อาหารไม่ย่อยเกิดจากอะไร และมีวิธีแก้ไขอย่างไร?
อาหารไม่ย่อยเกิดจากอะไร?
จากบทความสุขภาพเรื่อง “อาหารไม่ย่อย ท้องอืด” ในเว็บไซต์ของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้กล่าวถึงความหมายของภาวะอาหารไม่ย่อย (Dyspepsia) ว่าเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในระหว่างหรือหลังจากที่รับประทานอาหารไปแล้ว โดยจะรู้สึกไม่สบายบริเวณหน้าอกหรือบริเวณใต้ลิ้นปี่ และนอกจากนี้ยังพบอาการปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืด หรือมีลมในท้องด้วย ซึ่งจะเกิดได้มากในวัยผู้ใหญ่ โดยจะสามารถเช็กได้ว่าเป็นภาวะอาหารไม่ย่อยได้จากการตรวจเลือด ตรวจลมหายใจ หรือตรวจอุจจาระ และนอกจากนี้แพทย์อาจใช้วิธีส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน และทำการตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจหาความเสียหายจากการเกิดโรคกรดไหลย้อน การติดเชื้อ หรือการแพ้อาหาร เป็นต้น และภาวะอาหารไม่ย่อยนั้นสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการกินที่ไปกระตุ้นให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อยนั่นเอง อาทิเช่น
- การรับประทานอาหารรสจัด หรืออาหารมัน ๆ ไขมันสูง
- การเคี้ยวที่ไม่ละเอียด รับประทานเร็ว รับประทานเยอะ
- เป็นโรคอ้วน หรือภาวะน้ำหนักเกินเกณฑ์
- มีแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็ก
- เป็นกรดไหลย้อน
- สูบบุหรี่เป็นประจำ
- โรคเซลิแอค หรือโรคแพ้กลูเตน (Celiac diseae)
- นิ่วในถุงน้ำดี
- ตับอ่อนอักเสบ
- การตั้งครรภ์
- ท้องผูก
- มะเร็งกระเพาะอาหาร
- การติดเชื้อ Helicobacter pylori (H. Pylori)
- การอุดตันของลำไส้
- ภาวะกระเพาะอาหารบีบตัวช้า
- แบคทีเรียในลำไส้เล็กเจริญเติบโตมากจนเกินไป
- การไหลเวียนของเลือดไปยังลำไส้ลดลง (ลำไส้ขาดเลือด)
- มีความเครียดและความวิตกกังวลมาก
- ชอบดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูงจนเกินไป
- รับประทานยาบางชนิดที่ส่งผลกระทบต่อระบบย่อยอาหาร เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาบรรเทาอาการปวด ยาสเตียรอยด์ อาหารเสริมธาตุเหล็ก เป็นต้น
อาหารไม่ย่อยทำไงดี ต้องกินยาไหม?
โดยปกติแล้วอาการอาหารไม่ย่อยนั้นจะดีขึ้นและหายไปได้เองเมื่อเวลาผ่านไป แต่ถ้าหากว่าเป็นนานมากถึง 2 สัปดาห์แล้วยังไม่หายสักที แบบนี้ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะว่าอาจจะมีอาการอื่น ๆ รุนแรงมากขึ้นร่วมด้วย เช่น น้ำหนักตัวลดลง เบื่ออาหาร อาเจียนบ่อย อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระมีเลือดปน อุจจาระมีสีดำ กลืนอาหารลำบาก เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย หายใจไม่อิ่ม หายใจถี่ มีเหงื่อออกมากิน เจ็บหน้าอกขณะที่กำลังใช้แรงหรือกำลังออกกำลังกาย รวมไปถึงอาการเจ็บหน้าอกแล้วลามไปยังบริเวณกราม ลำคอ และแขน เป็นต้น
อาหารไม่ย่อย อาการมีอะไรบ้าง?
- อาการอิ่มแน่นระหว่างมื้ออาหาร ทำให้ไม่สามารถรับประทานอาหารได้หมด หรืออิ่มทันทีที่รับประทานอาหารเข้าไป
- อาหารอิ่มแน่นหลังมื้ออาหาร เป็นความรู้สึกเหมือนมีอาหารค้างอยู่ในกระเพาะนานเกินไป หลังจากที่รับประทานอาหารมื้อนั้นเสร็จแล้ว
- อาการปวดบริเวณลิ้นปี่ (ลิ้นปี่ คือ บริเวณที่อยู่ระหว่างปลายกระดูกหน้าอกชั้นล่างสุดกับสะดือ)
- แสบร้อนกลางทรวงอก
- อาการคลื่นไส้อาเจียน และเรอบ่อย
- อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
- ปวดท้องช่วงบน จุกเสียดแน่นท้อง
- รู้สึกไม่สบายตัว อึดอัด
ข้อสังเกตของคนที่มีอาการอาหารไม่ย่อย
สำหรับอาการอาหารไม่ย่อยนั้นมักจะพบได้บ่อยถึง 25% ของประชากร และส่วนใหญ่จะเป็นแบบเรื้อรัง จึงทำให้คุณภาพชีวิตและการดำเนินชีวิตนั้นลำบากขึ้น และคนที่มีอาการอาหารไม่ย่อยกว่า 50% แพทย์มักจะตรวจพบสาเหตุและทำการรักษาให้ดีขึ้นได้จากการรับประทานยาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แต่ที่เหลืออีก 50% นั้นกลับไม่พบสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อยเลย ซึ่งเราจะเรียกคนกลุ่มนี้ว่า Functional Dyspepsia โดยที่ทางแพทย์ก็จะรักษาโดยการให้ยากลับไปรับประทานก่อน แต่ยกเว้นในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคร้าย หรือไม่มีการตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา แพทย์จะทำการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้นให้ เช่น อุจจาระมีสีดำ อุจจาระมีเลือด กลืนลำบาก น้ำหนักลดลง มีเลือดออกในทางเดินอาหาร หรือมีอาการลำไส้อุดตัน
ภาวะแทรกซ้อนของอาการอาหารไม่ย่อย
- ภาวะหลอดอาหารตีบ จะมีอาการกลืนลำบาก เจ็บหน้าอก หรือมีอาหารติดอยู่ที่ลำคอ
- ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร เกิดจากการที่กรดในกระเพาะอาหารนั้นมีมากเกินไป จนไปสร้างแผลและความเสียหายในระบบทางเดินอาหาร
- ภาวะกระเพาะอาหารส่วนปลายตีบ มักจะทำให้เกิดการอาเจียน
- ภาวะหลอดอาหารอักเสบเรื้อรังบาร์เร็ต (Barrett’s Oesophagus)
- กระเพาะอาหารทะลุ
อาหารไม่ย่อย วิธีแก้มีอะไรบ้าง?
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด ไขมันเยอะ และย่อยได้ยาก
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารครั้งละมาก ๆ
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา โดยอาจจะแบ่งรับประทานเป็นมื้อย่อย 5-6 มื้อต่อวันแทน
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารก่อนเข้านอน เป็นเวลาอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
- การรักษาสภาวะทางจิตภายใต้การรักษาของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- หลีกเลี่ยงการรับประทานยาแก้ปวดบางชนิด เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือนาพรอกเซนโซเดียม เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูง
- ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ
- ปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการรักษาอาการอาหารไม่ย่อย
- พยายามไม่เครียด หรือพยายามไม่วิตกกังวลจนเกินไป
- การรับประทานยาลดกรด เพื่อบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย
- การรับประทานยายับยั้งตัวรับฮิสตามีนชนิดที่ 2 (Histamine-2 receptor antagonists : H2RAs) เพื่อลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ซึ่งยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ได้นานกว่า แต่ไม่รวดเร็วเท่ากับยากลุ่มแรก
- การรับประทานยากลุ่มยับยั้งโปรตอนปั๊ม (Proton pump inhibitors : PPIs) ซึ่งตัวยาในกลุ่มนี้จะมีประสิทธิภาพในการรักษาอาการอาหารไม่ย่อยได้ดีที่สุดในผู้ป่วยที่เป็นโรคกรดไหลย้อนร่วมด้วย เนื่องจากยากลุ่มนี้จะช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหาร (prokinetics) และยังช่วยส่งเสริมการทำงานของกล้ามเนื้อในระบบทางเดินอาหารอีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วก็ยังมีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นบ่อย เช่น อาการอ่อนเพลีย ง่วงนอน ซึมเศร้า วิตกกังวล และกล้ามเนื้อเกิดการเกร็งกระตุก จึงทำให้ใช้ยาในกลุ่มนี้ได้อย่างจำกัด
เพราะฉะนั้นเรื่องสุขภาพจึงเป็นเรื่องที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของคนเรามาก ถ้าหากว่ามีการวางแผนดูแลสุขภาพทั้งในระยะสั้นและในระยะยาวก็จะส่งผลดีต่อตัวเราเป็นอย่างมากเลยทีเดียว โดยที่ในระยะสั้นอาจจะวางแผนเรื่องการกินอาหารที่มีประโยชน์ ควบคุมปริมาณการกินให้เหมาะสม ออกกำลังเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ พยายามไม่เครียดจนเกินไป ใช้ชีวิตอย่างมีสติและไม่ประมาท ส่วนในระยะยาวก็จะเป็นการเลือกทำประกันสุขภาพ ที่สามารถให้ความคุ้มครองและเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตประจำวันได้มากยิ่งขึ้น เช่น การลดหย่อนภาษี เนื่องจากว่าเบี้ยประกันนั้นสามารถใช้ในการลดหย่อนภาษีได้ตามจริงสูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท และสำหรับในกรณีที่ทำประกันสุขภาพร่วมกับประกันชีวิตแบบทั่วไปหรือเงินฝากแบบที่มีประกันชีวิต ก็จะสามารถใช้ในการลดหย่อนภาษีได้ตามจริงสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท/ปี หรือการทำประกันสุขภาพร่วมกับประกันชีวิตแบบบำนาญ ก็จะสามารถนำเบี้ยประกันไปใช้ในการลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 215,000 บาท/ปี และอื่น ๆ ตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากรดังนี้
- เบี้ยประกันของกรมธรรม์ประกันชีวิต สามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท
- เบี้ยประกันของกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีได้ 2 วิธี ได้แก่
- แบบเดียวกับกรมธรรม์ประกันชีวิตทั่วไป
- แบบที่นำเบี้ยประกันบำนาญที่เหลือไปใช้ในการลดหย่อนภาษีเงินได้ตามจริง ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน และนำไปใช้ในการลดหย่อนภาษีเงินได้สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับเงินที่ลงทุนในกองทุนอื่น ๆ ทุกรายการลดหย่อนแล้วไม่เกิน 500,000 บาท เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จข้าราชการ (กบข.) หรือกองทุนสงเคราะห์โรงเรียนเอกชน เป็นต้น
โดยประกันสุขภาพที่ทำกับทาง แรบบิท แคร์ นั้นจะสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ในกรณีที่เป็นประกันสุขภาพระยะยาว (Long term care) ประกันโรคร้ายแรง (Critical illnesses) ประกันอุบัติเหตุที่ให้ความคุ้มครองด้านการรักษาพยาบาล การทุพพลภาพ หรือการสูญเสียอวัยวะ รวมไปถึงประกันสุขภาพที่มีความคุ้มครองเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลเมื่อเกิดเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ โดยที่เรานั้นจะสามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพของพ่อแม่หรือของตนเองมาขอใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งกฎเกณฑ์การลดหย่อนภาษีในแต่ละปีนั้นอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเงื่อนไขอื่น ๆ ได้เสมอ ดังนั้นจึงควรตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจทำประกันสุขภาพ
ประกันสุขภาพที่ แรบบิท แคร์ แนะนำ