หลายคนอาจจะยังสงสัยเรื่องการใช้งานบัตรกดเงินสด และการกดเงินสดจากบัตรเครดิตว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร วันนี้ แรบบิท แคร์ มีคำตอบ

บัตรเครดิต และบัตรกดเงินสด สามารถกดเงินสดออกมาใช้ได้เหมือนกัน แต่บัตรเครดิตจะเสียค่าธรรมเนียมในการเบิกถอน 3% และเสียภาษีอีก 7% เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเงินสดสำรองและต้องการใช้เงินในช่วงฉุกเฉิน ส่วนบัตรกดเงินสด จะไม่มีค่าธรรมเนียมและภาษี จะมีก็แต่ดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว แต่ดอกเบี้ยจะสูงมาก เหมาะสำหรับผู้ที่สามารถหาเงินมาจ่ายคืนได้อย่างรวดเร็ว เพราะจะคิดดอกเบี้ยเป็นรายวัน ซึ่งใครที่เป็นหนี้บัตรกดเงินสด ควรจะรีบผ่อนชำระ เพื่อไม่ให้ดอกเบี้ยบานปลายจนสายเกินแก้

บัตรกดเงินสด เป็นรูปแบบหนึ่งของสินเชื่อทางการเงินสำหรับบุคคลธรรมดาที่มีวงเงินพร้อมใช้ โดยแบ่งการใช้งานออกเป็น 2 รูปแบบ คือ ใช้เพื่อกดเงินสด และใช้ผ่อนสินค้า

สำหรับการใช้เพื่อกดเงินสด ไม่จำเป็นต้องมีเงินในบัญชี และไม่ต้องมีทรัพย์สินเป็นหลักประกันใด ๆ แต่เพราะเหตุผลนี้จึงทำให้ดอกเบี้ยของบัตรกดเงินสดนั้นสูงกว่า 20% เลยทีเดียว ซึ่งนับว่าสูงกว่าสินเชื่อประเภทอื่น ดังนั้นจึงควรกดเงินจากบัตรกดเงินสดในเวลาที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นหนี้บัตรกดเงินสด

มาดูที่การใช้บัตรกดเงินสดผ่อนสินค้ากันบ้าง บัตรกดเงินสด จะช่วยให้เราผ่อนสินค้าได้ในระยะเวลาที่ยาวนานกว่าบัตรเครดิต โดยสามารถผ่อนแบบดอกเบี้ย 0% ได้ แต่หากมีการผิดนัดชำระหนี้ก็จะต้องเสียดอกเบี้ยเช่นเดียวกับบัตรเครดิต และจากการที่บัตรกดเงินสดเข้ามาช่วยเสริมสภาพคล่องในการใช้จ่ายได้มากพอสมควร จึงทำให้หลายคนเป็นหนี้บัตรกดเงินสดโดยไม่รู้ตัว เพราะไม่มีวินัยในการใช้จ่ายมากเพียงพอ ซึ่งวันนี้ แรบบิท แคร์ จะพามาดูกันว่า เมื่อเป็นหนี้บัตรกดเงินสดแล้ว ควรทำอย่างไร อายุความบัตรกดเงินสดนั้นยาวนานเท่าไหร่ เพื่อให้สามารถใช้อายุความบัตรกดเงินสดที่หมดอายุเพื่อสู้คดีได้ต่อไป

แม้ว่าบัตรกดเงินสด จะไม่มีค่าธรรมเนียมในการเบิกถอน ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี และไม่มีค่ารักษาสถานภาพบัตรเหมือนกับบัตรเครดิต แต่ก็มีดอกเบี้ยที่สูงมาก ๆ เมื่อเทียบกับสินเชื่อประเภทอื่น จึงทำให้ผู้ใช้บัตรเป็นหนี้บัตรกดเงินสดได้อย่างง่ายดาย เมื่อไม่จ่ายบัตรกดเงินสดจะถูกคิดดอกเบี้ยเป็นรายวัน และจะกลายเป็นหนี้บัตรกดเงินสดในทันที

มาดูที่อายุความบัตรกดเงินสดกันบ้าง หากเป็นบัตรเงินสดที่ให้บริการเบิกถอนเงินสดล่วงหน้า จะถือเป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการบัตรเครดิต อายุความบัตรกดเงินสดนั้นจะมีระยะเวลา 5 ปี แต่หากเป็นบัตรกดเงินสดที่มีลักษณะเป็นสัญญากู้ยืมเงิน แบบไม่ต้องผ่อนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเป็นงวด ๆ และไม่มีลักษณะเป็นการออกเงินทดรอง อายุความบัตรกดเงินสดประเภทนี้จะมีระยะเวลา 10 ปี

หากคดีหมดอายุความแล้ว ลูกหนี้ผู้ถูกฟ้อง สามารถยกเอาประเด็นอายุความบัตรกดเงินสดมาใช้ต่อสู้ในชั้นศาลเพื่อปฏิเสธการชำระหนี้ได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการเจรจาต่อรองยอดหนี้ แต่หากจำเลยไม่ยกประเด็นนี้มาให้การต่อสู้คดี ศาลจะหยิบเอาประเด็นเรื่องอายุความบัตรกดเงินสดมาพิจารณาเองไม่ได้

แม้ว่าอายุความบัตรกดเงินสดจะหมดไป และนับเป็นหนี้ที่ขาดอายุความไปแล้ว แต่เจ้าหนี้ก็ยังสามารถฟ้องลูกหนี้ให้ชำระเงินคืนได้ตลอดเวลา เพราะในทางกฎหมายแล้ว แม้ว่าอายุความบัตรกดเงินสดจะขาดอายุความไปแล้ว ก็ยังสามารถฟ้องได้ เพราะศาลถือว่าเรื่องอายุความบัตรกดเงินสดเป็นเรื่องส่วนตัวของคู่ความในคดีนั้น ๆ และจะไม่หยิบยกเอาประเด็นอายุความบัตรกดเงินสดที่หมดอายุมาพิจารณา หากจำเลยไม่ยื่นคำให้การต่อสู้

ซึ่งโดยทั่วไปคดีที่อายุความบัตรกดเงินสดหมดอายุไปแล้ว ส่วนใหญ่แล้วฝ่ายโจทก์ก็จะยังคงยื่นฟ้องต่อศาล เพราะยังมีโอกาสชนะคดี ซึ่งโอกาสในการชนะคดีก็อาจเกิดจากการที่จำเลยไม่มาศาล หรือทนายยกข้อกฎหมายเรื่องอายุความบัตรกดเงินสดที่หมดอายุไปแล้วขึ้นมาสู้ผิดประเด็น หรือไม่ยกเอาประเด็นนี้มาสู้เลย ขณะเดียวกันฝ่ายจำเลยก็ยังมีโอกาสชนะคดีอยู่เช่นกัน หากยื่นคำให้การต่อสู้ในเรื่องอายุความที่หมดอายุได้อย่างตรงประเด็น

สำหรับใครที่เป็นหนี้บัตรกดเงินสด และต้องการลดภาระการผ่อนต่อเดือน สามารถทำได้ด้วยการขอสินเชื่อรวมหนี้ ซึ่งสินเชื่อรวมหนี้ คือ การรวมเอาหนี้ทั้งหมดที่มีทุกก้อน ไม่ว่าจะเป็นหนี้บัตรเครดิต หนี้บัตรกดเงินสด ฯลฯ มารวมกันอยู่ที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินเดียว โดยจะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง ยอดผ่อนชำระต่อเดือนที่น้อยลง ช่วยให้บริหารจัดการหนี้ได้ง่ายขึ้นเนื่องจากเห็นยอดหนี้ทั้งหมดที่ต้องจ่ายได้เป็นก้อนเดียว และมีอัตราดอกเบี้ยเดียว แต่หากต้องการรวมหนี้ จะต้องพิจารณาอัตราดอกเบี้ยให้ดีเพื่อประกอบการตัดสินใจ ไม่ให้หนี้บัตรกดเงินสดในมือเพิ่มขึ้นมาได้

• ช่วยให้บริหารหนี้เพียงก้อนเดียว ไม่เกิดความสับสนในยอดหนี้ที่ต้องจ่ายให้กับหลากหลายสถาบันการเงิน ที่มีวันกำหนดจ่ายไม่ตรงกัน
• มีโอกาสได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง
• จำนวนยอดผ่อนต่อเดือนจะลดน้อยลง ช่วยลดภาระหนี้บัตรกดเงินสดที่ต้องชำระต่อเดือนได้
• รู้ระยะเวลาการผ่อนที่แน่นอน ช่วยให้บริหารจัดการหนี้บัตรกดเงินสดได้ง่ายขึ้น เพิ่มโอกาสปลดหนี้ได้ง่ายกว่า

• รวบรวมยอดหนี้บัตรกดเงินสดทั้งหมด ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เพื่อให้เห็นยอดเงินที่ต้องจ่ายจริง ซึ่งการใช้สินเชื่อรวมหนี้จะช่วยในจุดนี้ได้ค่อนข้างมาก
• ประเมินความสามารถในการผ่อนชำระหนี้บัตรกดเงินสดในแต่ละเดือน ด้วยการนำรายรับ มาหักลบกับรายจ่ายที่จำเป็น เพื่อให้เห็นตัวเลขที่ชัดเจนที่สามารถจ่ายหนี้ได้ และตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อเพิ่มยอดเงินสำหรับชำระหนี้

บัตรกดเงินสด นับเป็นตัวช่วยยามฉุกเฉิน เมื่อต้องการใช้เงินเร่งด่วน หากไม่เบิกถอนเงินออกมาใช้ ก็จะไม่เสียดอกเบี้ย ไม่มีค่ารักษาสถานภาพบัตร รวมถึงค่าธรรมเนียมรายปี การมีบัตรกดเงินสดไว้ใช้ในช่วงเวลาจำเป็น นับว่าเหมาะมาก ๆ กับผู้ใช้บัตรที่สามารถหาเงินมาจ่ายหนี้ได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากบัตรกดเงินสดนั้นมีดอกเบี้ยสูง จึงต้องรีบผ่อนชำระหนี้ให้หมดไป

สำหรับเทคนิคในการใช้บัตรกดเงินสดไม่ให้เป็นหนี้ ทำได้ด้วยการไม่จ่ายหนี้แค่วงเงินขั้นต่ำเพราะจะทำให้ดอกเบี้ยเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ เพราะการจ่ายแค่ยอดขั้นต่ำ ส่วนใหญ่ยอดที่จ่ายจะหมดไปกับการผ่อนแค่ดอกเบี้ย และลดเงินต้นไปไม่มาก ทั้งยังต้องจ่ายให้ตรงเวลา เพื่อไม่ให้โดนบวกดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และไม่ให้ถูกคิดค่าปรับเป็นค่าติดตามทวงถามหนี้ และค่าปรับชำระล่าช้า นอกจากนี้ ยังไม่ควรเบิกเงินสดไปเต็มวงเงิน แต่ให้เบิกเฉพาะยอดที่จำเป็น เพราะอาจทำให้หาเงินมาผ่อนคืนได้ไม่ครบ หรือหากต้องการซื้อสินค้าด้วยเงินผ่อน อาจใช้บัตรกดเงินสดรูดและเลือกผ่อน 0% ซึ่งจะผ่อนได้นานสูงสุด 36 เดือน ขึ้นอยู่กับแต่ละร้านค้า

หากใครที่กำลังต้องการแก้ปัญหาหนี้บัตรกดเงินสด อาจทำได้ด้วยการรีไฟแนนซ์รถ เพื่อนำเงินมาปิดหนี้ในส่วนนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงกว่า หรือสามารถขอสินเชื่อรวมหนี้ เพื่อรวมเอาหนี้มาไว้ก้อนเดียว เพิ่มความสะดวกในการผ่อนจ่ายคืน ซึ่ง แรบบิท แคร์ ก็มี สินเชื่อส่วนบุคคล ให้เลือกมากมาย ช่วยให้คุณวางแผนการผ่อนจ่ายหนี้ได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องใช้คนหรือสินทรัพย์ค้ำประกัน ทั้งยังช่วยลดภาระการผ่อนต่อเดือน และลดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำลงอีกด้วย