Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ในการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งาน และเพื่อเก็บข้อมูลสถิติ ท่านสามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่ นโยบายคุกกี้

🎵 9.9 Rabbit แจกฟรี!! หูฟัง Apple Airpods Gen 3 และ Rabbit Voucher มูลค่ารวม 12,790 บาท แค่สมัครบัตรฯ UOB ผ่าน Rabbit Care คลิก! 💳

เลือกประกันสุขภาพที่ใช่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษา

เปรียบเทียบแผนง่าย
ไม่ต้องติดต่อตัวแทนขายประกัน

ข้อมูลส่วนตัวของท่านปลอดภัยแน่นอน

เลือกประกันสุขภาพที่ใช่สำหรับคุณ

ซื้อประกันต้องรู้! กรมธรรม์ประกันภัยคืออะไร? มีความสำคัญอย่างไร?

ใครที่เคยซื้อประกันภัยไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิต ประกันสุขภาพ หรือประกันประเภทอื่น ๆ ก็ต้องเคยได้ยินคำว่ากรมธรรม์ประกันภัยแน่นอน เพราะเป็นเอกสารที่คุณต้องได้รับเสมอ หลังจากมีการตกลงทำประกันกับบริษัทประกัน แต่ก็ยังไม่ผู้คนอีกจำนวนไม่น้อย ที่อาจจะยังไม่ทราบว่ากรมธรรม์คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรเมื่อทำประกัน บทความนี้แรบบิท แคร์ รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกรมธรรม์มาอย่างครบถ้วน ติดตามกันได้เลย!

กรมธรรม์ประกันภัย คืออะไร?

กรมธรรม์ประกันภัย หรือ Insurance Policy เป็นสัญญาทางกฎหมายระหว่างผู้รับประกันภัย (บริษัทประกันภัย) และผู้เอาประกันภัย (ผู้ซื้อประกัน) กรมธรรม์จะระบุรายละเอียดเงื่อนไข, ความคุ้มครอง, ค่าเบี้ยประกัน, และวงเงินคุ้มครองที่บริษัทประกันภัยจะจ่ายให้กับผู้เอาประกันภัยหรือผู้ได้รับสิทธิ์ตามกรมธรรม์ เช่น สมาชิกในครอบครัว, ผู้รับผลประโยชน์ ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์

ภาพรวมคือ กรมธรรม์ประกันภัยเป็นเอกสารที่คุ้มครองความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับผู้เอาประกันภัย เช่น ความเสี่ยงทางสุขภาพ, การสูญเสียสินทรัพย์, หรือการเสียชีวิต ผู้เอาประกันภัยจะจ่ายค่าเบี้ยประกันเป็นรายปีหรือตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ เพื่อที่จะได้รับความคุ้มครองจากบริษัทประกันภัย

ทำไมกรมธรรม์ประกันภัยจึงมีความสำคัญกับการซื้อประกันภัย?

กรมธรรม์ประกันภัยเป็นส่วนสำคัญที่ไม่สามารถข้ามไปได้ในกระบวนการซื้อประกันภัย เนื่องจากเป็นเอกสารที่ยืนยันสิทธิและข้อตกลงระหว่างผู้เอาประกันภัยและบริษัทประกันภัย กรมธรรม์ประกันภัยระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการคุ้มครอง, จำนวนเงินประกัน, ข้อยกเว้น, ระยะเวลาประกันภัย และข้อกำหนดและเงื่อนไขอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทำให้เป็นแนวทางชัดเจนในการเรียกร้องเบี้ยประกันภัยหากเกิดเหตุการณ์ที่คุณต้องการความคุ้มครอง นอกจากนี้กรมธรรม์ประกันภัยยังเป็นหลักฐานการประกันภัยที่เป็นทางการ เมื่อคุณต้องการขอสินเชื่อหรือทำธุรกรรมที่ต้องการหลักฐานความมั่นคงทางการเงิน ดังนั้น การที่มีกรมธรรม์เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการมีประกันภัยอย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้องตามกฎหมาย

กรมธรรม์ประกันภัยมีความสำคัญอย่างมากในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น

  • การยืนยันอย่างเป็นทางการของสัญญาประกันภัยระหว่างคุณ (ผู้เอาประกันภัย) และบริษัทประกันภัย ดังนั้นกรมธรรม์เป็นเอกสารที่ระบุข้อตกลง, ข้อกำหนด, ข้อจำกัด และข้อยกเว้นที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัยที่คุณซื้อ
  • ลดความเสี่ยงในการสูญเสียทางการเงิน : เป็นเครื่องมือที่ช่วยปกป้องคุณจากการสูญเสียและความเสียหายทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นจากภัยพิบัติ โรค หรือเหตุการณ์อื่น ๆ ที่คุณไม่สามารถควบคุมได้
  • ข้อมูลสำคัญ : มีรายละเอียดเกี่ยวกับประเภทของความคุ้มครอง, จำนวนเงินที่คุ้มครอง, ระยะเวลาและข้อยกเว้นที่สำคัญ ซึ่งจำเป็นต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับการเรียกร้องหรือการต่ออายุกรมธรรม์
  • ตรวจสอบและเรียกร้อง : เมื่อมีเหตุการณ์ที่ต้องใช้การคุ้มครองประกันภัยเกิดขึ้น กรมธรรม์ประกันภัยจะเป็นเอกสารที่ช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบสิทธิ์และเรียกร้องได้ถูกต้อง

ดังนั้นหากกรมธรรม์ประกันภัยหายควรรีบติดต่อกับบริษัทประกันภัยทันทีเพื่อขอสำเนาใหม่หรือดำเนินการแจ้งความก่อนติดต่อบริษัทประกัน เพื่อป้องกันมิจฉาชีพที่อาจใช้กรมธรรม์ของคุณในการหาผลประโยชน์โดยมิชอบ

ภายในกรมธรรม์ประกันภัย บอกข้อมูลอะไรกับเราบ้าง?

กรมธรรม์ประกันภัยประกอบด้วยสี่ส่วนหลักคือ ส่วนประกาศ, ข้อความที่ระบุเงื่อนไขการคุ้มครอง, ข้อยกเว้น, และเงื่อนไขอื่น ๆ รวมถึงคำจำกัดความและการรับรองผู้ขับขี่ สำคัญที่จะต้องเข้าใจว่ากรมธรรม์ประกันภัยอาจมีข้อยกเว้นและเงื่อนไขที่เฉพาะเจาะจงสำหรับแต่ละประเภทของการคุ้มครอง เช่น การคุ้มครองการชน, ค่ารักษาพยาบาล, และความรับผิดชอบภายใน คุณจะต้องดูและทำความเข้าใจเกี่ยวกับส่วนของการคุ้มครองที่เฉพาะเจาะจงและเกี่ยวข้องกับการสูญเสียของคุณ

  • ส่วนประกาศ : เป็นส่วนแรกที่ระบุว่าใครเป็นผู้ที่เอาประกันภัย ความเสี่ยงหรือทรัพย์สินที่ได้รับการคุ้มครอง ระยะเวลาของกรมธรรม์ และขอบเขตของการคุ้มครอง
  • สัญญาประกันภัย : ส่วนนี้จะสรุปความตกลงจากบริษัทประกันภัยและระบุสิ่งที่ได้รับการคุ้มครอง สัญญาประกันภัยมีสองรูปแบบหลักคือ ความคุ้มครองที่ระบุชื่อและความคุ้มครองความเสี่ยงทั้งหมด
  • ข้อยกเว้น : ส่วนนี้จะชี้แจงส่วนที่เป็นข้อยกเว้นในการให้ความคุ้มครองกรณีต่าง ๆ หรือการคุ้มครองที่ไม่ได้รับการรับรองจากสัญญาประกันภัย
  • เงื่อนไข : ส่วนนี้ประกอบด้วยกฎที่อยู่ในกรมธรรม์ที่จำกัดการปฏิบัติหรือจ่ายเงินของบริษัทประกันภัย
  • คำจำกัดความ : ส่วนนี้จะมีคำศัพท์เฉพาะที่ใช้ในนโยบายและต้องได้รับการอ่านและทำความเข้าใจ
  • ส่วนสัญญาเพิ่มเติม : ส่วนนี้เป็นส่วนที่เปลี่ยนแปลงกฎที่มีอยู่ในกรมธรรม์ประกันภัย และอนุญาตให้ผู้เอาประกันภัยเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขหรือการคุ้มครองของกรมธรรม์เมื่อต่ออายุ

กรมธรรม์ประกันภัย มีอะไรบ้าง?

กรมธรรม์ประกันภัยมีหลายประเภท ตามความต้องการและความเสี่ยงที่ผู้เอาประกันภัยอาจเผชิญเจอ ต่อไปนี้คือประเภทหลัก ๆ ของกรมธรรม์

  • ประกันชีวิต : ให้ความคุ้มครองในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต บริษัทประกันภัยจะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ที่ระบุไว้
  • ประกันสุขภาพ : ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคและสุขภาพ เช่น ค่ารักษาพยาบาล, ค่ายา, ค่าผ่าตัด
  • ประกันภัยรถยนต์ : กรมธรรม์รถยนต์คุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ รวมถึงความรับผิดชอบต่อบุคคลที่สามที่อาจได้รับอันตรายหรือเสียหายจากการขับรถ
  • ประกันภัยที่อยู่อาศัย : คุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สินในบ้านหรืออาคารที่อยู่อาศัย เช่น จากไฟไหม้, น้ำท่วม, หรือการปล้น
  • ประกันภัยการเดินทาง : ครอบคลุมค่าใช้จ่ายหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการเดินทาง เช่น ค่ารักษาพยาบาลจากการเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ, ค่าฉุกเฉินทางการแพทย์, หรือความเสียหายที่เกิดขึ้นกับกระเป๋าเดินทาง
  • ประกันภัยทรัพย์สิน : คุ้มครองความเสียหายที่เกิดกับทรัพย์สินจากภัยต่างๆ เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม หรือการโจรกรรม ได้แก่ ประกันอัคคีภัย, ประกันภัยที่อยู่อาศัย, ประกันภัยภัยพิบัติ

ซึ่งในการทำประกันแต่ละประเภทผู้เอาประกันจะได้รับเอกสารกรมธรรม์ประกันภัยมาด้วยทุกครั้ง โดยในปัจจุบันเอกสารกรมธรรม์จะมีทั้งรูปแบบของเอกสารกระดาษรูปเล่มกรมธรรม์ตามปกติ และในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์หรือที่เรียกกันว่า E-Policy ซึ่งจะเป็นกรมธรรม์ที่เป็นไฟล์ส่งตรงให้กับผู้เอาประกัน ผู้เอาประกันสามารถเซฟเก็บไว้เป็นหลักฐานในการเคลมสินไหมได้ตามปกติเหมือนกรมธรรม์รูปแบบกระดาษ

ถ้าหากกรมธรรม์ประกันภัยหาย ทำอย่างไร? ต้องแจ้งความไหม?

ในประเทศไทยเอกสารกรมธรรม์ ถือว่ามีความสำคัญเชิงกฎหมาย และมีค่ามาก เนื่องจากเป็นข้อมูลที่ได้ระบุรายละเอียดของการคุ้มครองประกันภัย รวมถึงการประกันตนและความรับผิดใด ๆ ที่บริษัทประกันภัยของคุณได้ยินยอมที่จะรับผิดชอบ ดังนั้นหากกรมธรรม์หายมันอาจเป็นเรื่องที่ต้องแจ้งความเพื่อป้องกันการใช้กรมธรรม์ดังกล่าวอย่างผิดกฎหมายหรือการฉ้อโกง

การแจ้งความอาจจะขึ้นอยู่กับบริษัทประกันภัยและรูปแบบของกรมธรรม์ ดังนั้นควรทำตามขั้นตอนที่บริษัทประกันภัยแนะนำในกรณีที่กรมธรรม์ของคุณหาย สิ่งที่สำคัญคือติดต่อบริษัทประกันภัยทันทีที่คุณพบว่ากรมธรรม์ของคุณหาย

ถ้ากรมธรรม์ประกันภัยของคุณหาย คุณสามารถทำตามขั้นตอนต่อไปนี้


  • ติดต่อบริษัทประกันภัย : บริษัทประกันภัยจะมีบันทึกเกี่ยวกับกรมธรรม์ประกันภัยของคุณ ดังนั้นคุณควรติดต่อบริษัทประกันภัยเพื่อแจ้งให้พวกเขารู้ว่ากรมธรรม์ของคุณหาย
  • ขอสำเนากรมธรรม์ : บริษัทประกันภัยสามารถจัดให้คุณได้รับสำเนากรมธรรม์ คุณอาจต้องแสดงหลักฐานการประกันภัยก่อนหน้านี้ เช่น การชำระเงิน, ใบเสร็จรับเงิน หรือข้อมูลอื่น ๆ ที่สามารถช่วยยืนยันว่าคุณมีกรมธรรม์แล้ว
  • ตรวจสอบรายละเอียด : หลังจากได้รับสำเนากรมธรรม์แล้ว คุณควรตรวจสอบรายละเอียดให้แน่ใจว่ามันตรงกับเอกสารฉบับเก่าของคุณ

สำหรับการต่อกรมธรรม์ที่หมดอายุ คุณยังคงต้องติดต่อบริษัทประกันภัยที่เดิม เพื่อดำเนินการต่อกรมธรรม์ประกันภัยใหม่

ความคุ้มครองในกรมธรรม์ประกันภัย ทำงานอย่างไร

เมื่อคุณซื้อกรมธรรม์ประกันภัย บริษัทประกันภัยจะให้ความคุ้มครองตามเงื่อนไขและข้อกำหนดที่ระบุไว้ในสัญญา โดยทั่วไป ความคุ้มครองในกรมธรรม์มีดังนี้:


  1. ความคุ้มครองหลัก : รวมถึงการคุ้มครองกรณีเสียชีวิต ทุพพลภาพ หรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ การเจ็บป่วย หรือภัยธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับประเภทของกรมธรรม์ เช่น ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ หรือประกันภัยรถยนต์
  2. ความคุ้มครองเสริม : บางกรมธรรม์มีตัวเลือกเสริมเพื่อเพิ่มความคุ้มครอง เช่น การคุ้มครองค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเพิ่มเติม หรือการคุ้มครองทรัพย์สินเพิ่มเติมในกรณีเกิดเหตุไฟไหม้
  3. ข้อยกเว้นและข้อจำกัด : บริษัทประกันภัยจะระบุเงื่อนไขที่ไม่ครอบคลุม เช่น การกระทำผิดกฎหมาย ความประมาทเลินเล่อร้ายแรง หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกพื้นที่คุ้มครอง
  4. กระบวนการเคลมประกัน : หากเกิดเหตุการณ์ที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครอง ผู้เอาประกันต้องแจ้งเหตุการณ์ต่อบริษัทประกันภัยและส่งเอกสารที่เกี่ยวข้อง บริษัทจะทำการตรวจสอบและพิจารณาการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามเงื่อนไขในกรมธรรม์


การทำความเข้าใจในความคุ้มครองในกรมธรรม์จะช่วยให้คุณมั่นใจว่าคุณได้รับการคุ้มครองที่เหมาะสมและสามารถใช้สิทธิประโยชน์ได้เต็มที่เมื่อต้องการ

การเลือกกรมธรรม์ประกันภัยต้องพิจารณาอย่างไร

การเลือกกรมธรรม์ประกันภัยที่เหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการและสถานการณ์เฉพาะของแต่ละคน เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับความคุ้มครองที่ดีที่สุด ลองพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้:


  1. ประเภทของความคุ้มครองที่ต้องการ : พิจารณาว่าคุณต้องการความคุ้มครองในด้านใดบ้าง เช่น ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันภัยรถยนต์ หรือประกันภัยทรัพย์สิน
  2. งบประมาณ : ตั้งงบประมาณสำหรับการจ่ายค่าเบี้ยประกัน โดยควรเลือกกรมธรรม์ที่มีความคุ้มครองที่เหมาะสมกับงบประมาณของคุณ
  3. ความเสี่ยงส่วนบุคคล : ประเมินความเสี่ยงในชีวิตของคุณ เช่น สุขภาพ การเดินทาง หรือการใช้รถยนต์ เพื่อเลือกกรมธรรม์ที่ครอบคลุมความเสี่ยงเหล่านี้
  4. เปรียบเทียบข้อเสนอจากบริษัทประกันต่าง ๆ : เปรียบเทียบข้อเสนอจากหลาย ๆ บริษัทประกันภัย เพื่อหาความคุ้มครองที่ดีที่สุด โดยคำนึงถึงทั้งเงื่อนไขความคุ้มครองและค่าเบี้ยประกัน
  5. เงื่อนไขและข้อยกเว้นในกรมธรรม์ : อ่านและทำความเข้าใจเงื่อนไขและข้อยกเว้นในกรมธรรม์ให้ละเอียด เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในการเคลมประกันในอนาคต
  6. คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ : ปรึกษากับตัวแทนประกันภัยหรือที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อรับคำแนะนำที่ตรงกับความต้องการของคุณ
  7. รีวิวและความน่าเชื่อถือของบริษัทประกันภัย : ตรวจสอบรีวิวและความน่าเชื่อถือของบริษัทประกันภัย เพื่อมั่นใจว่าคุณเลือกบริษัทที่มีความมั่นคงและบริการลูกค้าที่ดี


การพิจารณาปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณเลือกกรมธรรม์ประกันภัยที่เหมาะสมกับความต้องการและสถานการณ์ของคุณมากที่สุด

กรมธรรม์ประกันภัยจะมีผลเริ่มความคุ้มครองเมื่อใด

กรมธรรม์ประกันภัยจะเริ่มมีผลความคุ้มครองเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและข้อตกลงที่ระบุไว้ในสัญญาประกันภัย โดยทั่วไปจะมีรายละเอียดดังนี้:


  1. วันที่เริ่มต้นกรมธรรม์ : ความคุ้มครองจะเริ่มต้นในวันที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ซึ่งมักจะเป็นวันที่ผู้เอาประกันได้ชำระค่าเบี้ยประกันและบริษัทประกันภัยได้อนุมัติกรมธรรม์
  2. ระยะเวลารอคอย (Waiting Period) : สำหรับประกันสุขภาพหรือประกันชีวิตบางประเภท อาจมีระยะเวลารอคอยก่อนที่ความคุ้มครองจะเริ่มมีผล เช่น 30 วันหรือ 90 วัน ขึ้นอยู่กับประเภทของความคุ้มครอง
  3. การตรวจสุขภาพ : บางครั้งบริษัทประกันภัยอาจต้องการให้ผู้เอาประกันตรวจสุขภาพก่อน ถ้าผลการตรวจสุขภาพผ่านและบริษัทอนุมัติกรมธรรม์ ความคุ้มครองจะเริ่มมีผลทันทีที่ได้รับการอนุมัติ
  4. การต่ออายุกรมธรรม์ : ในกรณีที่เป็นการต่ออายุกรมธรรม์ ความคุ้มครองจะต่อเนื่องจากกรมธรรม์เดิมโดยไม่มีระยะเวลารอคอยใด ๆ
  5. การชำระค่าเบี้ยประกันภัย: ความคุ้มครองมักจะเริ่มมีผลเมื่อผู้เอาประกันชำระค่าเบี้ยประกันภัยตามที่กำหนด หากชำระไม่ครบหรือชำระล่าช้า ความคุ้มครองอาจถูกเลื่อนหรือยกเลิกได้


โดยสรุป กรมธรรม์ประกันภัยจะมีผลเริ่มความคุ้มครองตามวันที่ระบุในสัญญาและเมื่อผู้เอาประกันได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ หากมีข้อสงสัย ควรติดต่อบริษัทประกันภัยหรือที่ปรึกษาประกันภัยของคุณเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมและชัดเจน

กรมธรรม์ประกันภัยมีกี่ประเภท

กรมธรรม์ประกันภัยมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีวัตถุประสงค์และความคุ้มครองที่แตกต่างกันออกไป โดยทั่วไปสามารถแบ่งได้เป็นหลักๆ ดังนี้:


  • ประกันชีวิต : ให้ความคุ้มครองในกรณีที่ผู้เอาประกันเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ โดยผู้รับประโยชน์จะได้รับเงินชดเชย ซึ่งสามารถแยกย่อยเป็นประกันชีวิตตลอดชีพ, ประกันชีวิตแบบชั่วคราว, ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์และประกันชีวิตควบการลงทุน
  • ประกันสุขภาพ : คุ้มครองค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจากการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ โดยสามารถแบ่งเป็นประกันสุขภาพผู้ป่วยใน (IPD), ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก (OPD) และประกันโรคร้ายแรง
  • ประกันภัยรถยนต์ : คุ้มครองความเสียหายที่เกิดกับรถยนต์และความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก ซึ่งแบ่งคร่าวๆ ได้ทั้งประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ (ชั้น 1, 2+, 2, 3+, 3)
  • ประกันภัยทรัพย์สิน : คุ้มครองความเสียหายที่เกิดกับทรัพย์สินจากภัยต่างๆ เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม หรือการโจรกรรม โดยมีทั้งประกันอัคคีภัย, ประกันภัยที่อยู่อาศัย และประกันภัยภัยพิบัติ
  • ประกันภัยการเดินทาง : คุ้มครองความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง เช่น การเจ็บป่วย การสูญหายของกระเป๋าเดินทาง หรือการยกเลิกเที่ยวบิน แบ่งได้เป็นประกันภัยการเดินทางในประเทศและประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ
  • ประกันภัยธุรกิจ : คุ้มครองความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจ เช่น ความเสียหายจากไฟไหม้หรือการสูญหายของสินค้าหรือทรัพย์สิน โดยมีทั้งประกันภัยสินทรัพย์ธุรกิจ, ประกันภัยความรับผิดทางกฎหมาย และประกันภัยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ (D&O)
  • ประกันภัยทางทะเลและขนส่ง : คุ้มครองสินค้าที่ขนส่งทางทะเล อากาศ หรือทางบกจากความเสียหายระหว่างการขนส่ง
  • ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล : คุ้มครองกรณีเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้ผู้เอาประกันเสียชีวิตหรือบาดเจ็บ


การเลือกกรมธรรม์ที่เหมาะสมควรพิจารณาจากความต้องการและความเสี่ยงที่ต้องการคุ้มครอง

กรมธรรม์ประกันภัยแบบไหนที่ให้ประโยชน์มากกว่ากัน

การเลือกกรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ประโยชน์มากที่สุดขึ้นอยู่กับความต้องการและสถานการณ์ส่วนบุคคลของผู้เอาประกันภัย แต่ละประเภทของกรมธรรม์ประกันภัยมีจุดเด่นและข้อดีที่แตกต่างกัน ดังนั้น คำถามนี้ไม่มีคำตอบที่แน่นอน แต่สามารถให้แนวทางในการเลือกกรมธรรม์ที่เหมาะสมกับคุณได้ดังนี้:


1. ประกันชีวิต : ให้ประโยชน์ในด้านการคุ้มครองครอบครัวจากความเสี่ยงทางการเงินหากผู้เอาประกันเสียชีวิต รวมถึงมีการสะสมเงินออมและผลตอบแทนจากการลงทุน


  • ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ : เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองและการออมเงินในระยะยาว
  • ประกันชีวิตควบการลงทุน : เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนพร้อมกับความคุ้มครอง


2. ประกันสุขภาพ : ให้ความคุ้มครองค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจากการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ


  • ประกันสุขภาพผู้ป่วยใน (IPD) : เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคุ้มครองค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวในโรงพยาบาล
  • ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก (OPD) : เหมาะสำหรับผู้ที่มีการตรวจรักษาอย่างต่อเนื่องและต้องการคุ้มครองค่าใช้จ่ายนอกโรงพยาบาล


3. ประกันภัยรถยนต์ : ให้ความคุ้มครองในกรณีเกิดอุบัติเหตุ ความเสียหายต่อรถยนต์ และความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก


4. ประกันภัยทรัพย์สิน : ให้ความคุ้มครองทรัพย์สินจากภัยธรรมชาติ ไฟไหม้ หรือการโจรกรรม


5. ประกันอัคคีภัย : เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคุ้มครองบ้านหรือที่อยู่อาศัยจากไฟไหม้และภัยธรรมชาติ


6. ประกันภัยภัยพิบัติ : เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว


7. ประกันภัยการเดินทาง : ให้ความคุ้มครองในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินระหว่างการเดินทาง เช่น การเจ็บป่วย การสูญหายของสัมภาระ หรือการยกเลิกเที่ยวบิน


เพื่อให้ได้ประโยชน์มากที่สุด ควรพิจารณาความต้องการ ความเสี่ยง และงบประมาณของคุณ รวมถึงอ่านและทำความเข้าใจเงื่อนไขและข้อกำหนดในกรมธรรม์ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อประกันภัย

ข้อมูลในกรมธรรม์ประกันภัยไม่ตรงกับความจริงมีผลอย่างไร

หากข้อมูลในกรมธรรม์ประกันภัยไม่ตรงกับความจริง อาจมีผลกระทบหลายอย่างต่อการคุ้มครองและการเคลมประกัน ดังนี้:


  1. กรมธรรม์อาจเป็นโมฆะ : บริษัทประกันภัยอาจถือว่ากรมธรรม์นั้นเป็นโมฆะ (void) ตั้งแต่เริ่มต้น หากพบว่าข้อมูลสำคัญที่ผู้ถือกรมธรรม์ให้มาไม่ถูกต้องหรือมีการปกปิดข้อมูลที่สำคัญ โดยเฉพาะในกรณีที่ข้อมูลนั้นส่งผลต่อการประเมินความเสี่ยงของบริษัท
  2. การปฏิเสธการจ่ายเคลม : บริษัทประกันภัยอาจปฏิเสธการจ่ายเคลม หากพบว่าข้อมูลที่ให้มาในกรมธรรม์ไม่ถูกต้อง เช่น หากผู้ถือกรมธรรม์แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพหรือประวัติการขับขี่ที่ไม่ตรงกับความจริง เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ต้องเคลม บริษัทอาจปฏิเสธการจ่ายเงินตามกรมธรรม์
  3. การปรับลดความคุ้มครอง : หากบริษัทประกันภัยทราบว่ามีข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง แต่ไม่ถึงขั้นที่จะทำให้กรมธรรม์เป็นโมฆะ บริษัทอาจเลือกที่จะปรับลดความคุ้มครองหรือเพิ่มเบี้ยประกันเพื่อให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่แท้จริง
  4. การดำเนินคดีทางกฎหมาย : ในบางกรณี หากมีการจงใจให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ อาจมีการดำเนินคดีทางกฎหมายเพื่อลงโทษหรือเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ถือกรมธรรม์


เพื่อป้องกันปัญหาเหล่านี้ ผู้ถือกรมธรรม์ควรตรวจสอบและให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนในขณะที่ทำการสมัครประกันภัย รวมถึงแจ้งให้บริษัทประกันภัยทราบทันทีหากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่อาจมีผลต่อความเสี่ยงในการประกันภัย

สามารถโอนกรมธรรม์ประกันภัยได้มั้ย

การโอนกรมธรรม์ประกันภัยสามารถทำได้ในบางกรณี แต่ไม่ใช่ในทุกประเภทของประกันภัย การโอนกรมธรรม์มักจะต้องได้รับความยินยอมจากบริษัทประกันภัย และขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของกรมธรรม์นั้น ๆ

ประเภทของกรมธรรม์ที่อาจโอนได้

  1. ประกันชีวิต : ในบางกรณีผู้ถือกรมธรรม์สามารถโอนสิทธิ์ในกรมธรรม์ให้กับบุคคลอื่นได้ เช่น โอนให้กับคู่สมรส หรือบุตร โดยการโอนนี้มักจะต้องผ่านขั้นตอนการอนุมัติจากบริษัทประกันภัย และอาจต้องมีการลงนามในเอกสารที่เกี่ยวข้อง
  2. ประกันทรัพย์สิน (รถยนต์, บ้าน) : ในกรณีที่ทรัพย์สินถูกขายหรือโอนสิทธิ์ไปยังบุคคลอื่น กรมธรรม์ประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นสามารถโอนได้ เช่น การโอนกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไปยังผู้ซื้อรถใหม่ อย่างไรก็ตาม การโอนนี้ต้องได้รับการยินยอมจากบริษัทประกันภัย และบางครั้งอาจต้องมีการปรับปรุงเงื่อนไขกรมธรรม์

ประเภทของกรมธรรม์ที่ไม่สามารถโอนได้

  1. ประกันสุขภาพ : โดยทั่วไปแล้วกรมธรรม์ประกันสุขภาพมักไม่สามารถโอนให้กับบุคคลอื่นได้ เนื่องจากความคุ้มครองที่ได้รับขึ้นอยู่กับสุขภาพและประวัติการรักษาของผู้เอาประกันเดิม
  2. ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล : เช่นเดียวกับประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลมักไม่สามารถโอนได้

ข้อควรทราบเกี่ยวกับกรมธรรม์ประกันภัย

  • การขออนุญาตจากบริษัทประกันภัย : แม้ว่ากรมธรรม์จะโอนได้ แต่ก็ต้องผ่านการพิจารณาและอนุมัติจากบริษัทประกันภัยก่อน ดังนั้น ควรติดต่อบริษัทประกันภัยเพื่อสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการโอนกรมธรรม์
  • การปรับเปลี่ยนเงื่อนไข : การโอนกรมธรรม์อาจทำให้บริษัทประกันภัยต้องปรับปรุงเงื่อนไขหรือค่าเบี้ยประกันภัยเพื่อให้สอดคล้องกับความเสี่ยงใหม่


การโอนกรมธรรม์มีความซับซ้อนและควรปรึกษากับตัวแทนประกันภัยหรือบริษัทประกันภัยก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปได้และเข้าใจขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติ

ประกันสุขภาพที่ แรบบิท แคร์ แนะนำ

เติมเงินยามป่วย

ประกันชดเชยรายได้

  • ชดเชยรายได้สูงสุด 1,500 บาท/วัน มากสุด 365 วัน
  • ผ่าตัดใหญ่ รับเงินก้อนสูงสุด 30,000 บาท/ครั้ง
  • รับเงินปลอบขวัญสูงสุด 1,500 บาท/ครั้ง หลังออกจาก รพ.
  • กรณีเสียชีวิต รับเงินก้อน สูงสุด 3 แสนบาท
  • เบี้ยประกันภัย เริ่มต้นเพียง 4 บาท/วัน
  • ไม่ต้องตรวจสุขภาพ
  • ชำระเบี้ยสั้น 5 ปี
เหมา สบายใจ สบายตังค์

ประกันสุขภาพเหมาจ่าย

  • เหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลสูงสุด 5 ล้านบาท/ปี
  • เบี้ยประกันภัย เริ่มต้นวันละไม่เกิน 30 บาท
  • รับเงินชดเชยสูงสุด 2,000 บาท/วัน
  • ค่าห้อง ค่าอาหารใน รพ. สูงสุด 3,000 บาท/วัน
  • สมัครได้ตั้งแต่อายุ 18 ปี - 70 ปี
  • ไม่ต้องตรวจสุขภาพ
  • ลดหย่อนภาษีได้
ประกันสุขภาพ Gen Health Lump Sum

ประกันสุขภาพ

  • เหมาจ่าย สูงสุด 1 ล้าน ไม่จำกัดวงเงิน
  • ค่าห้อง สูงสุด 8,000 บาท/วัน รวมถึงห้องจากรพ.ในเครือ BDMS
  • คุ้มครองกว่า 100 อาการ รวมโรคร้าย และ โควิด-19
  • ค่ารักษาทั่วไป สูงสุด 1,500 บาท (สูงสุดไม่เกิน 30 ครั้ง/ปี)
  • คุ้มครองค่าจ้างพยาบาลพิเศษ สูงสุด 1,000 บาท/วัน (สูงสุดไม่เกิน 15 วัน/ปี)
  • สมัครได้ตั้งแต่ อายุ 6-65 ปี (ต่ออายุถึง 70 ปี)
  • เบี้ยประกันภัยเริ่มต้น เพียง 22 บาท/วัน
ประกันสุขภาพ วิริยะ โกลด์ โดย BDMS

ประกันสุขภาพและอุบัติเหตุ

  • คุ้มครองผู้ป่วยใน สูงสุด 5 ล้านบาท/ครั้ง
  • คุ้มครองผู้ป่วยนอก สูงสุด 2,500 บาท/วัน (เมื่อซื้อความคุ้มครองเพิ่ม)
  • คุ้มครองค่าห้องผู้ป่วย สูงสุด 15,000 บาทต่อวัน (ไม่เกิน 365 วัน)
  • ไม่ต้องสำรองจ่ายก่อน เมื่อเข้ารักษาที่โรงพยาบาล กรุงเทพและในเครือ BDMS
  • คุ้มครองการรักษา ด้วยเคมีบำบัด สูงสุด 100,000 บาท/ปี (เฉพาะผู้ป่วยนอก)
  • สมัครได้ตั้งแต่อายุ 15 วัน - 65 ปี ไม่ต้องตรวจสุขภาพก่อนสมัคร

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา