Fisher Effect คืออะไร และมีประโยชน์อย่างไรในทางเศรษฐศาสตร์
ในยุคที่เศรษฐกิจมีความผันผวนสูง และอัตราเงินเฟ้อมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มมากกขึ้น ข้อหนึ่งที่สำคัญสำหรับนักลงทุนเลยก็คือการวิเคราะห์และคาดการณ์ทิศทางของเศรษฐกิจและการลงทุน ทฤษฎี Fisher Effect จึงเปรียบเสมือนอีกเครื่องมือหนึ่งสำหรับการคาดการณ์เหล่านั้น ดังนั้นวันนี้เรามีข้อมูล Fisher Effect คืออะไรมาฝาก
Fisher Effect คืออะไร?
ทฤษฎี Fisher Effect คือ ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเงิน (Nominal Interest Rate) และ อัตราเงินเฟ้อ (Inflation Rate) ถูกเสนอโดยนักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันชื่อ Irving Fisher ในปี 1930 นั่นหมายความว่า ทฤษฎี Fisher effect คือการอธิบายความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างประเทศที่สนใจ ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทย กับต่างประเทศ จะเท่ากับความแตกต่างของอัตราเงินเฟ้อระหว่างประเทศไทยและต่างประเทศที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต สามารถอธิบายได้ด้วยสมการข้างล่าง คือ
อัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเงิน (Nominal Interest rate) = อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real interest Rate) + อัตราเงินเฟ้อที่คาดหมาย (Expected Inflation Rate)
หรือหากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายและเห็นภาพมากขึ้น สามารถสรุปได้ว่า ทฤษฎี Fisher effect เป็นทฤษฎีที่ใช้อธิบายว่า ‘อัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเงิน’ จะเปลี่ยนแปลงตาม ‘อัตราเงินเฟ้อคาดหมาย’ นั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น
- ดอกเบี้ยเงินฝาก คืออัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเงิน (Nominal Interest rate) = 5%
- อัตราเงินเฟ้อคาดหมาย (Expected Inflation rate) = 3%
- อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) = 2%
ทฤษฎี Fisher Effect มีประโยชน์อย่างไร?
โดยปกติแล้ว ทฤษฎี Fisher Effect จะถูกอธิบายเชื่อมโยงกับทฤษฎีอำนาจซื้อเปรียบเทียบ หรือที่เรียกว่า ทฤษฎี International Fisher Effect (IFE) ซึ่งอาศัยความแตกต่างของเงินเฟ้อระหว่างสองประเทศเป็นตัวกลาง แสดงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ย และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งจากทฤษฎีพบว่า การเปลี่ยนแปลงอัตราการแลกเปลี่ยนที่คาดหมาย จะส่งผลกระทบต่อผลกำไร หรือขาดทุนของนักลงทุน โดยความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเงิน (Nominal Interest Rate) ในตลาดเงินระหว่างตลาดเงินสองประเทศ จะเท่ากับเปอร์เซนต์การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินตราสองสกุล ในทิศทางตรงกันข้ามกัน คือ เงินตราสกุลที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า จะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับเงินตราสกุลที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า ด้วยเหตุนี้ ทฤษฎี Fisher Effect จึงมีประโยชน์ต่อการคาดการณ์ผลลัพธ์ของการลงทุนอันเกิดมาจากการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนนั่นเอง
ตัวอย่างทฤษฎี Fisher Effect?
ทฤษฎี Fisher Effect สามารถใช้อธิบายปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ได้ ซึ่งจากผลการศึกษาของ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยพบว่า อัตราเงินเฟ้อ (INF) มีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ธนาคารพาณิชย์ สอดคล้องกับทฤษฎี Fisher Effect หมายความว่า หากในระบบเศรษฐกิจมีอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น รัฐบาลจะต้องแก้ปัญหาเงินเฟ้อด้วยการปรับดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น ทำให้อัตราดอกเบี้ยของธนาคารสูงตาม เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนต้องการฝากเงิน กล่าวโดยสรุปคือ อัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเงิน จะแปรผันตรงกับอัตราเงินเฟ้อของแต่ละประเทศ ดังนั้น ประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง จะมีอัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเงินสูงกว่าประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำกว่า
ตัวอย่างทฤษฎี International Fisher Effect?
ยกตัวอย่างเช่น นักลงทุนชาวสหรัฐอเมริกาลงทุนด้วยการซื้อพันธบัตรของไทยอายุ 10 ปี ให้ผลตอบแทน 4% ซึ่งในขณะนั้น สหรัฐอเมริกาได้ออกพันธบัตรอายุ 10 ปี ให้ผลตอบแทน 6% ทำให้ผลต่างของอัตราดอกเบี้ยเป็น 2% ดังนั้นในช่วงเวลา 10 ปี เงินตราสกุลบาทไทยคือสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า ควรจะแข็งค่าขึ้นอย่างน้อย 2% นักลงทุนชาวสหรัฐอเมริกา จึงจะไม่ขาดทุน แต่หากเงินบาทไทยอ่อนค่าลงหรือแข็งขึ้นแต่ไม่ถึง 2% นักลงทุนควรจะลงทุนกับพันธบัตรสหรัฐอเมริกา จะทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ในทางกลับกัน หากเงินบาทไทยแข็งค่าขึ้นมากกว่า 2% เช่น แข็งค่าขึ้น 4% นักลงทุนก็จะได้ผลกำไรจากการลงทุนเท่ากับ 2% นั่นเอง ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎี Fisher Effect
จากทั้งหมดดังที่กล่าวไปนั้น ไม่ว่าจะเป็นนิยามของ Fisher Effect คืออะไร หรือตัวอย่างการนำทฤษฎี Fisher Effect มาใช้คาดการณ์การลงทุน จะช่วยให้มีความเข้าใจและเห็นถึงประโยชน์ของทฤษฎี Fisher effect มากขึ้น และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการลงทุนในอนาคตได้อีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ควรจะศึกษาเพิ่มเติมถึงวิธีการนำสมการหรือเครื่องมือในการวิเคราะห์มาใช้กับFisher Effect ด้วยเช่นกัน
สินเชื่อที่ แรบบิท แคร์ แนะนำ