
รวมที่จอดรถ mrt และอาคารจอดแล้วจร มีตรงไหนบ้าง? เช็กได้เลย!!
แม้ในปัจจุบันจะมีวิทยาการด้านการแพทย์ที่พัฒนาไปอย่างมากแต่การคลอดธรรมชาติก็ยังคงเป็นหนึ่งในตัวเลือกในการคลอดบุตรที่คุณแม่หลาย ๆ ท่านเลือกใช้ แต่แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงการคลอดธรรมชาติแล้วว่าที่คุณแม่มือใหม่หลาย ๆ ท่านก็คงกังวลใจ วันนี้ แรบบิท แคร์ ได้รวบรวมข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับการคลอดธรรมชาติมาไว้ให้ เพื่อคุณแม่ท่านไหนกำลังลังเลใจ หรือมีความสงสัย จะได้อ่านให้หายกังวลใจ และเลือกวิธีการคลอดบุตรที่เหมาะสมกับตนเองได้นั่นเอง
โรงพยาบาลพญาไทให้ข้อมูลเกี่ยวกับการคลอดธรรมชาติไว้ว่า การคลอดธรรมชาติ คือ การที่คุณแม่ได้ทำการคลอดบุตรเองโดยไม่ต้องใช้การผ่าตัดช่วยเหลือ ซึ่งถือเป็นวิธีการที่ปลอดภัยและคุณแม่ส่วนใหญ่ซึ่งมีการตั้งครรภ์ปกติรวมถึงไม่มีภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ไม่มีข้อบ่งชี้ในการผ่าคลอดเลือกเป็นวิธีการยอดนิยมในการคลอดบุตร ซึ่งโดยปกติแล้วก่อนที่จะทำการคลอดธรรมชาตินั้น จะใช้เวลาในการตั้งครรภ์ทั้งหมด 40 สัปดาห์โดยนับอ้างอิงจากประจำเดือนครั้งล่าสุด โดยกระบวนการตั้งแต่การตั้งครรภ์ไปจนถึงการคลอดธรรมชาตินั้นทางการแพทย์จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ไตรมาสด้วยกัน ไตรมาสแรก คือช่วงเวลา 12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ ไตรมาสที่ 2 คือ 12-28 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ และช่วงเวลาหลังจากนั้นจะนับว่าเข้าสู่ช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งจะถือว่าเป็นการครบกำหนดอายุครรภ์และมีความพร้อมในการคลอดธรรมชาติตั้งแต่ประมาณช่วง 37 สัปดาห์เป็นต้นไป คุณแม่ส่วนใหญ่ประมาณ 70-80% ล้วนมีอาการเจ็บท้องคลอดในระยะนี้
การคลอดธรรมชาตินั้นเนื่องจากไม่ใช้การผ่าตัดทำคลอดในการช่วยเหลือ คุณแม่จึงจำเป็นที่จะต้องทำการเบ่งคลอดเองทางช่องคลอดโดยเมื่อถึงกำหนดในการคลอดธรรมชาติแล้ว บริเวณปากมดลูกของคุณแม่จะมีการเปิดกว้างโดยเริ่มจากประมาณ 1 เซนติเมตรและค่อย ๆ ขยายกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเมื่อปากมดลูกเปิดจนหมด ศีรษะของทารกในครรภ์ก็จะมีการเคลื่อนตัวลงต่ำ เมื่อศีรษะทารกเคลื่อนลงต่ำจนถึงระดับที่เห็นศีรษะโผล่ที่บริเวณช่องคลอดก็จะสามารถทำการเบ่งคลอดได้นั่นเอง
สำหรับคุณแม่หรือแม้กระทั่งคุณพ่อที่กำลังกังวลว่าการคลอดธรรมชาตินั้นเสี่ยงอันตรายหรือไม่ ต้องขอบอกเลยว่าวิธีการคลอดธรรมชาตินั้นถือเป็นวิธีการคลอดที่มีความปลอดภัยต่อทั้งตัวคุณแม่เองและบุตรในครรภ์ค่อนข้างมาก รวมถึงยังมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังคลอดบุตรที่น้อยกว่าการผ่าคลอด หลังจากทำคลอดคุณแม่จะสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว เจ็บแผลน้อย เนื่องจากเสียเลือดน้อย อีกทั้งพร้อมที่จะดูแลบุตรได้อย่างรวดเร็วหลังจากคลอด
ผลดีจากการคลอดธรรมชาติที่ส่งผลต่อบุตรในครรภ์ก็คือ ระหว่างการคลอดธรรมชาตินั้นทารกจะได้ผ่านกระบวนการต่าง ๆ ตามธรรมชาติในระหว่างการคลอด ทั้งทางด้านการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทางด้านกายภาพ และได้รับจุลินทรีย์สุขภาพที่จะช่วยในการเสริมภูมิต้านทานตั้งต้นให้ผ่านทางช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้มีภูมิต้านทานที่ดี แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย และเริ่มดูดนมคุณแม่ได้อย่างรวดเร็ว
จะเห็นได้ว่าการคลอดธรรมชาตินั้นมีข้อดีจ่อทั้งตัวคุณแม่และบุตรอยู่มากมาย และเมื่อมีคุณหมอและเครื่องมือทันสมัยคอยรอดูแลอยู่ไม่ห่างกาย ก็ยิ่งทำให้การคลอดธรรมชาตินั้นปลอดภัยขึ้นมากนั่นเอง
แม้ว่าจะมีผลดีต่อคุณแม่และทารกในครรภ์ค่อนข้างมาก แถมยังมีความปลอดภัยสูง แต่แน่นอนว่าคุณแม่หลายคนก็คงยังกังวลเรื่องความเจ็บปวดที่จะได้รับอยู่ ซึ่งต้องยอมรับว่าการคลอดธรรมชาตินั้น เป็นวิธีที่ต้องใช้ทั้งแรงกายและแรงใจของคุณแม่เป็นอย่างมากในการเบ่งคลอด ซึ่งหากเลือกที่จะเบ่งคลอดโดยไม่ใช้ยาระงับอาการปวดแล้วนั้น แน่นอนว่าจะคุณแม่จะต้องฮึดสู้กับความเจ็บปวดแสนสาหัสเลยนั่นเอง
หลังจากที่ได้ทราบกันไปแล้วว่าการคลอดธรรมชาตินั้นส่งผลดีต่อทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์ค่อนข้างมาก เรามาดูกันแบบชัด ๆ ว่าการคลอดธรรมชาตินั้นมีข้อดีอย่างไรบ้างเพื่อทำการประกอบการตัดสินใจเพิ่มเติม
แน่นอนว่าเมื่อมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย ก่อนจะตัดสินใจคุณแม่อาจจะต้องลองประเมินทั้งข้อดีและข้อเสียแล้วชั่งน้ำหนักดูว่าจะเลือกวิธีการคลอดแบบใด
หลังจากที่ได้ทราบถึงข้อดี-ข้อเสียของการคลอดธรรมชาติกันไปแล้ว ไม่ว่าคุณแม่และครอบครัวจะตัดสินใจแบบไหน ก็ต้องไม่ลืมฟังคำแนะนำของแพทย์ในการตัดสินใจ เป็นการดูแลด้านการปลอดภัยของทั้งคุณแม่และเด็กทารกในครรภ์
สำหรับค่าใช้จ่ายในการคลอดธรรมชาตินั้นแน่นอนว่าจะมีค่าใช้จ่ายที่สบายกระเป๋ามากกว่าค่าใช้จ่ายในการผ่าคลอด ซึ่งโรงพยาบาลรัฐบาลและโรงพยาบาลเอกชนก็จะมีอัตราค่าบริการที่แตกต่างกันไป คือ
ซึ่งราคาเหล่านี้นั้นส่วนใหญ่จะครอบคลุมค่าแพทย์ เช่น ค่าสูตินรีแพทย์ กุมารแพทย์ ผู้ช่วยแพทย์ ค่าห้องคลอด ห้องพักฟื้น ทั้งนี้อาจมีรายจ่ายเพิ่มเติมอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับแพ็กเกจที่คุณแม่เลือกกับทางโรงพยาบาล
สำหรับคุณแม่ที่สงสัยว่าการคลอดธรรมชาตินั้นจะต้องทำการบล็อคหลังหรือไม่ คำตอบคือการคลอดธรรมชาติจะทำหรือไม่ก็ได้ แต่โดยส่วนมากแล้วจะไม่ได้ทำการบล็อคหลังเท่าไหร่นัก เพราะการบล็อคหลังจะนิยมใช้ในการผ่าคลอดมากกว่านั่นเอง
สำหรับการคลอดธรรมชาตินั้น โดยปกติแล้วแผลคลอดจะค่อย ๆ เริ่มสมานตัวและดีขึ้นในช่วงระยะเวลา 5-10 วัน และจะหายสนิทได้ในช่วงระยะเวลาหลังคลอดประมาณ 3-4 สัปดาห์ ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่กับว่าระหว่างการคลอดนั้นมีการคลอดยาก ทารกตัวใหญ่จนทำให้แผลฉีกขาดมากหรือไม่ และร่างกายของคุณแม่มีความสามารถในการฟื้นตัวได้ไวแค่ไหนด้วยนั่นเอง
หากมีอาการเหล่านี้บอกเลยว่า อย่ารอช้ารีบสะกิดคุณสามีหรือคนที่อยู่ด้วยในขณะนั้นให้รีบบึ่งรถไปโรงพยาบาลในทันที
ทั้งหมดนี้คือข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับการคลอดธรรมชาติ แรบบิท แคร์ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง และขอแอบเตือนไว้ว่าหลังจากที่คลอดลูกน้อยออกมาแล้ว ต้องไม่ลืมทำประกันเด็ก กับ แรบบิท แคร์ ไว้ จะได้ดูแลลูกน้อยได้อย่างอุ่นใจ ไม่ต้องห่วงค่าใช้จ่ายว่าจะบานปลายนั่นเอง
ทีมกองบรรณาธิการ กลุ่มนักเขียนผู้มีประสบการณ์ด้านรถยนต์ การเงิน และประกันภัย ของ แรบบิท แคร์ ที่เปิดดำเนินการมาแล้วมากกว่า 10 ปี
บทความแคร์ไลฟ์สไตล์
รวมที่จอดรถ mrt และอาคารจอดแล้วจร มีตรงไหนบ้าง? เช็กได้เลย!!
ปักหมุด 8 อุทยานแห่งชาติที่กำลังมาแรงแห่งปี 2568 ใครชอบธรรมชาติติดใจแน่นอน
ข้อมูลสำหรับสายบินลัดฟ้า! พิกัดที่จอดรถสนามบินดอนเมือง ค่าจอดรถสนามบินดอนเมือง 2568