
ดัชนี S&P500 คืออะไร? ทำไมถึงน่าสนใจสำหรับเหล่านักลงทุน
นับตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมาธุรกิจการขายส่งและปลีกในประเทศไทยนั้น ได้กลายเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องแม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีก็ตาม ซึ่งเป็นผลมาจากที่การซื้อขายสินค้าอุปโภคบริโภคนั้นยังถือเป็นความต้องการพื้นฐานในการดำรงชีพของคนทั่วไป
ด้วยเหตุนี้การขายปลีก-ขายส่งจึงคงเป็นคำที่คงคุ้นหูใครหลาย ๆ คน ไม่ว่าจะอยู่ในแวดวงธุรกิจหรือไม่ก็ตาม และแน่นอนว่าในเบื้องต้นนั้นคงพอจะทราบความหมายของคำว่าขายส่ง-ปลีก กันอยู่แล้ว แต่หากคุณเป็นคนที่กำลังเริ่มสนใจและมองหาธุรกิจที่จะลงทุนในระยะเวลาอันใกล้นี้การรู้ความหมายเบื้องต้นแบบผิวเผินอาจยังไม่เพียงพอ วันนี้ แรบบิท แคร์ จึงนำข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับธุรกิจขายส่งและปลีกมาให้ ลองศึกษากันให้ดีเพื่อเป็นความรู้ติดตัวไว้ใช้ประกอบการตัดสินใจ อยากลงทุนทำมาค้าขายควรเลือกแบบไหนให้เหมาะสมกับตนเอง
แน่นอนว่าการขายปลีกและการขายส่งนั้นมีลักษณะการทำธุรกิจและวิธีการขายที่แตกต่างกันอย่างมาก โดยความแตกต่างระหว่างการขายส่งและปลีก จะมีดังนี้
และนี้ก็คือรายละเอียดข้อมูลความแตกต่างระหว่างธุรกิจขายส่งและปลีก หลังจากทราบความแตกต่างกันแล้วก็ลองพิจารณากันต่อดูว่าตนเองเหมาะกับการทำธุรกิจประเภทไหน ซึ่งจะมีการกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป ไปอ่านกันต่อได้เลย
แน่นอนว่าก่อนที่จะตัดสินใจทำธุรกิจใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขายส่งหรือปลีก สิ่งสำคัญที่จะละเลยไปไม่ได้คือการสำรวจตนเองว่าตนเองเหมาะหรือมีความสนใจในการทำธุรกิจในรูปแบบไหน เพื่อให้สามารถสร้างผลกำไรและทำให้การประกอบธุรกิจเป็นไปได้อย่างราบรื่นมั่นคง
ในการทำธุรกิจค้าปลีกนั้นจะเหมาะกับกลุ่มผู้ประกอบการที่มีความสนใจและความคิดสร้างสรรค์ในการบริการลูกค้า และมีความเข้าใจถึงตลาดในท้องถิ่น ดังนี้
1. เหมาะกับผู้ประกอบการที่ชอบการสื่อสารกับลูกค้า : การค้าปลีกนั้นจะ เน้นที่การติดต่อสื่อสารกับลูกค้าโดยตรง เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีและมีความพึงพอใจ ซึ่งต้องการความสามารถในการสื่อสารและการทำธุรกิจที่มีมุมมองที่กว้างขวางต่อความต้องการของลูกค้า
2. เหมาะกับผู้ประกอบการที่มีความเข้าใจถึงตลาดท้องถิ่น : การขายปลีกต้องการความเข้าใจในพฤติกรรมของลูกค้าในท้องถิ่นที่บริการ ซึ่งความเข้าใจนี้สามารถช่วยในการปรับการตลาดและสินค้าให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. เหมาะกับผู้ประกอบการที่มีความสามารถในการจัดการร้านค้า : การทำธุรกิจค้าปลีกต้องการความสามารถในการจัดการร้านค้าให้มีระบบทำงานที่เรียบร้อย และสร้างประสบการณ์การซื้อที่น่าทึ่งสำหรับลูกค้า
4. เหมาะกับผู้ประกอบการที่มีความสามารถในการสร้างบรรยากาศร้าน : การทำธุรกิจขายปลีกมักเกี่ยวข้องกับการสร้างบรรยากาศในร้านที่น่าสนใจและน่าเข้าอยู่เสมอ ซึ่งต้องการความสามารถในการดูแลและการตกแต่งร้านค้าเป็นอย่างมาก
5. เหมาะกับผู้ประกอบการที่มีความยืดหยุ่น : การทำธุรกิจค้าปลีกจำเป็นที่จะต้องมีความยืดหยุ่นในการปรับปรุงสินค้าหรือบริการตามความต้องการของลูกค้า และต้องการผู้ประกอบการที่ยืดหยุ่นและพร้อมที่จะปรับตัวต่อตลาดอยู่เสมอ
ในการทำธุรกิจขายส่ง (Wholesale) เหมาะสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการที่มีลักษณะและคุณสมบัติต่อไปนี้
1. เหมาะกับผู้ประกอบการที่มีความสามารถในการจัดการสินค้าปริมาณมาก : การขายส่งเกี่ยวข้องกับการซื้อขายในปริมาณมาก ซึ่งต้องการผู้ประกอบการที่มีความสามารถในการจัดการและควบคุมการทำธุรกิจที่มีปริมาณสูง
2. เหมาะกับผู้ประกอบการที่มีความเข้าใจในระบบธุรกิจทางการค้า : การทำธุรกิจขายส่งต้องมีความเข้าใจในกระบวนการธุรกิจ การค้าและการจัดการคลังสินค้า ซึ่งต้องการความรู้และทักษะเฉพาะในด้านนี้
3. เหมาะกับผู้ประกอบการที่สามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ขายและลูกค้า : ปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจแบบขายส่งคือการสร้างความเชื่อมั่น และการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างเจ้าของกิจการและลูกค้า เพื่อรักษาฐานลูกค้าที่มักจะมาซื้อสินค้าในปริมาณมากให้กลับมาซื้อซ้ำอีกเรื่อย ๆ
4. เหมาะกับผู้ประกอบการที่มีความยืดหยุ่น : การทำธุรกิจขายส่งมักต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาด ซึ่งต้องการผู้ประกอบการที่มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวต่อสถานการณ์ตลาดได้
5. เหมาะกับผู้ประกอบการที่มีความเข้าใจถึงตลาดร้านค้าปลีก : การขายส่งคือการลงทุนใหญ่ของธุรกิจขายปลีก ดังนั้นผู้ประกอบการที่มีความเข้าใจถึงตลาดร้านค้าปลีก และสามารถปรับผลิตภัณฑ์หรือบริการให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าซึ่งเป็นร้านค้าปลีกได้ปลีกได้ก็จะมีความได้เปรียบในการดำเนินกิจการ
หลังจากทราบกันไปแล้วว่าการประกอบธุรกิจแบบขายส่ง-ปลีก แต่ละแบบนั้นเหมาะกับผู้ประกอบการแบบไหน ก็ลองประเมินตามข้อคุณสมบัติเหล่านี้กันได้ ว่าตนเองเหมาะสมกับการทำธุรกิจแบบใด แล้วเริ่ม Step ถัดไปกันได้เลย
เมื่อพูดถึงธุรกิจค้าส่งและปลีกแล้ว หลายคนคงสามารถมองภาพของธุรกิจค้าปลีกออกได้ง่ายมากกว่าเนื่องจากทุกคนต่างก็ได้ใช้บริการกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ดังนั้นเราจึงจะมาอธิบายเกี่ยวกับกระบวนการขายและการดำเนินงานของธุรกิจค้าส่งเพิ่มเติม
สำหรับขั้นตอนกระบวนการดำเนินงานขายสินค้าของธุรกิจขายส่งนั้นอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าจะเน้นที่การขายส่งครั้งละมาก ๆ จำนวนเริ่มต้นที่เป็นโหล เป็นแพ็ก หรือในปริมาณที่มากกว่านั้นให้กับทางลูกค้าโดยตรงและไม่ผ่านคนกลาง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการขายแบบ B2B (Business to Business) หรือก็คือการขายให้กับบริษัทใหญ่ที่จะนำสินค้าไปกระจายขายแบบปลีกอีกต่อหนึ่ง
แต่ในบางกรณีก็สามารถขายให้กับลูกค้าทั่วไปในแบบ B2C (Business to Customer) ได้ เช่น ขายส่งให้กับลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้าไปทำการกักตุนไว้ เพราะใช้สินค้าตัวนี้เป็นประจำ หรือต้องการซื้อไปฝาก ซึ่งการซื้อไปครั้งละมาก ๆ เช่นนี้ทำให้ลูกค้าได้ราคาที่ดีกว่า ถูกกว่านั่นเอง
สำหรับประเภทธุรกิจขายส่งนั้น สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ด้วยกัน คือ
คือผู้ประกอบการทั่วไปที่ดำเนินธุรกิจขายส่ง โดยอาจเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์หรือได้ผูกสัญญากับผู้ผลิตสินค้า สามารถต่อรองซื้อสินค้าโดยตรงจากโรงงานมาขายต่อให้กับผู้ประกอบการค้าปลีกได้ในราคาส่ง หรือราคาถูก โดยเน้นปริมาณการขายจำนวนมาก
นอกจากที่กล่าวไปข้างต้น ผู้ค้าส่งอิสระสามารถดำเนินธุรกิจทั้งค้าส่งและค้าปลีกได้ในขณะเดียวกัน โดยอาจกำหนดปริมาณขั้นต่ำในการขายส่งไว้ เพื่อให้ผู้ค้าปลีกซื้อสินค้าได้ในราคาถูก ในขณะที่ผู้บริโภคทั่วไปที่ต้องการซื้อสินค้าจำนวนน้อยชิ้น จะต้องซื้อสินค้าในราคาขายปลีกนั่นเอง ซึ่งถือเป็นรูปแบบการขายที่สามารถสร้างกำไรได้จากลูกค้าทั้งสองฝ่าย (ผู้ค้าปลีกและผู้บริโภค)
มีโรงงานผู้ผลิตสินค้าบางรายที่มีกำลังในการผลิตและงบประมาณที่มากเพียงพอ และสร้างสาขาสำหรับการทำกิจการขายส่งของตนเอง เพื่อจัดจำหน่ายสินค้าให้กับลูกค้าโดยตรง
และข้อมูลเหล่านี้ก็คือข้อมูลที่ว่าที่ประกอบการควรรู้เอาไว้เมื่อรู้ข้อมูลและคิดว่าตนเองพร้อมลงทุนแล้วเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะไหนธุรกิจขายส่งหรือปลีก ก็สามารถที่จะยื่นขอสินเชื่อส่วนบุคคล กับ แรบบิท แคร์ ไปใช้ในการลงทุนได้ ของ่าย ผ่านสบาย เตรียมพร้อมเปิดกิจการได้ไม่นานเกินรอ
ทีมกองบรรณาธิการ กลุ่มนักเขียนผู้มีประสบการณ์ด้านรถยนต์ การเงิน และประกันภัย ของ แรบบิท แคร์ ที่เปิดดำเนินการมาแล้วมากกว่า 10 ปี
บทความแคร์การลงทุน
ดัชนี S&P500 คืออะไร? ทำไมถึงน่าสนใจสำหรับเหล่านักลงทุน
รู้จักกับ ดัชนี Dow Jones ทำไมนักลงทุนต้องจับตามอง?
รวมวิธีที่จะเพิ่มโอกาสในการหลุดพ้นจากการ ‘ติดดอย’ ได้มากยิ่งขึ้น!