รถยนต์ไฟฟ้า Tesla
ประวัติและวิวัฒนาการของรถยนต์ไฟฟ้า Tesla
ในปัจจุบันนี้เราจะสังเกตเห็นได้ว่ากระแสของการรักษ์โลกหรือพลังงานสะอาดกำลังเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในคนทุกช่วงอายุ ซึ่งจะเห็นได้จากปรากฏการณ์โลกร้อนที่เห็นได้อย่างชัดเจน หรือจากสภาพอากาศที่แปรปรวนขึ้นทุกวัน จึงทำให้ผู้คนเริ่มตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้ และร่วมกันหาวิธีที่จะช่วยลดโลกร้อนได้อย่างชัดเจน และวิธีที่จะสามารถช่วยลดโลกร้อนนั้นก็มีได้หลากหลายวิธี ในแบบที่เราจะสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันของเราได้ และหนึ่งในนั้นก็คือการเริ่มเปลี่ยนจากการขับรถยนต์แบบใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง มาเป็นการขับรถยนต์ไฟฟ้าแทน เพราะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่มีการปล่อยมลพิษออกมา อีกทั้งยังสามารถทำอัตราเร่งได้ดีกว่า และประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากยิ่งขึ้น ใครที่ได้ลองขับรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว ก็จะเริ่มติดใจในส่วนนี้กันเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องยอมเสียเงินในราคาที่สูงกว่ารถยนต์ธรรมดาทั่วไป และจะต้องวางแผนในเรื่องของการชาร์จพลังงานเพิ่มขึ้นมา เพื่อแลกมากับรถยนต์ไฟฟ้าที่เราต้องการ
และถ้าหากจะพูดถึงรถยนต์ไฟฟ้า แน่นอนว่า Tesla จะต้องเป็นชื่อแรกที่ทุกคนนึกถึงขึ้นมากันอย่างแน่นอน เพราะนอกจาก Tesla จะเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอันดับหนึ่งของโลกในปัจจุบันแล้ว เมื่อต้นปี ค.ศ. 2022 ที่ผ่านมานั้น ทาง Tesla ก็ได้มีการเข้ามาจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย และได้เริ่มมีการจัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าเทสล่า(Tesla) อย่างเป็นทางการในประเทศไทย
เริ่มจากปี ค.ศ. 2003 โดยนักธุรกิจชาวอเมริกันที่ชื่อว่า มาร์ตอน เอเบอร์ฮาร์ด(Martin Eberhard) และมาร์ก ทาร์เพนนิ่ง(Marc Tarpenning) ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทที่มีชื่อว่า Tesla Motors ตามชื่อของนักประดิษฐ์ชาวอเมริกา นิโกลา เทสลา(Nikola Tesla) ที่เป็นนักประดิษฐ์อัจฉริยะนวัตกรรมไฟฟ้าต่าง ๆ โดยทั้งคู่มีเป้าหมายจะพิสูจน์ให้เห็นว่ารถยนต์ไฟฟ้านั้นดีกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งในเว็บไซต์ปัจจุบันของทางบริษัทเทสล่า(Tesla) ก็ได้มีระบุไว้ว่าจะเป็นการพิสูจน์ให้ผู้ที่ขับขี่ไม่ต้องรู้สึกว่าถ้าซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแล้วจะได้อย่างเสียอย่าง เพราะรถยนต์ไฟฟ้าจะทั้งเหนือกว่า เร็วกว่า และขับสนุกมากกว่าเครื่องยนต์แบบที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ต่อมาในปี ค.ศ. 2004 อีลอน มัสก์ ก็ได้ก้าวเข้ามาเป็นประธานบริษัท Tesla จากความสนใจในเรื่องของเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า เมื่อครั้งที่ได้เข้าร่วมทดสอบรถยนต์ไฟฟ้า TZero โดยบริษัท AC Propulsion เมื่อปี ค.ศ. 2003 ที่ผ่านมา
ต่อมาในปี ค.ศ. 2006 บริษัท Tesla ก็ได้เปิดตัวรถสปอร์ตไฟฟ้ารุ่นต้นแบบเทสล่า สุดหรูหรา ที่สามารถวิ่งได้ไกลถึง 300 กิโลเมตรต่อการชาร์จพลังงานไฟฟ้าเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และได้พัฒนาต่อมาจนกลายมาเป็น Tesla Roadster รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกจาก Tesla ถัดมาในปี ค.ศ. 2008 ก็ได้มีตัวรถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์คันแรก ในรูปแบบรถสปอร์ตหรู 2 ที่นั่ง ทำความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขับสนุก มีระบบขับขี่ 5 รูปแบบ แรงบิดสูงสุด 14,000 รอบต่อนาที และสามารถชาร์จเร็วได้ในเวลาเพียง 3.5 ชั่วโมง หรือชาร์จให้ได้ความจุแบตเตอรี่ 80% ภายใน 2 ชั่วโมง ในขณะที่การชาร์จไฟบ้านจะใช้เวลา 10-15 ชั่วโมง และในปี ค.ศ. 2010 ทางบริษัท Tesla ก็ได้มีการเปิดสายงานการผลิต Tesla Roadster อย่างเป็นทางการ และได้มีการเปิดตัวรถยนต์สปอร์ตไฟฟ้าแบบ 5 ที่นั่ง ที่สามารถทำความความเร็วได้ 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในระยะเวลา 3.9 วินาที มีแรงบิดสูงสุด 13,000 รอบต่อนาที และต่อมาบริษัท Tesla ก็ได้มีการเปิดตัวโรงงาน Fremont Factory ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่จะสามารถผลิตรถยนต์ได้มากถึง 9,000 คันต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นโรงงานในปัจจุบันที่สามารถผลิตรถยนต์ได้มากที่สุดในสหรัฐอเมริกา
รุ่นของรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน
1. Tesla Model S
ในปี ค.ศ. 2012 รถยนต์ไฟฟ้าเทสล่า(Tesla) รุ่น Model S เป็นรุ่นที่พัฒนามาจาก Roadster ทั้งในเรื่องของความจุแบตเตอรี่ การเปลี่ยนตำแหน่งของแบตเตอรี่จากท้ายรถยนต์มาอยู่ที่พื้นรถยนต์แทน ทำให้รถเกาะถนนได้ดีขึ้น โดยสามารถวิ่งได้ไกลมากกว่า 652 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟเต็มเพียงหนึ่งครั้ง และสามารถทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลา 3.2 วินาที โดยที่มีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนในเรื่องของดีไซน์ จะมีจอแสดงผลระบบสัมผัสขนาด 17 นิ้ว พวงมาลัยแบบ Yoke มีพื้นที่จัดเก็บสัมภาระ 793 ลิตร และมีระบบเสียง 960 วัตต์ พร้อมลำโพงทั้งหมด 22 ตัว และ Tesla มีขนาดของล้อ 19 นิ้วและ 21 นิ้ว
2. Tesla Model X
Tesla ได้มีการเปิดตัวรุ่นนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 2015 กับรถยนต์ไฟฟ้าสปอร์ต SUV ขนาดใหญ่สุดหรู 7 ที่นั่ง ที่สามารถวิ่งได้ไกลมากกว่า 560 กิโลเมตรต่อการชาร์จเพียงครั้งเดียว และสามารถทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลา 3.9 วินาที โดยที่มีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีจอแสดงผลระบบสัมผัสขนาด 17 นิ้ว พวงมาลัยแบบ Yoke ส่วนล้อของรถยนต์เทสล่า(Tesla) จะมีขนาด 20 นิ้วและ 22 นิ้ว และจะมีรูปแบบของประตูรถเป็นแบบปีกนก
3. Tesla Model 3
ต่อมาในปี ค.ศ. 2017 Tesla ก็ได้มีการเปิดตัวรุ่น Model 3 ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เป็นรถยนต์ไฟฟ้าซีดานขนาดใหญ่ จำนวน 5 ที่นั่ง ราคาถูกกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา และสามารถวิ่งได้ไกล 560 กิโลเมตรต่อการชาร์จเพียงหนึ่งครั้ง จึงทำให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าเทสล่า(Tesla) กลายเป็นรุ่นที่ขายดีมากที่สุด และสามารถทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลา 3.3 วินาที โดยที่มีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 261 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนในเรื่องของดีไซน์นั้นจะมีจอแสดงผลระบบสัมผัสขนาด 15 นิ้ว มาพร้อมกับพื้นที่จัดเก็บสัมภาระขนาด 649 ลิตร และล้อจะมีขนาด 18 นิ้ว มาพร้อมกับหลังคาแบบกระจกรอบด้าน
4. Tesla Model Y
และในปี ค.ศ. 2022 ที่ผ่านมา Tesla ก็ได้มีการเปิดตัวรุ่น Model Y เป็นรถยนต์ไฟฟ้า SUV จำนวน 7 ที่นั่ง ที่มีขนาดเล็กและราคาที่ถูกกว่ารุ่น Mode X มาพร้อมกับจอแสดงผลระบบสัมผัสขนาด 15 นิ้ว และพื้นที่จัดเก็บสัมภาระสูงสุด 2,158 ลิตร ส่วนล้อของรถยนต์เทสล่า(Tesla) จะมีขนาด 19 นิ้วและ 20 นิ้ว มีหลังคาเป็นแบบกระจกรอบด้าน กว้างขวาง เพิ่มพื้นที่เหนือศีรษะและรังสียูวีได้มากขึ้น
Segments ของรถยนต์ไฟฟ้า Tesla
Segments คือ การแบ่งประเภทตามขนาดของตัวรถยนต์ โดยที่รถยนต์ไฟฟ้าเทสล่า(Tesla) จะแบ่งออกได้เป็น D และ E Segments ดังนี้
Segments | รุ่นรถ |
---|---|
D-Segment | Model 3, Model X, Model Y |
E-Segment | Model S |
ประเภทของรถยนต์ไฟฟ้า Tesla
การที่เราจะซื้อรถยนต์สักคัน นอกจากจะดูที่ขนาดของตัวรถยนต์แล้ว เรื่องของการใช้งาน เทคโนโลยี และสมรรถนะของเครื่องยนต์ก็สำคัญมากเช่นกัน ดังนั้นในเรื่องของประเภทรถยนต์ ก็สามารถทำให้เราเข้าใจและเลือกรถยนต์ที่ตรงตามความต้องการของเราได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าเทสล่า(Tesla) สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่
ประเภท | รุ่นรถยนต์ไฟฟ้า Tesla |
---|---|
Compact Executive Car | Model 3 |
Executive Car | Model S |
Mid-Size Luxury | Model X |
Compact Luxury |
การชาร์จของรถยนต์ไฟฟ้า Tesla
การชาร์จพลังงานไฟฟ้าของรถยนต์เทสล่า(Tesla) นั้นก็สามารถชาร์จได้หลากหลายวิธี แล้วแต่ความสะดวกสบายของผู้ขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการชาร์จที่บ้าน ที่ถูกออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้ทั้งในร่มและกลางแจ้ง หรือจุด SuperCharger 45,000+ จุดทั่วโลก และจุดชาร์จ Wall Connector ตามจุดหมายปลายทางอีกกว่า 40,000 จุด ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเลยว่ารถยนต์ไฟฟ้า Tesla จะมีจุดชาร์จพลังงานไฟฟ้าที่น้อยกว่าความต้องการของผู้บริโภค
ความคุ้มครองประกันภัยรถยนต์แต่ละประเภท
คำถามและข้อสงสัยที่พบบ่อย
ออกรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ควรซื้อประกันภัยชั้นไหนดี?
เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้านั้นจะมีกลไกการทำงานที่แตกต่างและซับซ้อนไปจากรถยนต์แบบที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ยิ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ดังนั้นจึงทำให้มีการบำรุงรักษาที่แตกต่างกันออกไป จึงแนะนำให้ทำเป็นประกันภัยชั้น 1 มากที่สุด เพราะเราจะสามารถมั่นใจในความคุ้มครองได้มากที่สุด เพราะประกันภัยชั้น 1 จะคุ้มครองทุกกรณี สามารถดูรายละเอียดความคุ้มครองเพิ่มเติมได้ที่ ประกันภัยชั้น 1
ราคาของประกันรถยนต์ไฟฟ้าจะสูงกว่าราคาของประกันรถยนต์ธรรมดาหรือไม่?
สำหรับในปี 2023 เบี้ยประกันรถยนต์ไฟฟ้าจะค่อนข้างสูงกว่าเบี้ยประกันรถยนต์ธรรมดา เนื่องจากระบบการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้าที่ซับซ้อนมากกว่า และจะต้องใช้อะไหล่เฉพาะเฉพาะทางในการซ่อมแซม แต่อย่างไรแล้ว ในเรื่องของราคาเบี้ยประกันก็จะขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ด้วย ดังนั้นสามารถสอบถามกับทางแรบบิท แคร์ เพื่อเช็กราคาเบี้ยประกันก่อนได้ การันตีว่าราคาคุ้มค่า และได้แผนประกันภัยที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าแน่นอน
ซื้อประกันรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ผ่านแรบบิท แคร์ จะได้สิทธิประโยชน์อะไรบ้าง?
หากเราซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า Tesla มาแล้ว ถึงแม้ว่าราคาเบี้ยประกันของรถยนต์ไฟฟ้าจะสูงกว่าเบี้ยประกันของรถยนต์ธรรมดา แต่ที่แรบบิท แคร์ เรามีส่วนลดให้สูงสุดถึง 70% แถมยังมีแผนประกันภัยให้เลือกหลากหลายเจ้า จึงสามารถเปรียบเทียบได้อย่างเห็นภาพ เพื่อความคุ้มค่ามากที่สุด สามารถคลิกดูสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ แรบบิท แคร์