Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ในการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งาน และเพื่อเก็บข้อมูลสถิติ ท่านสามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่ นโยบายคุกกี้

🎵 9.9 Rabbit แจกฟรี!! หูฟัง Apple Airpods Gen 3 และ Rabbit Voucher มูลค่ารวม 12,790 บาท แค่สมัครบัตรฯ UOB ผ่าน Rabbit Care คลิก! 💳

“แก้มยาง” อีกหนึ่งส่วนสำคัญบนยางรถยนต์

รถยนต์ในแต่ละคันล้วนมีส่วนประกอบที่สำคัญอยู่มากมาย และการที่จะทำให้รถยนต์หนึ่งคันเคลื่อนที่ได้นั้น ยางรถยนต์จึงถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์เลยก็ว่าได้ เพราะว่าเป็นเพียงชิ้นส่วนเดียวที่ได้มีการสัมผัสกับพื้นถนนในทุกสภาพผิว หรือที่เรียกกันว่าหน้ายางนั่นเอง อีกทั้งยังมีแก้มยางที่อยู่ทางด้านข้าง โดยหน้าที่หลักของแก้มยาง คือจะทำหน้าที่ในการดูดซับแรงกระแทกเวลาที่รถยนต์เคลื่อนที่ และแก้มยางนี้จะเป็นส่วนที่มีความบางมากที่สุด เพราะฉะนั้นการเลือกยางรถยนต์ หรือการใช้งานยางรถยนต์ รวมไปถึงการดูแลรักษายางรถยนต์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะว่าแก้มยางนั้นมักจะเกิดปัญหาได้อยู่บ่อยครั้ง หากว่าเราไม่ดูแลรักษาหรือชอบขับรถโดยที่ไม่ระมัดระวัง ปล่อยให้ยางรั่ว ยางบวม หรือจอดรถโดยที่เบียดแก้มยางไว้กับทางเท้า และมีการเลือกยางรถยนต์ได้ไม่ดีพอหรือไม่เหมาะสมกับการใช้งาน ก็อาจจะส่งผลทั้งในด้านความปลอดภัยของผู้ขับขี่ เพราะยางรถยนต์นั้นสามารถช่วยลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับระบบช่วงล่างรถยนต์ได้ อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการประหยัดเชื้อเพลิง และยังสามารถช่วยลดภาระในการทำงานของเครื่องยนต์ได้อีกด้วย

แก้มยาง คือตรงไหนของยางรถยนต์?

แก้มยางนั้นเป็นส่วนหนึ่งของยางรถยนต์ ซึ่งจะเป็นส่วนที่มีความบางที่สุดด้วย เพราะแก้มยางนั้นมีหน้าที่ในการดูดซับแรงกระแทกหรือแรงสั่นสะเทือนของพื้นถนนในขณะที่รถมีการขับขี่เคลื่อนที่บนท้องถนน เพราะฉะนั้นตัวแก้มยางมักจะได้รับความเสียหายหากเราไม่ดูแลรักษาหรือมีการใช้งานอย่างไม่ระมัดระวัง ซึ่งปัญหาของแก้มยางที่มักจะพบได้บ่อยนั้นเกิดจากการที่เราขับรถแล้วนำแก้มยางไปเบียดกับขอบถนนบ่อย ๆ ไม่ว่าจะจากการที่เราขับรถเข้าไปจอดเลียบข้างทางเท้า หรือจากการที่เราขับรถแล้วเข้าไปจอดรถโดยที่เบียดแก้มยางทิ้งไว้ ซึ่งการกระทำเหล่านี้มันจะทำให้แก้มยางรถยนต์เกิดการบวมหรือการรั่วได้ และมันจะไม่สามารถซ่อมแซมให้กลับมาใกล้เคียงตามปกติได้เหมือนกับการที่ยางรถยนต์รั่วทั่ว ๆ ไป ดังนั้นจึงควรขับเข้าจอดเลียบทางเท้าโดยใช้ความเร็วต่ำ และขับเข้าจอดอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้แก้มยางนั้นไปเบียดกับขอบทาง เพื่ออายุการใช้งานของยางที่ยาวนานขึ้น

วิธีการอ่านรหัสและตัวเลขบนยางรถยนต์

เชื่อว่ารหัสและตัวเลขบนแก้มยางเหล่านี้ คงจะเคยเป็นข้อสงสัยสำหรับใครหลาย ๆ คน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หัดขับที่เพิ่งจะเริ่มศึกษาถึงรายละเอียดของยางรถยนต์ หรือว่าจะเป็นผู้ที่กำลังคิดจะซื้อรถยนต์คันแรก ดังนั้นเรื่องรหัสและตัวเลขบนแก้มยางนี้จึงถือได้ว่าเป็นข้อมูลพื้นฐานเบื้องต้นที่คนใช้รถใช้ถนนควรจะต้องรู้ไว้ ซึ่งรหัสและตัวเลขบนแก้มยางเหล่านี้ก็จะเป็นตัวบ่งบอกถึงขนาดของยางรถยนต์และขอบเขตในการใช้งานของยางรถยนต์นั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น 245/40 R18 84V

  • ตัวเลข 245 คือ ขนาดหน้ากว้างของยางรถยนต์ มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร ดังนั้นก็จะหมายความว่ายางนี้มีขนาดหน้ากว้างเท่ากับ 245 มิลลิเมตร
  • ตัวเลข 40 คือ ความสูงของแก้มยางรถยนต์ มีหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ หรือ 40% ของ 245 มิลลิเมตร ดังนั้นก็จะเท่ากับ 98 มิลลิเมตร
  • รหัส R คือ ชนิดโครงสร้างของยางรถยนต์แบบเรเดียล
  • ตัวเลข 18 คือ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของล้อยางรถยนต์ มีหน่วยเป็นนิ้ว ซึ่งโดยทั่วไปจะเรียกกันว่าล้อขอบ 18 นิ้ว
  • ตัวเลข 84 คือ ค่าดัชนีในการรับน้ำหนักของยางรถยนต์ต่อเส้น
  • รหัส V คือ ตัวอักษรที่จะบ่งบอกถึงขีดจำกัดความเร็วสูงสุดที่รถยนต์คันนั้นจะสามารถวิ่งได้

ส่วนตัวเลขอื่น ๆ บนยางรถยนต์ที่มีอยู่ 4 ตัวนั้น จะหมายถึงช่วงเวลาที่ได้มีการผลิตยางรถยนต์นี้ขึ้นมา โดยที่เราจะดูเป็นคู่ คือ คู่หน้าและคู่หลัง ยกตัวอย่างเช่น 1219 เลขคู่หน้าคือ 12 จะหมายถึงสัปดาห์ที่ผลิต โดยในหนึ่งปีจะมีทั้งหมด 52 สัปดาห์ ส่วนเลขคู่หลังคือ 19 จะหมายถึงปีคริสต์ศักราชที่ผลิต นั่นก็คือปี 2019 นั่นเอง

ปัญหาของยางรถยนต์ที่พบได้บ่อยมีอะไรบ้าง?

โดยปกติแล้วยางรถยนต์จะมีหลายขนาด และจะมีคุณสมบัติในการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นจึงควรเลือกยางรถยนต์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น ยางที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่มากหรือยางที่มีขนาดเล็ก ยางชนิดนี้จะมีราคาที่ต่ำกว่ายางขนาดใหญ่ แต่ประสิทธิภาพในการควบคุมรถยนต์จะด้อยกว่า ส่วนยางที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากหรือยางขนาดใหญ่ ก็จะช่วยทำให้รถยนต์สูงขึ้น จึงทำให้มีทัศนวิสัยในการมองเห็นที่ดีกว่า และตัวยางรถยนต์ก็จะมีน้ำหนักที่มากขึ้นด้วย และถ้าจะพูดถึงปัญหาของยางรถยนต์ แน่นอนว่าหลัก ๆ ก็จะต้องมีทั้งยางรั่ว ยางบวม ยางแตก หรือยางเสื่อมสภาพ แต่ถ้าลองมองไปตั้งแต่ตอนที่เรากำลังขับรถอยู่ เราก็จะสามารถสังเกตเห็นได้ทันที เช่น ยางรถยนต์ที่มีหน้ายางแคบนั้นจะทำให้รถยนต์เบรกยากขึ้น และจะสามารถรับน้ำหนักได้น้อยลง ส่วนยางรถยนต์ที่มีหน้ายางกว้างนั้นก็จะทำให้รถยนต์เปลืองน้ำมันมากขึ้น เพราะด้วยน้ำหนักที่มาก จึงทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้นไปอีก ส่วนยางรถยนต์ที่มีแก้มยางเตี้ย มักจะทำให้รถยนต์รองรับแรงกระแทกจากพื้นถนนได้ไม่ค่อยดี แต่ก็สามารถเกาะถนนได้ดีเพราะว่ามีผิวที่สัมผัสกับพื้นถนนที่มากกว่า ส่วนยางรถยนต์ที่มีแก้มยางสูงก็จะเป็นประเภทยางที่เหมาะกับการใช้งานแบบทั่วไปมากที่สุด เพราะว่าช่วยรองรับแรงกระแทกจากพื้นถนนได้ดี และยังให้ความนุ่มนวลในการขับขี่อีกด้วย

วิธี ปะยางรถยนต์ แก้มยางรั่ว จะต้องทำอย่างไร?

ถ้าหากว่าเรากำลังขับรถแล้วเริ่มรู้สึกว่าพวงมาลัยมีการแปลก ๆ รถเริ่มหน่วงผิดปกติ หรือเวลาเติมลมยางแล้วยางอ่อนเร็วแบบผิดปกติ สัญญาณเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่ายางรถยนต์นั้นมีการรั่วซึมหรือยางรั่วนั่นเอง ซึ่งสาเหตุที่อาจจะทำให้เกิดปัญหาแก้มยางรั่วนั้นมีได้หลากหลายปัจจัย เช่น การจอดรถทิ้งไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิสูงหรือจอดรถทิ้งไว้นาน ๆ เป็นประจำ หรือการที่ยางรถยนต์ไปโดนสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อน ก็ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้แก้มยางนั้นเกิดรอยรั่วหรือมีรอยแตกขึ้นมาได้ ดังนั้นวิธีการแก้ไขแบบรวดเร็วก็จะเป็นปะยาง แต่เมื่อทำการปะยางเรียบร้อยแล้ว ก็ควรที่จะนำรถยนต์ไปเข้าศูนย์โดยทันที ซึ่งการปะยางจะมีทั้งหมด 2 วิธี คือ การปะยางแบบใช้น้ำยาปะยาง กับการปะยางแบบแทงไหมที่จะเหมาะสำหรับรอยรั่วขนาดเล็ก

รถยางแตกแบบไหนที่ประกันภัยรถยนต์จะรับเคลม?

สำหรับการรับเคลมนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อได้มีการทำประกันชั้น 1 และต้องเป็นในกรณีที่ยางแตกหรือยางระเบิดจากการเกิดอุบัติเหตุเท่านั้น อีกทั้งจะสามารถเคลมได้เพียงแค่ 50% เพราะทางบริษัทประกันภัยจะต้องมีการคิดเผื่อค่าเสื่อมสภาพของยางรถยนต์ไปด้วย แต่ถ้าเป็นในกรณีของล้อรถยนต์นั้นจะสามารถเคลมได้เต็ม 100%

วิธีการดูแลยางรถยนต์มีอะไรบ้าง?

  • หมั่นคอยรักษาระดับความดันลมยางให้ถูกต้อง อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
  • สับเปลี่ยนยางรถยนต์บ้างทุก 10,000-12,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน เพราะจะช่วยให้ยางมีความสึกที่เท่ากัน ส่วนดอกยางก็จะมีอายุการใช้งานได้นานมากขึ้น เพราะถ้าไม่มีการสับเปลี่ยนยาง จะทำให้ยางล้อหน้าสึกเร็วกว่ายางล้อหลัง
  • พฤติกรรมการขับขี่ที่ไม่ประมาทและนุ่มนวล
  • หมั่นใส่ใจและคอยตรวจเช็กสภาพรถก่อนจะมีการขับขี่หรือเดินทางไกล
  • หมั่นเติมลมยางอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ
  • มีการตั้งศูนย์ถ่วงล้อที่ถูกต้อง
  • หมั่นคอยเช็กดอกยางของยางรถยนต์เป็นประจำทุกปี

ความคุ้มครองประกันรถยนต์

ความคุ้มครองรถผู้ทำประกัน
ประเภทประกันภัย
ชั้น 1
ชั้น 2+
ชั้น 2
ชั้น 3+
ชั้น 3
ชนแบบมีคู่กรณีชนแบบมีคู่กรณี
x
x
ชนแบบไม่มีคู่กรณีชนแบบไม่มีคู่กรณี
x
x
x
x
ไฟไหม้ไฟไหม้
x
x
รถหายรถหาย
x
x
ภัยธรรมชาติภัยธรรมชาติ
x
x
ช่วยเหลือ 24 ชม. ช่วยเหลือ 24 ชม.
x
x
x
ซื้อประกันรถยนต์   
คลิก
คลิก
คลิก
คลิก
คลิก
ความคุ้มครองอื่นๆ ครอบคลุมทุกชั้นประกัน
คุ้มครองคู่กรณี และทรัพย์สินคู่กรณี
อุบัติเหตุ ค่ารักษาพยาบาลบุคคลที่สาม
คุ้มครองชิวิตบุคคลที่สาม
คุ้มครองชีวิตผู้ขับขี่
ค่ารักษาพยาบาลตัวผู้ขับขี่
การประกันตัวผู้ขับขี่

คำถามและข้อสงสัยที่พบบ่อย

เมื่อซื้อรถยนต์มาแล้ว ควรเลือกทำประกันภัยชั้นไหนดี?

แน่นอนว่าควรทำประกันชั้น 1 ไว้จะดีที่สุด เพื่อความอุ่นใจและสบายใจที่มากกว่า เพราะจากข้อสงสัยในเรื่องของยางรถยนต์ที่เกิดการรั่วหรือการระเบิดที่ได้กล่าวมาข้างต้น ถ้าจะให้เคลมได้ก็จะต้องอยู่ในกรณีของการเกิดอุบัติเหตุเท่านั้นและจะต้องมีประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ซึ่งจะสามารถเคลมได้ถึง 50% และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในตรงนี้ไปได้ ส่วนประกันชั้นอื่นจะไม่สามารถเคลมได้เลย เพราะยางรถยนต์ไม่ได้อยู่ในความคุ้มครองนั่นเอง

ซื้อประกันรถยนต์ผ่านแรบบิท แคร์ จะได้สิทธิประโยชน์อะไรบ้าง?

นอกจากจะได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ มากมายแล้ว แรบบิท แคร์ ยังมีบริการสุดพิเศษสำหรับลูกค้าที่ทำประกันภัยชั้น 1 คือจะมีบริการรถยนต์ทดแทนระหว่างซ่อมแบบไม่มีค่าใช้จ่าย เป็นเวลา 3 วัน โดยจะเป็นรถยนต์ที่มีคุณภาพดีจากผู้ให้บริการเช่ารถยนต์ชั้นนำของประเทศไทย จำนวน 1 ครั้งต่อปีกรมธรรม์ และยังการันตีได้ว่าเป็นรถยนต์ใหม่ อายุไม่เกิน 3 ปี ดังนั้นจึงมั่นใจได้เลยว่าลูกค้าจะได้ใช้งานรถยนต์ในช่วงเวลานี้ได้อย่างสะดวกสบาย หรือสามารถดูสิทธิประโยชน์พิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์แรบบิท แคร์

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา