เจาะลึกเครือข่ายผู้ให้บริการบัตรเครดิตที่ควรรู้
เครือข่ายผู้ให้บริการบัตร (Credit Card Networks) คือกลไกที่ทำให้ระบบบัตรเครดิตสามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยมีหน้าที่เชื่อมโยงระหว่าง ผู้ถือบัตร, ร้านค้า, และธนาคารผู้ออกบัตร เพื่อให้ธุรกรรมผ่านบัตรเกิดขึ้นได้ในเวลาไม่กี่วินาที
Credit Card Networks ไม่ใช่ผู้ที่ให้เงินกู้ หรืออนุมัติวงเงินแก่ผู้ใช้บัตร แต่เป็นผู้ควบคุมระบบหลังบ้าน เช่น การอนุมัติการใช้บัตร, การตรวจสอบความปลอดภัย, และการเคลียร์ยอดชำระเงินระหว่างธนาคาร
ความแตกต่างระหว่างผู้ให้บริการเครือข่ายและผู้ออกบัตร
- ผู้ให้บริการเครือข่ายบัตร (Network Provider) เช่น Visa, Mastercard ทำหน้าที่ประมวลผลธุรกรรม
- ผู้ออกบัตร (Issuer) ธนาคารหรือสถาบันการเงิน เช่น KBank, SCB ให้วงเงินและตัดสินใจอนุมัติบัตร
กล่าวง่ายๆ คือ Network เปรียบเสมือนถนน ส่วน Issuer คือรถยนต์ที่ขับเคลื่อนไปบนถนนนั้น
ผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมเครือข่ายบัตรเครดิต

เป็นเครือข่ายที่ได้รับความนิยมสูงสุดทั่วโลก มีร้านค้ารองรับกว่า 200 ประเทศ เป็นระบบ "Open-loop" ที่เน้นความยืดหยุ่นและการยอมรับกว้างขวาง

เป็นคู่แข่งหลักของ Visa มีบริการที่ใกล้เคียงกัน แต่มักเน้นการพัฒนาโปรโมชั่นร่วมกับร้านค้า เช่น ส่วนลดร้านอาหาร หรือ Cashback พิเศษ

Amex เป็นทั้งผู้ให้บริการเครือข่ายและผู้ออกบัตรด้วยตนเอง สิทธิพิเศษระดับพรีเมียม เช่น ห้องรับรองสนามบินและบริการลูกค้า VIP

UnionPay เครือข่ายบัตรเครดิตของประเทศจีน มีขนาดเครือข่ายใหญ่ที่สุดในแง่จำนวนบัตรที่ออกทั่วโลก เหมาะกับผู้ที่เดินทางไปจีน หรือซื้อสินค้าจากร้านค้าออนไลน์จีน

JCB เป็นเครือข่ายบัตรเครดิตจากญี่ปุ่น มีจุดเด่นที่สิทธิประโยชน์สำหรับผู้เดินทางไปญี่ปุ่น เช่น ส่วนลดร้านอาหาร, โรงแรม, หรือร้านค้าของญี่ปุ่น

Discover
แม้จะไม่เป็นที่รู้จักในไทยมากนัก แต่ในสหรัฐฯ Discover ถือเป็นเครือข่ายที่ได้รับความนิยมจากการให้ Cashback สูง ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี
หน้าที่ของเครือข่ายผู้ให้บริการบัตรในระบบธุรกรรม

1. การอนุมัติธุรกรรม
เมื่อคุณรูดบัตรซื้อของ ข้อมูลจะถูกส่งไปยังเครือข่ายบัตร เช่น Visa หรือ Mastercard เพื่อเช็คว่าคุณมีวงเงินพอหรือไม่ และมีธุรกรรมต้องสงสัยหรือไม่
2. ระบบการชำระเงินระหว่างธนาคาร
Credit Card Networks เป็นตัวกลางในการส่งเงินจากธนาคารผู้ออกบัตร (Issuer) ไปยังธนาคารของร้านค้า (Acquirer) พร้อมหักค่าธรรมเนียมในขั้นตอน
3. การรักษาความปลอดภัยข้อมูล ทุกธุรกรรมจะผ่านการเข้ารหัส (encryption) และหลายระบบป้องกัน เช่น EMV chip, OTP, และ Tokenization เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล

1. การอนุมัติธุรกรรม
เมื่อคุณรูดบัตรซื้อของ ข้อมูลจะถูกส่งไปยังเครือข่ายบัตร เช่น Visa หรือ Mastercard เพื่อเช็คว่าคุณมีวงเงินพอหรือไม่ และมีธุรกรรมต้องสงสัยหรือไม่
2. ระบบการชำระเงินระหว่างธนาคาร
Credit Card Networks เป็นตัวกลางในการส่งเงินจากธนาคารผู้ออกบัตร (Issuer) ไปยังธนาคารของร้านค้า (Acquirer) พร้อมหักค่าธรรมเนียมในขั้นตอน
3. การรักษาความปลอดภัยข้อมูล ทุกธุรกรรมจะผ่านการเข้ารหัส (encryption) และหลายระบบป้องกัน เช่น EMV chip, OTP, และ Tokenization เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล
บริษัทบัตรเครดิตมีบทบาทอย่างไรในระบบนี้
ความสัมพันธ์กับธนาคารผู้ออกบัตร
บริษัทบัตรเครดิตอย่าง Visa และ Mastercard ไม่ได้ให้เงินกู้กับผู้ใช้ แต่ทำงานร่วมกับธนาคารเพื่อพัฒนาโปรแกรมบัตรเครดิต
วิธีสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียม
บริษัทบัตรเครดิตสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียมหลายรูปแบบ เช่น
- ค่าธรรมเนียมร้านค้า (Merchant Fees)
- ค่าธรรมเนียมแลกเปลี่ยน (Interchange)
- ค่าบริการรายปีจากผู้ใช้บัตร
บริการที่มาพร้อมกับบัตรเครดิต
ไม่ว่าจะเป็นการผ่อน 0%, ประกันการเดินทาง, หรือสะสมแต้ม สิ่งเหล่านี้เป็นกลยุทธ์ในการแข่งขันของบริษัทบัตรเครดิตเพื่อแย่งลูกค้า
ความแตกต่างของเครือข่ายผู้ให้บริการบัตรเครดิต
เครือข่ายผู้ให้บริการบัตรเครดิต คือหัวใจของระบบบัตรที่ทำให้ธุรกรรมเกิดขึ้นได้ในไม่กี่วินาที โดยแต่ละเครือข่ายมีจุดเด่นแตกต่างกัน เช่น
- Visa / Mastercard ยืดหยุ่น ใช้ได้ทั่วโลก
- Amex / Discover สิทธิพิเศษดีเยี่ยม แต่ใช้ได้เฉพาะบางประเทศ
- UnionPay เหมาะกับนักช้อปสินค้าจีน, นักเดินทางไปจีน, หรือผู้ที่ทำธุรกิจกับจีน
- JCB เหมาะกับผู้ที่เดินทางบ่อยไปญี่ปุ่น หรือชอบใช้บริการจากร้านค้าแบรนด์ญี่ปุ่น
การเลือกบัตรให้เหมาะควรพิจารณาเครือข่ายควบคู่กับโปรโมชันและสิทธิประโยชน์ที่ตรงกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของคุณ เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด