
บัตรเครดิตเติมน้ำมัน (Fleet Card) คืออะไร ? มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ?
คิดออกแล้ว!! ไอเดียเด็ด แบรนด์ในฝัน นิยายสุดปัง งานสร้างสรรค์ที่เบ่งบานขึ้นมาจากจินตนาการ และน้ำพักน้ำแรงของเราเอง แต่สมัยนี้หากอะไรหลุดลอดไปบนโลกอินเทอร์เน็ต ไอเดียสุดบรรเจิดของคุณก็อาจกลายเป็นของคนอื่นได้ในพริบตา ฉะนั้น เครื่องหมายการค้า สิทธิบัตร และลิขสิทธิ์ จึงสำคัญอย่างมาก! วันนี้เราจึงอยากมาไขข้อสงสัย เพื่อไว้ใช้รักษาสิทธิในงานสร้างสรรค์ของทุกคน !
เครื่องหมายการค้า คือเครื่องหมาย สัญลักษณ์ หรือตราต่าง ๆ ที่ถูกใช้กับบริษัท สินค้า หรือบริการต่าง ๆ ปัจจุบัน ใช้หลักการคุ้มครองตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าปี 2559 เพื่อไม่ให้เกิดการใช้ประโยชน์ร่วมระหว่างแบรนด์ หรือไม่เกิดการจดเครื่องหมายการค้าทับซ้อนจนเกิดความสับสนในหมู่ผู้บริโภค เพื่อสร้างอัตลักษณ์ให้กับสินค้า และบริการ
คุ้มครองเครื่องหมายการค้า 10 ปี โดยบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น จะไม่สามารถนำเครื่องหมายการค้า รวมถึงสินค้า หรือบริการที่มีเครื่องหมายการค้านั้นไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต หากพบเห็นการละเมิด เจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกกฎหมาย ก็สามารถฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนได้
สิทธิบัตร คือหนังสือสำคัญที่รัฐ และภาคกฎหมาย ออกมาเพื่อปกป้องงานประดิษฐ์ และการออกแบบผลิตภัณฑ์ โดยเป็นสิทธิผูกขาดสำหรับผู้ถือสิทธิบัตรเท่านั้น โดยผู้ถือสิทธิบัตรมีสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์ทางพาณิชย์กับสิ่งประดิษฐ์ของตน หรือสามารถมอบสิทธิ์ทางการค้าแก่ผู้อื่นแต่ต้องมีการทำข้อตกลงอย่างชัดเจน และเป็นการเห็นพ้องร่วมกันทั้งสองฝ่าย มิเช่นนั้นผู้ถือสิทธิบัตรมีสิทธิ์ฟ้องผู้ที่นำสิ่งประดิษฐ์ของตนไปใช้โดยไม่ได้ขออนุญาต
ความแตกต่างสำคัญก็คือ สิทธิบัตรใช้กับสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกได้ว่าเป็นวิทยาการพลิกผันโลก หรือพลิกผันอุตสาหกรรมได้ ส่วนอนุสิทธิบัตร คืองานประดิษฐ์ที่นำวิทยาการที่มีอยู่แล้วมาปรับแต่งเพิ่มเติมให้เป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพ หรือใช้ได้จริงมากขึ้น ฉะนั้นหากเป็นงานประดิษฐ์ที่ไม่ได้ซับซ้อน หรือเป็นการต่อยอด จะตกอยู่ในลักษณะของอนุสิทธิบัตรทั้งสิ้น
ยกตัวอย่างเช่น รถไฟฟ้าพลังแม่เหล็กถูกจดสิทธิบัตรครั้งแรกในปี 1967 โดยวิศวกรอังกฤษ Eric Laithwaite ซึ่งถือว่าเป็นวิทยาการที่พลิกผันวงการขนส่งมวลชน ใช้ได้จริงในปี 1995 และญี่ปุ่น (JR Central) ได้พัฒนารถไฟฟ้าพลังแม่เหล็กที่เร็วที่สุดในปี 2018 และได้จดอนุสิทธิบัตรไว้ เพราะเป็นสิ่งที่เคยประดิษฐ์ขึ้นแล้ว แต่ได้ถูกพัฒนาให้ใช้งานได้จริง และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แต่การตีความงานประดิษฐ์ก็ไม่ได้ขาวดำไปซะทุกอย่าง เช่นไอโฟน ที่แม้จะไม่ใช่สมาร์ทโฟนแรกที่ถูกคิดค้นขึ้น แต่ก็สามารถจดสิทธิบัตรได้ภายในปี 2007 เพราะเป็นการผนวกรวมวิทยาการ และการออกแบบ สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับการใช้ชีวิตของผู้บริโภค และแง่มุมในการพัฒนาสินค้าผลิตภัณฑ์เป็นวงกว้าง
มีสิทธิบัตรประเภทสิทธิบัตรแยกออกมาเลย เช่นรูปทรงภายนอกของรถไฟฟ้าพลังแม่เหล็ก หรือรูปลักษณะภายนอกโทรศัพท์ไอโฟน ก็จัดเป็นสิทธิบัตรการออกแบบทั้งสิ้น ซึ่งสามารถขอไปควบคู่กับสิทธิบัตร หรืออนุสิทธิบัตรได้เลย
โดยครั้นสิทธิบัตรหมดอายุ สิ่งประดิษฐ์ หรืองานออกแบบจะกลายเป็นเหมือนกับนวัตกรรมที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้
ขั้นตอนการจดสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรจะมีความซับซ้อนที่สุด เพราะจะต้องมีการ ‘ร่างคำขอ’ เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งประดิษฐ์เป็นสิ่งใหม่จริง ๆ หรือหากต้องการยื่นสิทธิบัตรสากล ก็จะมีขั้นตอนที่ค่อนข้างซับซ้อน และต้องรับคำปรึกษาจากผู้ที่มีความรู้ด้านกฎหมาย
แต่หลัก ๆ แล้วสิ่งที่จำเป็นสำหรับการจดสิทธิบัตร คือ
ลิขสิทธิ์ (Copyright) คือสิทธิในงานสร้างสรรค์งาน ที่ผู้สร้างมีต่อชิ้นงานของตนเอง โดยอาจจะเป็นสิทธิ์ที่มีแต่เพียงผู้เดียว และสิทธิ์ต่อกลุ่มคน หรือทีมงานที่มีต่อโปรเจคหนึ่ง โดยจะถูกใช้กับงานศิลปะได้ทุกแขนงไม่ว่าจะเป็นดนตรี งานเขียน เรื่องสั้น วรรณกรรม นาฎกรรม ภาพยนตร์ และอื่น ๆ อีกมากมาย
คุ้มครองจนกว่าผู้สร้างสรรค์จะเสียชีวิต และหลังจากเสียชีวิตไปแล้วก็จะสามารถคุ้มครองได้ต่อถึง 50 ปี โดยลิขสิทธิ์ของงานสร้างสรรค์จะถูกส่งต่อไปถึงทายาท หรือผู้อื่นที่ถูกระบุไว้ในพินัยกรรม
แท้จริงแล้วงานสร้างสรรค์จะถูกคุ้มครองทางกฎหมายตั้งแต่งานนั้น ๆ เสร็จสมบูรณ์ และระบุชื่อผู้ทำเป็นรายลักษณ์อักษร แต่หากอยากได้หลักค้ำประกันลิขสิทธิ์แบบเป็นรูปธรรมก็สามารถจดลิขสิทธิ์ให้กับผลงานสร้างสรรค์ของคุณ โดยเฉพาะกรณีที่งานสร้างสรรค์ของคุณเริ่มที่จะโด่งดัง และเป็นที่รู้จัก
โดยหากต้องการยื่นจดลิขสิทธิ์สามารถส่งเอกสารไปได้ที่สำนักงานของกรมทรัพย์สินทางปัญญา หรือเว็บไซต์ https://www.ipthailand.go.th/th/ โดยสามารถยื่นได้ทั้งออนไลน์ และไปยื่นกับตนเอง
หลัก ๆ แล้วสิ่งที่จำเป็นสำหรับการจดลิขสิทธิ์ คือ
อ่านมาถึงจุดนี้แล้ว อาจจะยังไม่เห็นภาพว่าการจดทั้ง 3 อย่างนี้แตกต่างกันอย่างไร หรือเวลาเริ่มต้นสร้างอะไรซักอย่างแล้ว เราสามารถจดทะเบียนแบบไหนดี เราจึงได้สมมุติเหตุการณ์ และบริษัทมาให้คุณได้เห็นภาพการจดทะเบียน ให้เห็นภาพมากขึ้น
ยกตัวอย่าง : บริษัทโรโบ
ผลิตภัณฑ์ : หุ่นยนต์ AI
ฉะนั้นหากใครมีไอเดียเด็ด คิดที่จะสร้างแบรนด์ สร้างนวัตกรรม ไปจนถึงแต่งเพลง แต่งหนังสือ ลองเลือกให้ดีว่าคุณจะต้องจดเครื่องหมายการค้า สิทธิบัตร หรือลิขสิทธิ์ ไม่ให้ใครมาใช้ประโยชน์จากมันสมองของคุณ แต่นอกจากคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของคุณแล้ว อย่าลืมว่าจะเริ่มทำอะไรของตนเอง ก็ต้องใช้งบที่ไม่น้อยเลยทีเดียว ใครอยากได้ตัวช่วยเรื่องการเงิน แรบบิท แคร์ มีตัวช่วยสำหรับคุณ! ด้วยสินเชื่อส่วนบุคคล ของ่าย วงเงินสูง ไม่ต้องค้ำประกัน ให้คุณมีทุนไปสานฝันของตัวเองต่อกันเลย!
บทความที่เกี่ยวข้อง
นักเขียนรุ่นไฮบริด เขียนบทความด้านการบริหารเงินส่วนบุคคลและการลงทุนต่าง ๆ กว่า 7 ปี เริ่มต้นที่งานเขียนที่ Rabbit Finance จนย้ายมาที่ Rabbit Care และ Asia Direct
บทความแคร์การเงิน
บัตรเครดิตเติมน้ำมัน (Fleet Card) คืออะไร ? มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ?
ผ่อนบอลลูน คือ อะไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไร เหมาะสมกับใครมากที่สุด
ไม่มีรถคืนไฟแนนซ์ ต้องเจอปัญหาใหญ่แค่ไหน