Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ในการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งาน และเพื่อเก็บข้อมูลสถิติ ท่านสามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่นโยบายคุกกี้
user profile image
เขียนโดยPaweennuch W.วันที่เผยแพร่: Oct 17, 2023

ทำความรู้จัก Yield Curve คืออะไร? บอกอะไรบ้าง?

หากเข้าสู่วงการการลงทุนสิ่งที่จำเป็นต้องรู้มีอยู่มากมาย โดยความรู้เบื้องต้นสำคัญสำหรับการวางกลยุทธ์และตัดสินใจลงทุนในตราสารหนี้ก็คือ Yield Curve ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์การลงทุนในตราสารหนี้ หรือหุ้นกู้ นั่นเอง แล้ว Yield Curve คืออะไร ไปหาคำตอบกัน

รู้จัก Yield Curve คืออะไร?

Yield Curve คือ เส้นผลตอบแทนหรือเส้นที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทน กับ อายุคงเหลือของตราสารหนี้ โดยตราสารหนี้ (Bond) ปกติที่นิยมใช้ดูกันคือ พันธบัตรรัฐบาล มักใช้เป็น Benchmark ในการเปรียบเทียบ นอกจากนี้การดู Yield Curve สามารถดูได้ทั้งพวกหุ้นกู้ (ออกโดยบริษัทเอกชน) ได้อีกด้วย เป็นส่วนสำคัญที่จะบอกได้ว่าหุ้นกู้นั้นให้ผลตอบแทนในแต่ละช่วงเวลาเป็นอย่างไร

การวิเคราะห์ Yield Curve คือส่วนสำคัญที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของตลาดตราสารหนี้ว่าจะไปในทิศทางใด สามารถบอกถึงภาวะเศรษฐกิจโดยรวมได้เป็นอย่างดี รวมทั้งมีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้น และทองคำ ช่วยบอกได้ว่าหุ้นกู้นั้นให้ผลตอบแทนในแต่ละช่วงเวลาเป็นอย่างไรส่งผลต่อการตัดสินใจและการวางกลยุทธ์ในการลงทุน

Yield Curve คือ ค่าที่อิงกับอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อในอนาคตของแต่ละช่วงเวลา ซึ่งระยะเวลาถือครองหุ้นกู้ มีตั้งแต่ระยะสั้นคือไม่เกิน 90 วัน ไปจนถึงระยะเวลาถือครองนับ 10 - 30 ปี ซึ่งทั้ง 2 อัตราขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกัน

Yield Curve มี่กี่แบบ อะไรบ้าง?

ปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงและทำให้รูปร่างของเส้น Yield curve แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา เช่น ภาวะเงินเฟ้อ นโยบายทางการเงินของรัฐบาล สภาพคล่องในระบบการเงิน โดยรูปร่างของ Yield curve สามารถแบ่งออกเป็น 5 รูปแบบดังนี้

1. Normal Yield Curve ช่วงผลตอบแทนแบบปกติ

Yield Curve ที่มีลักษณะเป็นเส้นลาดชันขึ้นจากซ้ายไปขวา เริ่มจากอัตราผลตอบแทนน้อยแล้วเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆจนถึงจุดหนึ่งแล้วเส้นจะเรียบเท่าเดิมเป็นผลตอบแทนคงที่ไปจนครบกำหนดระยะเวลาการไถ่ถอน ค่าYield ลักษณะนี้พบได้ในหุ้นกู้ระยะสั้น โดยหุ้นกู้ระยะยาวจะมีช่วงผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นกู้ระยะสั้นเสมอ เพราะนักลงทุนต้องบวกความเสี่ยงและอัตราเงินเฟ้อเข้าไปด้วย ซึ่งมีความเสี่ยงมากกว่าจึงได้รับผลตอบแทนที่มากกว่า แสดงถึงการเติบโตของเศรษฐกิจที่ปกติ

2. Sleep Yield Curve ช่วงผลตอบแทนที่มีความชัน

ลักษณะเชิดขึ้นเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด และสูงกว่าค่า Yield ปกติในทุกช่วงค่าตอบแทน ซึ่งแสดงถึงการเริ่มต้นการเติบโตของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น และเกิดการปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงตามไปด้วย

3. Inverted Yield Curve ช่วงผลตอบแทนลักษณะลาดลง

มีลักษณะเส้นที่ตรงข้ามกับเส้นแบบมีความชัน เส้นกราฟลาดลงจากซ้ายไปขวา แสดงให้เห็นว่ามีผลตอบแทนสูงสุดตอนแรกแล้วค่อยๆ ลดลงจนคงที่ในปีหลังๆ มักพบเมื่อตลาดคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาดมีแนวโน้มลดลง และพบในหุ้นกู้ระยะยาว

4. Hump Yield Curve ช่วงผลตอบแทนแบบหลังเขา

ค่า Yield Curve มีลักษณะเส้นลาดชันขึ้นจากซ้ายไปขวาและวกต่ำลง ค่าYield นี้มักเป็นหุ้นกู้ทั่วไปไม่ต่างจากหุ้นกู้ตัวอื่น

5. Flat Yield Curve ช่วงผลตอบแทนแบบแบนราบ

มีลักษณะเส้นที่ราบเรียบเท่ากันทุกช่วงอายุการถือครองหุ้นหรือตราสารหนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของผลตอบแทน แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจมีความสมดุล

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง Yield Curve

1. แนวโน้มเศรษฐกิจ มีผลต่อ Yield Curve

การบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจทั้งระบบ หากเศรษฐกิจดี ช่วงผลตอบแทนในขณะนั้นย่อมมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้น แต่ถ้าหากเศรษฐกิจโดยรวมไม่ดี ช่วงผลตอบแทนในขณะนั้นย่อมไม่ดีตามไปด้วย

2. อัตราเงินเฟ้อ

มีผลต่อค่า Yield Curve โดยตรง เพราะยิ่งอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ผลตอบแทนที่เป็นอัตราคงตัวจะยิ่งลดน้อยลงตามไปด้วย

3. ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP)

GDP เป็นค่าใช้วัดการเติบโตของเศรษฐกิจ ถ้าประเทศไหนมีการเติบโตของเศรษฐกิจดี ประชาชนเกิดการจับจ่ายใช้สอยมาก เท่ากับมีเงินหมุนเวียนในระบบมาก ผลตอบแทนจากพันธบัตรหรือหุ้นกู้ ก็จะมากตามอัตราการเติบโตของเงินในระบบด้วย และทำให้ Yield Curve ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน

4. ดุลการค้า

ส่งผลต่อช่วงผลตอบแทนของพันธบัตรหรือหุ้นกู้ คือ ช่วยให้เป็นที่สนใจเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้จากต่างประเทศ และเงินแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ

ประโยชน์ของ Yield Curve คืออะไร?

รูปแบบและการเปลี่ยนแปลงของเส้น Yield curve ที่แตกต่างกันไปแต่ละช่วงเวลา สามารถสะท้อนให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจในช่วงต่างๆได้ ถือว่าเป็นการดูตลาดในภาพกว้าง ช่วยให้คาดการณ์ได้ว่าช่วงไหนควรเสี่ยงมาก ช่วงไหนควรเสี่ยงน้อย ซึ่งทำให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้นและโอกาสพลาดน้อย นอกจากนี้ยังสามารถใช้ Yield Curve ในการวางแผนการใช้จ่ายได้ด้วย เช่น หากพบว่าอัตราดอกเบี้ยบ้านต่ำมากเมื่อเทียบกับหลายๆปีที่ผ่านมา แถมภาพรวมเศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดี ธนาคารจะไม่สามารถให้ดอกเบี้ยต่ำแบบนั้นได้ในระยะยาว จึงคาดการณ์ได้เลยว่าในอีก 1-2 ปีข้างหน้าดอกเบี้ยบ้านต้องสูงเพิ่มขึ้นแน่นอน

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า Yield Curve มีประโยชน์ต่อการวางแผนและคาดการณ์การลงทุนในตราสารหนี้อย่างมาก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาให้เข้าใจอย่างดี แต่นอกจากช่วยเรื่องการลงทุนแล้วยังสามารถช่วยในการวางแผนทางการใช้เงินทั้งระยะสั้นและยาวได้อีก ถึงแม้ไม่ใช่นักลงทุนหากรู้ไว้ก็ไม่เสียหาย

สินเชื่อที่ แรบบิท แคร์ แนะนำ

UOB Xpress สินเชื่อส่วนบุคคลUOB Xpress

สินเชื่อส่วนบุคคล

  • ดอกเบี้ย 9.99% ต่อปี ตลอดสัญญา
  • สูงสุด 2 ล้านบาท
  • แบ่งเบาหนี้ ผ่อน 60 เดือน
  • พนักงาน 25,000 บาท อายุงาน 4 เดือน
  • รายได้ 25,000 บาท กิจการ 3 ปี
  • อายุ 20 ปีขึ้นไป ผ่อน 60 ปี
สินเชื่อส่วนบุคคลกรุงศรีสินเชื่อส่วนบุคคลกรุงศรี

สินเชื่อส่วนบุคคล

  • ดอกเบี้ย 12.99% ปี, อาชีพพิเศษ 5 ปี+
  • ดอกเบี้ย 15.99% ปี, เจ้าของธุรกิจพิเศษ
  • ผ่อน 60 เดือน แสนละ 2,2XX บาท
  • วงเงิน 2 ล้าน หรือ 5 เท่าของรายได้
  • สลิปเงินเดือน หรือหนังสือรับรองจากบริษัทปัจจุบัน
  • รายได้พนักงาน 20,000 บาท, เจ้าของกิจการ 200,000 บาท
LINE BKLINE BK

สินเชื่อเงินสด

  • ยืมได้ง่าย รายได้ 5,000 บาท
  • ใช้วงเงินได้หลังอนุมัติ
  • ใช้จ่ายจำเป็น วงเงินสูงสุด 800,000 บาท
  • ดอกเบี้ยสูงสุด 33% สำหรับธุรกิจ
  • อนุมัติสูงสุด 5 เท่าของรายได้
  • มีบัญชี LINE BK สมัครผ่าน LINE
สินเชื่อเงินสดนาโนฟินนิกซ์นาโนฟินนิกซ์

สินเชื่อเงินสด

  • ยืมหมื่น ดอกเบี้ยวันละ 9 บาท ลดต้นลดดอก
  • อนุมัติทันที แจ้งผล 5 นาที
  • กู้ได้ รายได้ขั้นต่ำ 8,000 บาท
  • วงเงินสูง 100,000 บาท ไม่ต้องค้ำประกัน
  • สมัครง่าย รายได้ไม่แน่นอน ไม่มีสลิป
  • ใช้บัตรประชาชนและสเตทเม้นท์ 6 เดือน

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา