถนนแล้ว คงจะเป็นโศกนาฎกรรมที่ไม่ควรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย ดังที่มีข่าวในลักษณะนี้ออกมาสู่สาธารณะเป็นระยะ ๆ
3. ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย
กฎจราจรข้อต่อมาที่มักละเลยกันคือเรื่องเข็มขัดนิรภัย เข็มขัดนิรภัยเป็นอุปกรณ์นิรภัยที่ติดตั้งมากับรถเพื่อความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารทุกคนภายในรถ แต่ในหลายครั้ง ๆ ผู้ขับรถรวมไปถึงผู้โดยสาร โดยเฉพาะผู้โดยสารที่นั่งเบาะด้านหลังมักปล่อยปะละเลยและลืมที่จะคาดเข็มขัดนิรภัย ทำให้เมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้ว ทำให้คนภายในรถได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ มิหนำซ้ำ หลาย ๆ ครั้งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้ ในบางกรณี อาจมีผู้ขับรถหรือผู้โดยสารบางคนคาดเข็มขัดนิรภัยไว้เฉย ๆ โดยที่ไม่คาดไว้กับตัว เพียงเพราะรำคาญเสียงสัญญาณเตือนว่ายังไม่คาดเข็มขัดนิรภัย หากปฏิบัติเช่นนี้แล้ว เมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วรถกระแทกกับสิ่งกีดขวางหรือรถคันข้างหน้า ระบบถุงลมนิรภัยหรือ ABS จะทำงาน แล้วจะส่งแรงไปยังถุงลมเพื่อซับแรงกระแทก แต่ด้วยแรงจากระบบดังกล่าวมีมาก ประกอบกับร่างกายของคนขับและผู้โดยสารข้างหน้าที่ไม่คาดเข็มขัดนิรภัยไว้กับตัว ทำให้เมื่อระบบทำงานแล้ว แรงที่ส่งมาจะกระแทกร่างกายอย่างหนัก ทำให้กระดูกซี่โครงหักได้ รวมไปถึงอวัยวะภายในเสียหายอันเนื่องมาจากแรงกระแทกหรือชิ้นส่วนกระดูกที่หักไปทิ่มแทงอวัยวะภายในเช่น ปอด หัวใจ เป็นต้น เพราะฉะนั้น ทางที่ดี ผู้ขับรถและผู้โดยสารทุกคนควรคาดเข็มขัดนิรภัยเพื่อความปลอดภัยขณะเดินทาง เพื่อเป็นการปฏิบัติตามกฎจราจรแล้ว ยังเป็นการปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยอีกด้วย
4. ขับรถแซงหน้า หรือตัดหน้าในระยะใกล้
กฎจราจรข้อต่อมาคือเรื่องของการขับรถแซงหน้า ในชีวิตประจำวัน ผู้ขับขี่รถอาจขับแซงรถคันข้างหน้าเพราะรถคันข้างหน้าอาจเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ไม่มาก ซึ่งอาจทำให้คุณเดินทางไปยังจุดหมายไม่ทันเวลา โดยเฉพาะในเวลาทำงาน ถือเป็นเรื่องปกติหากคุณตัดสินใจขับรถแซงคันข้างหน้า ในพระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 45 กล่าวไว้ว่า “ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถแซงเพื่อขึ้นหน้ารถอื่นด้านซ้าย” อย่างไรก็ดี ในกฎจราจรมาตราเดียวกันก็ระบุไว้ว่าในกรณีที่รถที่จะถูกแซงกำลังเลี้ยวขวา หรือให้สัญญาณว่าจะเลี้ยวขวา หรือในกรณีที่ทางเดินรถถูกแบ่งเป็นช่องเดินรถในทิศทางเดียวกันตั้งแต่สองช่องขึ้นไป สามารถขับรถแซงซ้ายได้ หากไม่มีรถคันอื่นตามมาข้างหลังในระยะกระชั้นชิด หรือมีความปลอดภัยมากพอที่สามารถขับรถแซงได้ ฉะนั้น หากไม่แน่ใจว่าสามารถขับรถแซงคันข้างหน้าได้อย่างปลอดภัย ไม่ควรที่จะขับรถแซงหน้า หรือขับรถตัดหน้าในระยะใกล้ เพราะจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ และทำให้คุณเสียประวัติการขับขี่โดยใช่เหตุ
5. ขับรถฝ่าไฟแดง
การขับรถฝ่าไฟแดง หรือฝ่าฝืนไฟสัญญาณจราจรก็ถือเป็นปัญหาใหญ่สำหรับการปฏิบัติตามกฎจราจรในไทย รวมไปถึงไฟสัญญาณจราจรสำหรับผู้ข้ามถนนด้วย แต่ส่วนใหญ่แล้ว เรามักจะพบเห็นผู้ขับขี่ที่ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร ทั้งสัญญาณไฟเหลืองที่เตือนผู้ขับขี่ให้เตรียมหยุดรถ และสัญญาณไฟแดงที่ให้ผู้ขับขี่หยุดรถเพื่อรอสัญญาณไฟเขียว แน่นอนว่าการฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรนำไปสู่อุบัติเหตุบนท้องถนน ทั้งต่อผู้ขับขี่ด้วยกันเอง และคนเดินถนน ซ้ำร้ายกว่านั้น อาจนำไปสู่ความสูญเสียได้
6. ไม่สวมหมวกนิรภัย
กฎจราจรที่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์มักไม่ปฏิบัติตาม นั่นคือการสวมหมวกนิรภัย หมวกนิรภัยหรือหมวกกันน็อกเป็นอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยของผู้ที่ขี่รถจักรยานยนต์ ผู้ขี่รถจักรยานยนต์ทุกคนต้องสวมหมวกนิรภัยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 122 “ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์และคนโดยสารรถจักรยานยนต์ต้องสวมหมวกที่จัดทำขึ้นโดยเฉพาะเพื่อป้องกันอันตรายในขณะขับขี่และโดยสารรถจักรยานยนต์” หากมีคนใดคนหนึ่งไม่สวมหมวกนิรภัย จะถือว่าผิดกฎหมาย และหากเกิดอุบัติเหตุแล้ว ผู้ที่ไม่สวมหมวกนิรภัยอาจได้รับบาดเจ็บจนถึงขั้นเสียชีวิต
7. ใช้โทรศัพท์มือถือโดยไม่มีอุปกรณ์ช่วยเหลือ
กฎจราจรข้อนี้เกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ ในปัจจุบัน ผู้ขับขี่สามารถใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถได้หากใช้ฟังก์ชันที่สามารถสั่งการได้ด้วยเสียง หรืออุปกรณ์เช่น หูฟังไร้สาย ขาตั้งโทรศัพท์ เป็นต้น หากไม่มีอุปกรณ์ช่วยเหลือในการใช้โทรศัพท์แล้ว ถือว่าผิดกฎหมายพระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 43 วรรค 9 “ห้ามมิให้ผู้ใดขับรถในขณะใช้โทรศัพท์ เว้นแต่การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โดยใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนาโดยผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้น”
นอกจากนี้ ยังมีการกระทำอื่น ๆ ที่ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎจราจรที่อาจไม่ได้ก่อให้เกิดอุบัติเหตุหรือการเสียชีวิตโดยตรงในกฎ 10 ข้อที่ควรทราบ
8. ขับรถชนรถ หรือทรัพย์สินของผู้อื่นแล้วหนี
หนึ่งในปัญหาการไม่เคารพกฎจราจรที่ยังคงอยู่ในสังคมไทยจนถึงปัจจุบันนั่นคือการขับรถชนแล้วหนี ตามมาตรา 78 “ผู้ใดขับรถหรือขี่หรือควบคุมสัตว์ในทาง ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล หรือทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นความผิดของผู้ขับขี่ หรือผู้ขี่ หรือควบคุมสัตว์ หรือไม่ก็ตาม ต้องหยุดรถหรือสัตว์และให้ความช่วยเหลือตามสมควร พร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที กับต้องแจ้งชื่อตัว ชื่อสกุล และที่อยู่ของตนและหมายเลขทะเบียนรถแก่ผู้ได้รับความเสียหายด้วย”
9. ไม่ต่อ พ.ร.บ.
กฎข้อนี้ถึงแม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับกฎจราจรโดยตรงก็ตาม แต่พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ มาตรา 7 ภายใต้บังคับมาตรา 8 ระบุไว้ว่า “เจ้าของรถซึ่งใช้รถหรือมีรถไว้เพื่อใช้ต้องจัดให้มีการประกันความเสียหายสำหรับผู้ประสบภัยโดยประกันภัยจากบริษัท” นั่นหมายความว่า การต่อพ.ร.บ. ถือเป็นสิ่งจำเป็นตามกฎหมายหากคุณมีรถ หากคุณประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน พ.ร.บ. จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในส่วนของค่ารักษาพยาบาลได้
10. ไม่ให้ทางรถฉุกเฉินขณะให้สัญญาณฉุกเฉิน
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันปัญหาของการไม่ปฏิบัติตามกฎจราจรในลักษณะนี้มักไม่ค่อยพบเห็นในสังคมสักเท่าไรนัก แต่ก็มีบางครั้งที่ผู้ขับขี่บางคนยังไม่ให้ทางรถฉุกเฉินอยู่ ซึ่งในหลายกรณี ทำให้ผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งที่อยู่ในรถพยาบาล หรือผู้ได้รับบาดเจ็บที่รอความช่วยเหลือไม่ได้รับการช่วยเหลือที่ทันท่วงที พระราชบัญญัติมาตรา 76 บัญญัติไว้ว่า “…ผู้ขับขี่ ผู้ขี่ หรือควบคุมสัตว์ต้องให้รถฉุกเฉินผ่านไปก่อน…(2) สำหรับผู้ขับขี่ ต้องหยุดรถหรือจอดรถให้อยู่ชิดขอบทางด้านซ้าย หรือในกรณีที่มีช่องเดินรถประจำทางอยู่ทางด้านซ้ายสุดของทางเดินรถ ต้องหยุดรถหรือจอดรถให้อยู่ชิดช่องทางเดินรถประจำทาง แต่ห้ามหยุดรถหรือจอดรถในทางร่วมทางแยก”
กฎ 10 ข้อที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ผู้ขับขี่ควรจดจำและปฏิบัติตามขณะขับขี่ยานพาหนะ ถึงแม้ว่าผู้ขับขี่อาจเรียนรู้กฎจราจรจากการสอบใบอนุญาตขับขี่แล้วก็ตาม แต่ถือว่าเป็นการดีถ้าหากผู้ขับขี่ทุกคนจดจำและปฏิบัติตามกฎจราจร 10 ข้อที่ควรรู้ขณะขับรถ มากไปกว่านั้น กฎ 10 ข้อที่กล่าวมานี้ถือว่าครอบคลุมการใช้รถใช้ถนนในชีวิตประจำวัน หากผู้ขับขี่รวมถึงคุณสามารถปฏิบัติตามกฎ 10 ข้อได้แล้ว เชื่อว่าอุบัติเหตุบนท้องถนนจะลดลงได้อย่างแน่นอน สุดท้ายนี้ น้องแคร์ขอฝากประกันรถยนต์ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจ และขอให้ผู้ขับขี่ทุก ๆ คนปฏิบัติตามกฎจราจร 10 ข้อที่ฝากไว้ เพื่อสังคมบนท้องถนนที่สงบสุขมากขึ้น!
ความคุ้มครองประกันรถยนต์