สารพันความรู้กับยางรถยนต์ รวมมาให้ที่นี่แล้ว!
ยางรถยนต์นับเป็นอีกหนึ่งส่วนประกอบสำคัญต่อรถยนต์เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากทำให้รถยนต์สามารถวิ่งบนท้องถนนได้อย่างราบรื่น ดังนั้นผู้ใช้รถจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับยางรถให้มาก ๆ เพื่อจะได้ทราบวิธีเลือกใช้ยางรถ และการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในยามฉุกเฉิน ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งแรบบิท แคร์ ได้รวบรวมคำถามและข้อสงสัยเกี่ยวกับยางรถยนต์มาให้ ณ ที่นี่แล้ว
ประเภทยางรถยนต์ยางรถยนต์มีกี่แบบ?
ยางรถยนต์ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
1. Highway Terrain Tires
(ยางสำหรับถนนเรียบ หรือยาง HT) ประเภทยางที่ออกแบบมาเพื่อการขับขี่ในถนนทางเรียบ ซึ่งรถยนต์ทั่วไปที่ขับบนท้องถนนมักใช้ยางประเภทนี้ ยางแบบนี้มีดอกยางเล็ก ถี่ ละเอียด เบา เพื่อเกาะพื้นถนน เหมาะกับการทำความเร็วทั่วไป อีกทั้งยังประหยัดน้ำมันอีกด้วย
2. All Terrain Tires
(ยางสำหรับทุกสภาพถนน หรือยาง AT) ประเภทยางรถยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อการขับขี่ในทุกสภาพถนน สามารถใช้งานได้ทั้งในถนนเรียบ ถนนเปียก หรือถนนลูกรัง ซึ่งยางแบบนี้มักถูกนำมาใช้กับรถกระบะ หรือรถขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยดอกยางจะใหญ่และหนากว่าแบบ Highway Terrain Tires เพื่อให้ขับขี่ได้ทั้งบนถนนเรียบและทางทุรกันดาร
3. Mud Terrain Tires
(ยางสำหรับถนนโคลนหรือทางลุ่มน้ำ หรือยาง MT) ประเภทยางรถยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อการขับขี่แบบออฟโร้ดในทางลุ่มน้ำหรือถนนที่มีโคลนโดยเฉพาะ ดอกยางมีขนาดใหญ่ และมีร่องบางลึกเพื่อเพิ่มความยึดเกาะในพื้นลื่นหรือโคลน ช่วยให้รถยนต์ขับผ่านพื้นที่ยากลำบากได้โดยง่าย
โดยปกติแล้ว แต่ละประเภทยางจะมีลักษณะเส้นทางที่เหมาะสมและประสิทธิภาพที่แตกต่างกัน คุณควรพิจารณาให้ดีว่าคุณจะใช้รถยนต์ในสภาพเส้นทางแบบ
ดอกยางรถยนต์มีกี่แบบ แต่ละแบบเหมาะกับการใช้งานแบบไหน?
ดอกยากรถที่ใช้กันทุกวันนี้มี 3 รูปแบบคือ
1. ดอกยางแบบสมมาตร เป็นยางที่ดอกของยางมีความสมมาตรกัน มีความต่อเนื่องด้านความสมมาตรทั้งล้อ สามารถใส่สลับล้อหน้ากับล้อหลังได้ทั้ง 4 เส้น ผิวยางมีพื้นที่สัมผัสกับถนนได้มาก ลดเสียงดังเวลายางเสียดสีกับถนน ช่วยประหยัดน้ำมัน เป็นดอกยางที่รถทั่วไปใช้กัน
2. ดอกยางแบบอสมมาตร โดยเป็นดอกยางรถยนต์ที่ลายดอกแตกต่างกันไป เพื่อประสิทธิภาพการขับขี่ทั้งสภาพถนนแห้ง สภาพฝนตกหนัก หรือในสภาพอากาศเปียกชื้น ยางด้านในเหมาะสำหรับการวิ่งทำความเร็วในทางตรง ส่วนยางเส้นนอกก็จะออกแบบมาให้เหมาะกับการเข้าโค้ง สามารถใส่สลับกันทั้ง 4 ล้อได้เช่นกัน
3. ดอกยางแบบทิศทางเดียว เป็นลายดอกยางรถยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อหมุนไปในทิศทางเดียวกัน ยางชนิดนี้มีจุดเด่นคือเหมาะกับการวิ่งในสภาพฝนตกเพราะระบายน้ำได้เป็นอย่างดี เพิ่มการยึดเกาะเมื่อถนนเปียก แต่ทั้งนี้ยางจะไม่สามารถใส่สลับกันระหว่างล้อทั้ง 4 ได้ ใส่สลับได้เพียงล้อหน้ากับล้อหลังข้างที่ตรงกันเท่านั้น
สำหรับการเลือกใช้ประเภทดอกยางที่เหมาะสม ควรพิจารณาตามสภาพถนนและการใช้งานของรถยนต์ของคุณ
วิธีดูยางรถยนต์หมดอายุ ต้องทำอย่างไร?
- 1. ดูหมายเลขที่อยู่ด้านข้างของดอกยาง โดยดอกยางรถยนต์ทุกแบรนด์จะมีรหัสอยู่ที่ด้านข้างของดอกยาง โดยตัวเลขสองตัวแรกจะบอกถึงสัปดาห์ในปีนั้นที่ผลิตยาง และตัวเลขสองตัวหลังจะบอกปีที่ผลิตยาง แต่โดยส่วนมากแล้วยางรถจะมีอายุการใช้งานประมาณ 5 ปี
- 2. ตรวจสอบร่องรอยบนผิวยางและดอกยาง โดยดูว่ายางรถยนต์มีรอยแตกหรือร่องรอยที่ลึกลงมากหรือไม่ ถ้ายางมีรอยแตกหรือร่องรอยที่ลึกลงมาก อาจเป็นสัญญาณว่ายางรถยนต์อาจหมดอายุแล้ว
- 3. ดูความสึกของตัวดอกยาง ถ้าดอกยางมีความสึกหรือเนื้อดอกยางถูกแรงเสียดสีกัดกร่อนจนลึก อาจเป็นสัญญาณว่ายางรถยนต์อาจหมดอายุแล้ว
ยางรถยนต์ใช้ได้กี่ปี?
ยางรถยนต์สามารถใช้งานได้ประมาณ 5-6 ปี โดยปกติแล้วหลังจากใช้งานเป็นเวลานาน ยางรถยนต์จะเริ่มเสื่อมสภาพ และสภาพประสิทธิภาพของยางก็จะเริ่มลดลงจนไม่เกาะพื้นถนน อย่างไรก็ตาม อายุการใช้งานของยางรถยนต์อาจขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพถนนที่รถยนต์ใช้งานบ่อย ๆ สภาพอากาศ รูปแบบการขับขี่ และการดูแลรักษายางรถยนต์ ผู้ขับขี่ควรทำการตรวจสอบยางรถยนต์อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจว่ายางยังมีสภาพใช้งานได้อยู่ และหากพบสัญญาณของยางที่เสื่อมสภาพหรือไม่เหมาะสม ก็ควรเปลี่ยนยางรถยนต์ทันที
วิธีดูขนาดยางรถยนต์
คุณสามารถดูขนาดยางรถยนต์ได้ง่าย ๆ จากตัวเลข 3 ชุดที่ปรากฏตรงแก้มยางรถยนต์ ดังนี้
- ตัวเลขชุดแรกจำนวน 3 ตัว จะบอกถึงขนาดหน้ายาง โดยมีหน่วยเป็น มม.
- ตัวเลขขุดที่สองจำนวน 2 ตัว จะบอกขนาดเปอร์เซ็นต์ของความสูงแก้มยาง โดยเป็นเปอร์เซ็นต์ที่คิดจากขนาดหน้ายาง
- ตัวเลขชุดที่สาม จำนวน 2 ตัว จะบอกถึงขนาดขอบยางจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง มีหน่วยเป็นนิ้ว
วิธีเปลี่ยนยางรถยนต์ ง่าย ๆ ด้วยตัวคุณเอง
การเปลี่ยนยางรถยนต์ด้วยตนเองนั้น คุณสามารถทำได้ง่าย ๆ ตามขั้นตอนดังนี้
- 1. หากคุณประสบกับปัญหายางแบนขณะขับรถ ให้หาตำแหน่งที่ปลอดภัยและแบนห่างจากการจราจรเพื่อจอดรถของคุณ ดึงเบรกมือและเปิดไฟฉุกเฉิน
- 2. รวบรวมเครื่องมือที่จำเป็นโดยมียางอะไหล่ ประแจ และแม่แรงยกรถ
- 3. ใช้ประแจคลายน็อตโดยหมุนทวนเข็มนาฬิกา แต่อย่าถอดออกทั้งหมด
- 4. วางตำแหน่งแม่แรงยกรถไว้ใต้จุดที่เปลี่ยนยาง ยกรถขึ้นอย่างระมัดระวังจนกระทั่งล้อที่ยางแบนลอยจากพื้น
- 5. คลายเกลียวน็อตดึงออกจนสุดแล้วถอดออกจากล้อ ถอดยางที่แบนออกโดยจับให้แน่นแล้วดึงเข้าหาตัว
- 6. สลับยางรถยนต์ถอดยางเก่าออกพร้อมติดตั้งยางอะไหล่ ยกยางอะไหล่ขึ้นและจัดตำแหน่งให้ตรงกับดุมล้อ ค่อย ๆ ดันเข้าไปบนแกนจน- กระทั่งชิดกับดุม ขันน็อตดึงให้แน่นด้วยมือ
- 7. ใช้แม่แรงยกรถค่อย ๆ ลดรถลงกับพื้น ถอดแม่แรงออกและตรวจสอบให้แน่ใจว่ายางอะไหล่สัมผัสกับพื้น
- 8. ใช้ประแจดึงเพื่อขันน็อตให้แน่นในแนวทแยง เริ่มด้วยน็อตตัวหนึ่งตัว จากนั้นขันตัวที่อยู่ตรงข้ามให้แน่น ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าน็อตตัวดึงทั้งหมดจะขันแน่นดีแล้ว
- 9. ตรวจสอบแรงดันลมยาง ใช้เกจวัดแรงดันลมยางเพื่อตรวจสอบแรงดันลมยางอะไหล่ สิ่งสำคัญคือต้องรักษาแรงดันลมยางให้ถูกต้องเพื่อการขับขี่อย่างปลอดภัย
- เก็บยางแบนและเครื่องมือเข้ารถ
ปะยางรถยนต์มีกี่แบบ เลือกปะบางแบบไหนดี?
หากยางรถของคุณถูกของมีคมบาด เช่น เศษตะปู เศษหิน น็อต ส่งผลทำให้ยางรั่ว สิ่งที่คุณต้องทำก็คือปะยางเพื่อซ่อมแซมรอยรัวให้กลับมาใช้งานได้อยากปกติ ซึ่งการปะยางนั้นจะมีสองรูปแบบให้คุณเลือกดังนี้
1. การปะยางแบบตัวหนอน
หรือเรียกว่าปะยางแบบแทงไหม โดยจะเป็นการแทงใยไหมเข้าไปอุดรอบรั้วบนผิวของยาง ใช้กรรไกรตัดใยและแต่งแผลให้เรียบ การปะยางแบบนี้ทำได้ง่าย หากให้ร้ายปะให้ก็มีค่าบริการถูก แต่คุณก็สามารถซื้ออุปกรณ์แทงไหมเพื่อปะยางเองได้ แต่การปะยางรถยนต์แบบนี้จะเป็นการซ่อมแซมรอยรั่วเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะรอยรั่วยังคงอยู่ลมภายในจึงค่อย ๆ ไหลออกอยู่ดี จึงเหมาะกับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าก่อนที่จะไปปะยางแบบสตรีมหรือเปลี่ยนยางเมื่อมีโอกาส การปะยางแบบตัวหนอน ราคาประมาณ 70 - 100 บาท
2. การปะยางแบบสตรีม
เป็นการปะยางที่ชัวร์และให้ผลดีกว่าการปะยางแบบตัวหนอน ต้องทำโดยช่างปะยางหรืออู่ซ่อมรถ คุณไม่สามารถทำเองได้ โดยวิธีการจะเป็นการถอดล้อรถออกมาก่อนแล้วนำแผ่นยางมาปะที่รอยรั่วด้านในของยางรถยนต์ แล้วใช้กาวหรือความร้อนเป็นตัวเชื่อมแผลบนผัวยางให้สมานกัน ป้องกันไม่ให้ลมยางไหลออกมา เมื่อเสร็จแล้วก็นำล้อรถใส่กลับไปยังตัวรถแบบเดิม การปะยางแบบสตรีมนี้มีข้อดีคือสามารถอุดรูรั่วได้ดีกว่า แต่ทำได้ยากกว่าเพราะต้องใช้ช่าง และมีราคาแพงกว่าโดยตกอยู่ที่ประมาณ 150 - 250 บาท
หากยางรถยนต์เสียหาย สามารถเคลมประกันภัยได้หรือไม่?
หากยางเสียหายคุณสามารถเคลมค่าซ่อมยางรถยนต์ได้ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุเท่านั้น เช่น กรณีรถชนกันกับคู่กรณี หรือขับรถชนกับสิ่งกีดขวางต่าง ๆ (สำหรับประกันรถยนต์ชั้น 1) แต่ถ้ายางรถยนต์ของคุณเสียหายเองจากการเสื่อมสภาพ เช่น ๆ ขับ ๆ อยู่แล้วยางแตกเพราะเสื่อมสภาพ แบบนี้คุณจะไม่สามารถเคลมประกันภัยได้ เพื่อความปลอดภัยของคุณรวมถึงการันตีว่ารถของคุณจะมีค่าซ่อมเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เราขอแนะนำให้ทำประกันภัยรถยนต์เพื่อสร้างความคุ้มครองไว้ ย่อมอุ่นใจกว่า
ข้อมูลเกี่ยวกับยางรถยนต์ที่แรบบิท แคร์ นำมาฝากทุกคนนี้ หวังว่าทุกคนคงจะรู้จักยางรถยนต์ของคุณมากขึ้น และทราบถึงการแก้ไขปัญหาเมื่อยางเสื่อมสภาพ และสุดท้ายนี้หากจะซื้อประกันหรือมีคำถามสงสัยเรื่องประกันรถยนต์ แรบบิท แคร์ ก็ยินดีให้บริการคุณ