Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ในการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งาน และเพื่อเก็บข้อมูลสถิติ ท่านสามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่นโยบายคุกกี้

เปรียบเทียบสินเชื่อ ง่าย ๆ ภายใน 30 วินาที กับ

Rabbit Care

Loan Agreement_MOBILE.png

สัญญาเงินกู้ เรื่องที่คนร้อนเงินต้องระวัง!

เรื่องของเงิน ๆ ทอง ๆ นั้นเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ต้องประสบพบเจอกันทุกคน เพราะบางครั้งก็ต้องมีช่วงเวลาที่ต้องใช้เงินกันเป็นการด่วนอย่างปฏิเสธไม่ได้ ทำให้หลายคนเลือกที่จะหาเงินกู้มาใช้จ่ายกันให้ทันเวลา แต่การกู้ยืมเงินนั้น หากไม่ได้มีเรื่องของ สัญญาเงินกู้ หรือสัญญากู้ยืมเงิน โดยเฉพาะเมื่อเป็นการกู้นอกระบบด้วยแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องที่ต้องระวัง และพิจารณาตัดสินใจกันให้ดีสักนิด เพื่อความสบายใจของตัวผู้กู้ที่จะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบในการผ่อนจ่าย

ทั้งนี้ในเรื่องของการกู้เงิน หรือทำสัญญาเงินกู้นั้นจะมีความสำคัญมากขนาดไหนนั้น ในบทความนี้เรามีคำตอบมาอธิบายเพื่อไขความกระจ่างให้ได้ทราบกัน

สัญญากู้ยืมเงิน คืออะไร?

ก่อนที่จะเริ่มไปสู่การทำสัญญากู้ยืมเงิน หรือสัญญาเงินกู้ ต้องทราบก่อนว่า กรณีที่มีการกู้ยืมเงินนั้นไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับทางสินเชื่อหรือไม่ แต่หากมีการกู้เงินเกินจำนวน 2,000 บาท ขึ้นไป และยังคงมีการเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยตามข้อกฎหมายกำหนด จำเป็นที่จะต้องมีการทำสัญญาเงินกู้ทันที โดยสัญญากู้เงินหรือสัญญากู้ยืมเงินนั้นคือหลักฐานสำคัญที่ใช้ประกอบการกู้ ซึ่งจะเกิดจาก ผู้กู้ และ ผู้ให้กู้ โดยเอกสารสัญญาเงินกู้จะเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า มีการทำสัญญากู้เงิน ที่ระบุว่าได้ทำการกู้ยืมเงินเป็นจำนวนเท่าไหร่ และมีอัตราดอกเบี้ยอย่างไร

โดยภายในสัญญากู้เงินมีการระบุว่าผู้กู้ยืมจะใช้คืนภายในเวลาใด รวมทั้งยังมีการกำหนดว่าหากมีการผิดจากข้อกำหนดในสัญญา อีกฝ่ายซึ่งเป็นผู้ให้กู้ มีสิทธิ์ที่จะดำเนินการตามกฎหมายได้ทันที โดยการกู้ยืมเงินจะมีผลต่อเมื่อผู้กู้ได้รับเงินจากผู้ให้กู้ยืมเงินเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งสัญญาเงินกู้จะมีผลบังคับใช้ได้ทันทีที่มีการลงนามยินยอมในสัญญากู้เงินจากทั้งสองฝ่ายเรียบร้อย

สิ่งสำคัญที่ต้องระบุให้ชัดเจนใน สัญญาเงินกู้

ในการทำสัญญาเงินกู้นั้นไม่เพียงแค่มีเรื่องของการลงนามเท่านั้น แต่ผู้ที่ให้กู้ยืมต้องมีการระบุรายละเอียดต่าง ๆ ลงไปให้ชัดเจนซึ่งส่วนสำคัญที่ต้องระบุในสัญญากู้ยืมเงินนั้นมีอยู่ทั้งหมด 6 ส่วนสำคัญด้วยกัน คือ

1. จำนวนเงินต้นที่กู้ยืม

สิ่งแรกที่เป็นส่วนสำคัญที่สุดของสัญญากู้เงินก็คือ การระบุจำนวนเงินที่มีการกู้ยืมเอาไว้อย่างชัดเจน โดยให้ใส่ลงไปทั้งตัวเลข และตัวอักษรอย่างชัดเจน

2. ระบุอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บ

เพื่อความเป็นธรรมของทั้งสองฝ่าย อัตราดอกเบี้ยก็เป็นสิ่งที่ควรจะมีการระบุเป็นลายลักษณ์เอาไว้ในสัญญาเงินกู้อย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน

3. ระยะเวลาชำระหนี้

ผู้ที่ทำการชำระหนี้ จะต้องทราบกำหนดของการจ่ายเงินคืนอย่างชัดเจน ซึ่งระยะเวลาในการชำระหนี้นั้นเป็นสิ่งสำคัญมากที่ต้องระบุเอาไว้ให้ชัดเจนบนสัญญาเงินกู้ เนื่องจากหากว่ามีการผิดจากการนัดชำระที่ระบุเอาไว้ จะสามารถใช้ในการเป็นหลักฐานสำหรับการฟ้องร้องเอาความได้ในภายหลัง

4. วันที่ในการทำสัญญากู้เงิน

ควรมีการลงวันที่เอาไว้ให้ชัดเจนว่า วันใดที่มีการกู้ยืมเงิน และวันใดที่มีการลงชื่อทำสัญญากู้ยืมเงินร่วมกัน

5. พยานในการกู้ยืมเงิน

ด้วยความที่การทำสัญญากู้ยืมเงินนั้นจำเป็นต้องมีการระบุสัญญากู้เงินที่เป็นข้อกำหนด และรายละเอียดอย่างชัดเจน จึงจำเป็นที่จะต้องมีพยานยืนยันจากทั้ง 2 ฝ่าย โดยการมีพยานจะให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมต่อทั้งสองฝ่ายได้มากกว่า

6. ชื่อและลายมือชื่อของทั้งสองฝ่าย

เพื่อเป็นการสิ้นสุดการทำสัญญาเงินกู้ ต้องมีการลงชื่อของผู้ที่กู้และผู้ให้กู้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นลายลักษณ์อักษร และลายมือชื่อ ซึ่งจะถือเป็นสัญญากู้ยืมเงินที่สมบูรณ์แบบ

สิ่งที่ต้องพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจเซ็น สัญญาเงินกู้

แม้ว่าการมีสัญญาเงินกู้ จะเป็นสิ่งที่ดี และควรทำสำหรับการกู้ยืมเงินก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่กู้ยืมเงินจะต้องรีบตอบตกลงเซ็นชื่อในทันทีทันใด โดยเฉพาะเมื่อมีเรื่องของเงื่อนไขต่าง ๆ ด้วยแล้วยิ่งต้องทำความเข้าใจ อ่านเงื่อนไขให้ดีก่อนที่จะยืนยันด้วยการลงลายมือชื่อ ซึ่งสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญก่อนลงลายมือชื่อมี 5 ข้อด้วยกัน คือ

1. ยอดเงินต้น

สัญญาเงินกู้จะต้องมีการระบุยอดเงินต้นเอาไว้ให้ชัดเจน ซึ่งส่วนนี้ถือว่าเป็นส่วนสำคัญด่านแรกของตัวสัญญากู้เงินเลยก็ว่าได้ เพราะจะต้องมีการระบุจำนวนเงินที่กู้ยืมเอาไว้ให้ตรงกับจำนวนจริง ๆ ที่ผู้กู้ยืมต้องการ ทั้งนี้หากมีการคลาดเคลื่อนของตัวเลข ก็ต้องมีการปรับแก้ในทันที ซึ่งทางที่ดีควรเปลี่ยนสัญญากู้ยืมเงินฉบับใหม่ที่ระบุจำนวนเงินถูกต้องตามที่มีการกู้ยืมกัน

2. อัตราดอกเบี้ย

ดอกเบี้ยเป็นสิ่งที่ต้องมีการระบุเอาไว้ให้ชัดเจน ซึ่งดอกเบี้ยคือสิ่งที่จะต้องมีแนบท้ายจากการยืมเงินเพื่อให้เกิดความเสมอภาคกันระหว่างผู้ให้กู้ยืม และเพื่อที่ผู้กู้ยืมเองก็จะต้องมีภาระหน้าที่ในการชำระให้ครบตามกำหนด อย่างไรก็ตามอัตราดอกเบี้ยที่ต้องระบุในสัญญาเงินกู้จะต้องไม่เกิดจากพระราชบัญญัติที่ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราซึ่งจะต้องไม่เกิน 15% สำหรับกรณีที่เป็นนิติบุคคล แต่หากเป็นการกู้ยืมกับสถาบันการเงิน อัตราดอกเบี้ยสามารถเกิน 15% ได้ แต่ต้องมีการควบคุมโดยธนาคารแห่งประเทศไทย

3. จำนวนยอดที่ต้องทำการผ่อนจ่ายต่อเดือน

ส่วนนี้ก็เป็นส่วนสำคัญที่ผู้กู้ยืมเงินจะต้องพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วน เนื่องจากเป็นจำนวนเงินที่จะต้องผ่อนจ่ายในจำนวนที่เท่ากันทุกเดือน ซึ่งผู้กู้เงินจะต้องตรวจสอบให้ดีว่ายอดจ่ายต่อเดือนที่มีการตกลงกันไว้ กับที่ระบุในสัญญาเงินกู้นั้นตรงกันหรือไม่ ซึ่งหากเป็นกรณีที่ทำการกู้เงินกับสถาบันการเงิน หรือสินเชื่อ ทางสถาบันการเงินจะมี ตารางยอดผ่อนต่อเดือนที่ระบุเอาไว้ให้ชัดเจน และแม้ว่าจะเป็นตารางการผ่อนจ่ายที่มาจากสถาบันทางการเงิน แต่ผู้กู้ยืมเงินก็ต้องตรวจสอบให้ดีเช่นเดียวกัน

4. ระยะเวลาในการชำระหนี้

เมื่อมีการกู้เงินกับนิติบุคคล สถาบันทางการเงิน หรือบริษัทสินเชื่อ จำนวนยอดในการผ่อนต่อเดือนและระยะเวลาในการผ่อนจ่ายจะต้องมีการสอดคล้องตรงกัน ซึ่งส่วนนี้ผู้ที่กู้ยืมเงินต้องตรวจสอบให้ดี โดยต้องดูว่าวันที่เริ่มสัญญากู้เงิน และวันสิ้นสุดของสัญญาเงินกู้นั้นตรงกับระยะเวลาผ่อนจ่ายหรือไม่ เพราะหากมีการคลาดเคลื่อนแล้วเกิดผลประโยชน์ขึ้นกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยที่มีการลงนามเซ็นสัญญาแล้วจะถือว่าเป็นการยินยอมตกลงทันที ซึ่งระยะเวลาที่เกิดขึ้นจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้กู้ยืมเงินสามารถคำนวณค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนได้ง่ายขึ้นด้วย

5. เงื่อนไขกรณีที่มีการผิดชำระหนี้

เงื่อนไขในการชำระหนี้ที่อยู่ในสัญญาเงินกู้นั้นเป็นหน้าที่ที่ผู้กู้เงินจะต้องยอมรับ และรับผิดชอบให้ตรงกับที่เงื่อนไขระบุ ทั้งนี้ในสัญญาจะต้องระบุชัดเจนว่าหากมีการผิดนัดจะต้องจัดการอย่างไร หรือมีเงื่อนไขกรณีผิดนัดชำระหนี้อย่างไรบ้าง ซึ่งข้อนี้ผู้ที่กู้ยืมเงินก็ต้องตรวจสอบให้ดีก่อนเซ็นสัญญากู้เงินเช่นเดียวกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากมีการทำสัญญาแล้ว ผู้กู้ยืมเงินไม่ควรที่จะผิดนัดชำระหนี้จะเป็นการดีที่สุด เพราะมีผลต่อทั้งเครดิต และอาจนำไปสู่การฟ้องร้องกันได้ในอนาคตอีกด้วย

เรียกได้ว่าเรื่องของการทำสัญญาเงินกู้นั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องรู้ และทำความเข้าใจให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจเซ็นสัญญาในข้อกำหนดต่าง ๆ ทั้งนี้แม้ว่าจะเป็นการกู้เงินแม้ว่าจะมีความจำเป็นเร่งด่วน หรือต้องรีบใช้เงินสำหรับเรื่องด่วนใดก็ตาม แต่ก็อยากแนะนำให้กู้ยืมเงินจากสินเชื่อส่วนบุคคล และสถาบันทางการเงินที่มีความน่าเชื่อถือ เพราะมีความปลอดภัยในเรื่องของการผ่อนชำระที่ดีกว่า รวมทั้งยังมีความชัดเจนมากกว่าในเรื่องของการทำสัญญาเงินกู้ ที่สำคัญก็คือโอกาสในการผ่อนชำระที่อยู่ในเกณฑ์ที่ผู้กู้ยอมรับได้ ไม่มีการโกงซึ่งนี่คือข้อดีที่จะได้รับหากว่ามีการกู้ยืมเงินจากสินเชื่อส่วนบุคคล ที่จะคุ้มค่ามั่นใจได้มากกว่าการกู้ยืมในสินเชื่อนอกระบบอย่างแน่นอน

สินเชื่อที่ แรบบิท แคร์ แนะนำ

CardX SPEEDY LOAN
  • ผ่อนนานสูงสุด 24 และ 72 เดือน
  • วงเงินกู้ถึงหลักล้าน
  • อัตราดอกเบี้ย 25% ต่อปี
  • มีอายุงานตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป
  • มีรายได้ต่อเดือน 15,000 บาทขึ้นไป
สินเชื่อบุคคลซิตี้
  • ผ่อนชิลๆ 60 เดือน
  • อนุมัติวงเงินสูงสุด 2 ล้านบาท
  • มีรายได้ต่อเดือน 20,000 บาทขึ้นไป
  • อายุงานตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป
  • ไม่เคยยื่นกับ Citi ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
สินเชื่อส่วนบุคคล Happy Cash ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์

LH Bank

  • ดอกเบี้ยต่ำ 8.88%/ปี*
  • วงเงินสูงสุด 1.5 ล้านบาท*
  • ผ่อนนานสูงสุด 60 เดือน*
  • ไม่ต้องค้ำประกัน
  • อายุงานไม่น้อยกว่า 1 ปีขึ้นไป
  • ทำงานในเขตกรุงเทพ และปริมณฑล
  • รายได้ต่อเดือนขั้นต่ำ 30,000 บาทขึ้นไป
สมัครสินเชื่อส่วนบุคคล TTB Cash2Go
  • อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 25% ต่อปี
  • ไม่ต้องค้ำ
  • ดอกเบี้ยพิเศษ ลดต้นลดดอก
  • ผ่อนได้นานสุด 60 เดือน
  • วงเงินอนุมัติสูง 5 เท่าของรายได้

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา