เป็นหนี้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) แล้วยังไงต่อ?
iPrice ว่าระบบกู้เงินไหน ๆ ในประเทศไทยก็มาเทียบระบบกู้เงินเพื่อการศึกษา (กยศ.) ไม่ได้ เพราะมียอดการยื่นขอกู้มากที่สุดในประเทศไทยและมีคำร้องขอเต็มทุกรอบที่เปิดให้กู้ในแต่ละปี ถึงกระนั้นก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของนักศึกษาอีกหลายชีวิต
เนื่องจากว่ากองทุนเองก็มีงบประมาณที่จำกัด นั่นก็เป็นเพราะว่ามีคนเบี้ยวหนี้หรือไม่ยอมคืนเงินกู้หลังจบการศึกษาเป็นจำนวนมากนั้นเอง ซึ่งทางกองทุนก็เห็นใจหลายคนที่ตกงานหลังเรียนจบหรือบางคนอาจจะมีภาระที่ต้องใช้จ่ายสูงจนเงินเดือนไม่พอจ่ายหนี้ กยศ. แต่สำหรับคนที่จงใจไม่จ่ายเงินกู้คืน ก็ขอให้คิดใหม่ค่ะ
อันที่จริงแล้วดอกเบี้ยสำหรับเงินกู้ กยศ. นั้น ถูกแสนถูก ซึ่งถูกกว่าบัตรกดเงินสด บัตรเครดิต หรือการกู้เงินจากธนาคารทั่วไปมาก วันนี้จะมาช่วยวางแผนคืนเงินสำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเป็นหนี้ ส่วนสำหรับใครที่ยังไม่ได้ชำระหนี้ กยศ. เลย ก็มาทำความเข้าใจด้วยกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง แล้วต้องทำยังไงต่อไป งั้นมาเริ่มกันที่แผนการคืนเงินกันก่อนเลย!
แผนการชำระเงินคืน
ต้องรู้ตัวก่อนเลยว่า เราจะต้องเริ่มจ่ายคืนเงินกู้นี้หลังจากจบการศึกษามาแล้ว 2 ปี และจะต้องวางแผนว่าจะจ่ายแบบไหน แบบรายเดือน หรือ รายปี ซึ่งรายปีจะจ่ายในวันที่ 5 กรกฎาคมของทุก ๆ ปี โดยเราสามารถเช็คหนี้กยศผ่านแอปฯ และเว็บไซต์ที่ให้บริการได้ในปัจจุบัน
วิธีการคำนวณ เมื่อเรากู้เงินมา 1 แสนบาท
- ในปีที่ 1 เราต้องจ่าย 1.5% ของเงินต้น ชำระงวดละ 1,500 บาท หรือเดือนละ 150 บาท
- ในปีที่ 2 เราต้องจ่าย 2.5% ของเงินต้น คือชำระงวดละ 2,500 บาท บวกดอกเบี้ย 1% (985 บาท) รวมเป็นเงิน 3,485 บาทต่อปี หรือเดือนละ 291 บาท
- ในปีที่ 3 เราต้องจ่าย 3% ของเงินต้น ชำระงวดละ 3,000 บาท บวกดอกเบี้ย 960 บาท เป็นเงิน 3,960 บาทต่อปี หรือ 330 บาทต่อเดือน
- ในปีที่ 4 – 15 เราจะต้องจ่าย 13% ของเงินต้น คือ ชำระ 13,000 บวกดอกเบี้ย 130 บาท เป็นเงิน 13,130 บาทต่อปี หรือเดือนละ 1,300 บาท ในช่วงนี้จะต้องจ่ายจำนวนสูงขึ้น เพราะถือว่ามีงานที่มั่นคงและเงินเดือนเพิ่มขึ้นมากแล้ว ตามประสบการณ์การทำงาน
มาตรการการจัดการของกองทุนเมื่อผู้กู้ไม่ยอมจ่ายคืน
- นำข้อมูลของผู้กู้เงินกองทุนเข้าบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งประเทศไทย(เครดิตบูโร) ซึ่งมีผลต่อการอนุมัติเมื่อขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน คือ จะไม่ได้รับการอนุมัตินั้นเอง
- บังคับใช้กฎหมายปี 2560 โดยให้นายจ้างหักเงินจากรายได้ของลูกจ้างที่กู้เงินกองทุนเพื่อการศึกษา เช่นเดียวกับการหักภาษีของกรมสรรพากร
เมื่อไม่ยอมจ่ายเงินกู้ตามกำหนดจะเกิดอะไรบ้าง
- หากผู้กู้ผิดนัดชำระเงินตั้งแต่ปีที่ 2 หลังจบการศึกษา กองทุนจะนำส่วนลดดอกเบี้ยกลับมาเป็นเงินต้น และต้องเสียเบี้ยปรับ 7.5% ต่อปี ของเงินงวดที่ผิดนัด
- เมื่อผู้กู้ค้างชำระหนี้เป็นเวลาตั้งแต่ 4 ปี (5 งวด) ขึ้นไป กองทุนจะบอกเลิกสัญญาและส่งรายชื่อไปให้ธนาคารกรุงไทย เพื่อแจ้งดำเนินคดี
- ธนาคารกรุงไทยยื่นฟ้องคดีกับศาล แล้วนำจดหมายคำสั่งศาลส่งให้เรียกผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกันเข้าพบ
- ผู้กู้และผู้ค้ำประกันเข้าไปพบศาลตามวันเวลาที่นัดหมาย เพื่อทำการไกล่เกลี่ยประนีประนอมคดีความ หากผู้กู้หรือผู้ค้ำประกันไม่สามารถไปพบศาลได้ สามารถทำหนังสือมอบอำนาจและส่งผู้แทนไปได้ หากไม่ยอมไปขึ้นศาล จะมีคำพิพากษาให้ชำระเงินก้อนโตภายในครั้งเดียว
- ศาลจะพิจารณาและให้ชำระตามจำนวนเงินและระยะเวลาที่กำหนด คือ ผ่อนชำระรายเดือนจำนวน 108 งวด หรือเป็นเวลา 9 ปี หากยังไม่ยอมชำระหนี้ตามคำสั่งศาล จะมีการดำเนินคดียึดทรัพย์ผู้กู้หรือผู้ค้ำประกันตามกฎหมายต่อไป
จะเห็นได้ว่าการไม่จ่ายหนี้ของกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษานั้น ส่งผลให้น้อง ๆ รุ่นต่อไปขาดโอกาสในการกู้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะมีเงินในกองทุนไม่เพียงพอ อีกทั้งยังสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ให้ค้ำประกันและผู้กู้เองไม่ใช่น้อย ก็อยากเตือนใจผู้กู้เงินทุก ๆ คน ให้ตั้งสติให้ดีก่อนจะเป็นหนี้ เพราะเส้นทางของการใช้หนี้นั้นยากลำบากและต้องอาศัยความรับผิดชอบที่สูงมาก เมื่อลงมือกู้แล้วก็ขอให้ตั้งใจคืนเงินกู้และทำตามเงื่อนไขให้ดีที่สุด สู้ต่อไปค่ะ
ผู้เขียน ประชันดาว ศรีภักดี iPrice
ทีมกองบรรณาธิการ กลุ่มนักเขียนผู้มีประสบการณ์ด้านรถยนต์ การเงิน และประกันภัย ของ แรบบิท แคร์ ที่เปิดดำเนินการมาแล้วมากกว่า 10 ปี