ทำความรู้จัก Yield Curve คืออะไร? บอกอะไรบ้าง?
หากเข้าสู่วงการการลงทุนสิ่งที่จำเป็นต้องรู้มีอยู่มากมาย โดยความรู้เบื้องต้นสำคัญสำหรับการวางกลยุทธ์และตัดสินใจลงทุนในตราสารหนี้ก็คือ Yield Curve ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์การลงทุนในตราสารหนี้ หรือหุ้นกู้ นั่นเอง แล้ว Yield Curve คืออะไร ไปหาคำตอบกัน
รู้จัก Yield Curve คืออะไร?
Yield Curve คือ เส้นผลตอบแทนหรือเส้นที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทน กับ อายุคงเหลือของตราสารหนี้ โดยตราสารหนี้ (Bond) ปกติที่นิยมใช้ดูกันคือ พันธบัตรรัฐบาล มักใช้เป็น Benchmark ในการเปรียบเทียบ นอกจากนี้การดู Yield Curve สามารถดูได้ทั้งพวกหุ้นกู้ (ออกโดยบริษัทเอกชน) ได้อีกด้วย เป็นส่วนสำคัญที่จะบอกได้ว่าหุ้นกู้นั้นให้ผลตอบแทนในแต่ละช่วงเวลาเป็นอย่างไร
การวิเคราะห์ Yield Curve คือส่วนสำคัญที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของตลาดตราสารหนี้ว่าจะไปในทิศทางใด สามารถบอกถึงภาวะเศรษฐกิจโดยรวมได้เป็นอย่างดี รวมทั้งมีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้น และทองคำ ช่วยบอกได้ว่าหุ้นกู้นั้นให้ผลตอบแทนในแต่ละช่วงเวลาเป็นอย่างไรส่งผลต่อการตัดสินใจและการวางกลยุทธ์ในการลงทุน
Yield Curve คือ ค่าที่อิงกับอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อในอนาคตของแต่ละช่วงเวลา ซึ่งระยะเวลาถือครองหุ้นกู้ มีตั้งแต่ระยะสั้นคือไม่เกิน 90 วัน ไปจนถึงระยะเวลาถือครองนับ 10 - 30 ปี ซึ่งทั้ง 2 อัตราขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกัน
Yield Curve มี่กี่แบบ อะไรบ้าง?
ปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงและทำให้รูปร่างของเส้น Yield curve แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา เช่น ภาวะเงินเฟ้อ นโยบายทางการเงินของรัฐบาล สภาพคล่องในระบบการเงิน โดยรูปร่างของ Yield curve สามารถแบ่งออกเป็น 5 รูปแบบดังนี้
- 1. Normal Yield Curve ช่วงผลตอบแทนแบบปกติ Yield Curve ที่มีลักษณะเป็นเส้นลาดชันขึ้นจากซ้ายไปขวา เริ่มจากอัตราผลตอบแทนน้อยแล้วเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆจนถึงจุดหนึ่งแล้วเส้นจะเรียบเท่าเดิมเป็นผลตอบแทนคงที่ไปจนครบกำหนดระยะเวลาการไถ่ถอน ค่าYield ลักษณะนี้พบได้ในหุ้นกู้ระยะสั้น โดยหุ้นกู้ระยะยาวจะมีช่วงผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นกู้ระยะสั้นเสมอ เพราะนักลงทุนต้องบวกความเสี่ยงและอัตราเงินเฟ้อเข้าไปด้วย ซึ่งมีความเสี่ยงมากกว่าจึงได้รับผลตอบแทนที่มากกว่า แสดงถึงการเติบโตของเศรษฐกิจที่ปกติ
- 2. Sleep Yield Curve ช่วงผลตอบแทนที่มีความชัน ลักษณะเชิดขึ้นเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด และสูงกว่าค่า Yield ปกติในทุกช่วงค่าตอบแทน ซึ่งแสดงถึงการเริ่มต้นการเติบโตของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น และเกิดการปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงตามไปด้วย
- 3. Inverted Yield Curve ช่วงผลตอบแทนลักษณะลาดลง มีลักษณะเส้นที่ตรงข้ามกับเส้นแบบมีความชัน เส้นกราฟลาดลงจากซ้ายไปขวา แสดงให้เห็นว่ามีผลตอบแทนสูงสุดตอนแรกแล้วค่อยๆ ลดลงจนคงที่ในปีหลังๆ มักพบเมื่อตลาดคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาดมีแนวโน้มลดลง และพบในหุ้นกู้ระยะยาว
- 4. Hump Yield Curve ช่วงผลตอบแทนแบบหลังเขา ค่า Yield Curve มีลักษณะเส้นลาดชันขึ้นจากซ้ายไปขวาและวกต่ำลง ค่าYield นี้มักเป็นหุ้นกู้ทั่วไปไม่ต่างจากหุ้นกู้ตัวอื่น
- 5. Flat Yield Curve ช่วงผลตอบแทนแบบแบนราบ มีลักษณะเส้นที่ราบเรียบเท่ากันทุกช่วงอายุการถือครองหุ้นหรือตราสารหนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของผลตอบแทน แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจมีความสมดุล
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง Yield Curve
- 1. แนวโน้มเศรษฐกิจ มีผลต่อ Yield Curve การบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจทั้งระบบ หากเศรษฐกิจดี ช่วงผลตอบแทนในขณะนั้นย่อมมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้น แต่ถ้าหากเศรษฐกิจโดยรวมไม่ดี ช่วงผลตอบแทนในขณะนั้นย่อมไม่ดีตามไปด้วย
- 2. อัตราเงินเฟ้อ มีผลต่อค่า Yield Curve โดยตรง เพราะยิ่งอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ผลตอบแทนที่เป็นอัตราคงตัวจะยิ่งลดน้อยลงตามไปด้วย
- 3. ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) GDP เป็นค่าใช้วัดการเติบโตของเศรษฐกิจ ถ้าประเทศไหนมีการเติบโตของเศรษฐกิจดี ประชาชนเกิดการจับจ่ายใช้สอยมาก เท่ากับมีเงินหมุนเวียนในระบบมาก ผลตอบแทนจากพันธบัตรหรือหุ้นกู้ ก็จะมากตามอัตราการเติบโตของเงินในระบบด้วย และทำให้ Yield Curve ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน
- 4. ดุลการค้า ส่งผลต่อช่วงผลตอบแทนของพันธบัตรหรือหุ้นกู้ คือ ช่วยให้เป็นที่สนใจเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้จากต่างประเทศ และเงินแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ
ประโยชน์ของ Yield Curve คืออะไร?
รูปแบบและการเปลี่ยนแปลงของเส้น Yield curve ที่แตกต่างกันไปแต่ละช่วงเวลา สามารถสะท้อนให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจในช่วงต่างๆได้ ถือว่าเป็นการดูตลาดในภาพกว้าง ช่วยให้คาดการณ์ได้ว่าช่วงไหนควรเสี่ยงมาก ช่วงไหนควรเสี่ยงน้อย ซึ่งทำให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้นและโอกาสพลาดน้อย นอกจากนี้ยังสามารถใช้ Yield Curve ในการวางแผนการใช้จ่ายได้ด้วย เช่น หากพบว่าอัตราดอกเบี้ยบ้านต่ำมากเมื่อเทียบกับหลายๆปีที่ผ่านมา แถมภาพรวมเศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดี ธนาคารจะไม่สามารถให้ดอกเบี้ยต่ำแบบนั้นได้ในระยะยาว จึงคาดการณ์ได้เลยว่าในอีก 1-2 ปีข้างหน้าดอกเบี้ยบ้านต้องสูงเพิ่มขึ้นแน่นอน
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า Yield Curve มีประโยชน์ต่อการวางแผนและคาดการณ์การลงทุนในตราสารหนี้อย่างมาก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาให้เข้าใจอย่างดี แต่นอกจากช่วยเรื่องการลงทุนแล้วยังสามารถช่วยในการวางแผนทางการใช้เงินทั้งระยะสั้นและยาวได้อีก ถึงแม้ไม่ใช่นักลงทุนหากรู้ไว้ก็ไม่เสียหาย
สินเชื่อที่ แรบบิท แคร์ แนะนำ