เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน
Toggle
“ให้เลือดให้ชีวิต” หลายคนคงเคยได้ยินคำ ๆ นี้กันมาบ้าง แน่นอนว่าเนื้อหาใจความสำคัญของมันก็คือ การเชิญชวนให้ไปร่วมบริจาคเลือด เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ที่กำลังขาดเลือด รอการช่วยเหลือ ซึ่งในปัจจุบันการบริจาคเลือดก็ยังคงถือเป็นกิจกรรมทางสังคมรูปแบบอาสาสมัครที่ใครหลาย ๆ คนที่มีจิตกุศลต้องการทำบุญให้ความสนใจเป็นอย่างมาก วันนี้น้องแคร์มีข้อมูลดี ๆ มาฝากทุก ๆ คน ให้ได้เตรียมพร้อมก่อนไปติดต่อขอบริจาค จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย!
ทำความรู้จักประเภทของการบริจาคเลือดกันก่อน!
ก่อนที่จะตัดสินใจไปบริจาคเลือด น้องแคร์อยากจะให้ทุกคนได้รับทราบกันก่อนว่าการบริจาคนั้นมันมีกี่ประเภทกันแน่ และคุณจะสามารถบริจาคเลือดประเภทไหนได้บ้าง เพื่อเป็นข้อมูลให้คุณได้ตัดสินใจเลือกประเภทการบริจาคที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด
โดยประเภทของการบริจาคเลือดที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เปิดรับบริจาคเพื่อให้สามารถจัดหาโลหิตให้ได้วันละ 1,800 – 2,000 ยูนิต และเพียงพอสำหรับการจ่ายให้กับผู้ป่วยตามโรงพยาบาลต่าง ๆ จะมีทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่
บริจาคโลหิตรวม หรือ การบริจาคโลหิตครบส่วน (Whole Blood) คือ การบริจาคเลือดแบบพื้นฐานทั่วไป เป็นวิธีการบริจาคที่ง่ายที่สุดที่ทางศูนย์รับบริจาคเลือดจะทำการรับเลือดจากผู้บริจาคโดยตรง โดยจะเก็บเลือดที่ได้ไว้ในถุงเก็บเลือดที่มีสารป้องกันการแข็งตัวของเลือดชนิด CPD ก่อนจะนำไปแยกส่วนประกอบของเลือด เป็นเซลล์เม็ดเลือดแดง พลาสม่า เกล็ดเลือด เป็นต้น ทุกครั้งที่จะมีการบริจาค เจ้าหน้าที่จะมีการสอบถามประเภทของหมู่โลหิต หรือที่รู้จักกันในนามกรุ๊ปเลือด เพื่อคัดแยกประเภทหมู่เลือดแต่ละประเภท ซึ่งหมู่เลือดที่พบในคนไทย ได้แก่เลือดกรุ๊ปโอ (O) พบได้ 38% ต้องจัดหาโลหิตให้ได้ 800 ยูนิตต่อวันเลือดกรุ๊ปเอ (A) พบได้ 21% ต้องจัดหาโลหิตให้ได้ 500 ยูนิตต่อวันเลือดกรุ๊ปบี (B) พบได้ 34% ต้องจัดหาโลหิตให้ได้ 550 ยูนิตต่อวัน และเลือดกรุ๊ปเอบี (AB) พบได้ 7% ต้องจัดหาโลหิตให้ได้ 150 ยูนิตต่อวัน
บริจาคเกล็ดเลือด (Single Donor Platelets) การบริจาคเกล็ดเลือด โดยใช้เครื่องแยกส่วนประกอบของเลือดเป็นวิธีการเก็บเกล็ดเลือดที่ดีที่สุด ที่จะสามารถคัดเก็บเกล็ดเลือดได้ปริมาณมากถึง 4 – 6 เท่าของวิธีการบริจาคโลหิตรวม (Whole Blood) และเสียปริมาตรเลือดน้อยกว่า การบริจาคเกล็ดเลือดนี้เลือดของผู้บริจาคจะถูกนำไปเข้าเครื่องแยกส่วนประกอบของเลือดเพื่อคัดแยกเก็บเฉพาะเกล็ดเลือดเท่านั้น เลือดส่วนอื่นอย่างเลือดแดงและพลาสม่าจะกลับคืนสู่ร่างกายผู้บริจาค ใช้ระยะเวลาในการคัดเก็บเกล็ดเลือดประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง หลังจากบริจาคเกล็ดเลือดไปแล้ว 1 เดือน จะสามารถบริจาคโลหิตรวม (Whole Blood) ได้ตามปกติ และไม่เกิน 24 ครั้งต่อปี เกล็ดเลือดที่ได้จากผู้บริจาค 1 ถุง สามารถที่จะนำไปใช้ในผู้ป่วย 1 คน เพื่อป้องกันหรือหยุดเลือดได้ แต่ถ้าเป็นการใช้เกล็ดเลือดที่มาจากการรับบริจาคโลหิตรวม (Whole Blood) ก็จะต้องใช้เกล็ดเลือดจากผู้บริจาคมากถึง 4 – 6 คน รวมกันเลยทีเดียว วิธีการนี้จึงเป็นวิธีการบริจาคเกล็ดเลือดที่ดีที่สุดนั่นเอง
บริจาคพลาสม่า (Single Donor Plasma) พลาสม่า หรือ น้ำเหลือง คือส่วนประกอบของเลือดที่มีลักษณะเป็นของเหลวสีเหลืองใส พลาสม่าจะประกอบไปด้วยน้ำและสารโปรตีนต่าง ๆ เช่น อิมมูโนโกลบูลิน แอลบูมิน ที่เป็นส่วนสำคัญในการต่อต้านเชื้อโรค วิธีการบริจาคพลาสม่านี้จะมีทั้งการบริจาคพร้อมกับการบริจาคเกล็ดเลือดเลย และการบริจาคเพียงพลาสม่าอย่างเดียวเท่านั้นแล้วแต่ความประสงค์ของผู้บริจาค ใช้ระยะเวลาในการบริจาค 45 นาที ครั้งละ 500 มิลลิลิตร และผู้บริจาคสามารถทำการบริจาคพลาสม่าได้ทุก ๆ 14 วัน
บริจาคเม็ดเลือดแดง (Single Donor Red Cell) เม็ดเลือดแดงสามารถนำไปใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะการสูญเสียเลือดจากอุบัติเหตุ การผ่าตัด หรือมีภาวะซีดจากความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง เช่น ผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย เป็นต้น ในการบริจาคเม็ดเลือดแดง จะใช้การกรองเลือดเพื่อเก็บเม็ดเลือดแดงจากการเก็บน้ำเลือดทั้งหมดที่ได้จากการรับบริจาค ก่อนนำไปแยกเพื่อเก็บเฉพาะเม็ดแดงไว้ในเครื่องแยกส่วนประกอบภายหลัง โดยผู้บริจาค 1 ราย จะสามารถบริจาคเม็ดเลือดแดงได้ 2 ยูนิต และสามารถบริจาคได้ทุก ๆ 4 เดือน
คุณสมบัติของผู้ที่สามารถบริจาคเลือดประเภทต่าง ๆ ได้ มีอะไรบ้าง?
สำหรับบุคคลที่ต้องการจะบริจาคเลือดทั้ง 4 ประเภท จะต้องมีคุณสมบัติเป็นไปตามที่กำหนดเท่านั้น โดยแยกตามประเภทการบริจาคทั้ง 4 ประเภท ดังนี้
คุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิตรวม (Whole Blood)
สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว
อายุระหว่าง 17 ปีบริบูรณ์ ถึง 65 ปี โดย
หากผู้บริจาคโลหิตอายุไม่ถึง 18 ปี บริบูรณ์ ต้องมีหนังสือยินยอมจากผู้ปกครองตามกฏหมาย
หากผู้บริจาคโลหิตมีอายุระหว่าง 60 ถึง 65 ปี
ต้องผ่านเกณฑ์คุณสมบัติอื่นๆของผู้บริจาคเลือด
ต้องเป็นผู้บริจาคเลือดประจำมาก่อนจนกระทั่งอายุ 60 ปี (อย่างน้อย 4 ครั้งใน 3 ปีล่าสุด)
บริจาคเลือดได้ทุก 6 เดือน
ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดปีละ 1 ครั้ง โดยเริ่มตรวจครั้งแรกตอนบริจาคโลหิตเมื่ออายุครบ 60 ปี และต้องผ่านเกณฑ์การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดด้วย
มีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 48 กิโลกรัมขึ้นไป
ไม่อยู่ในระหว่างการรับประทานยาปฏิชีวนะ ยาป้องกันเลือดแข็งตัว ยาเพิ่มการเจริญเติบโต (Growth Hormone) ยารักษาสิว Isotretinoin ยารักษาต่อมลูกหมาก และยาปลูกผม (Finasteride)
ต้องไม่ได้รับการถอนฟันหรือขูดหินปูน ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนการบริจาค
ต้องไม่มีบาดแผลสดหรือบาดแผลติดเชื้อใด ๆ ตามร่างกาย
ต้องไม่เป็นบุคคลที่มีประวัติป่วยด้วยโรคมาลาเรียในระยะเวลา 3 ปี
สำหรับเพศหญิง ต้องไม่อยู่ในระยะการตั้งครรภ์หรือการให้นมบุตร
สำหรับเพศหญิงที่อยู่ระหว่างการมีประจำเดือน เมื่อประจำเดือนหยุดจึงจะสามารถบริจาคได้
คุณสมบัติผู้บริจาคเกล็ดเลือด
เพศชาย
อายุระหว่าง 18 ปี ถึง 60 ปีบริบูรณ์ (กรณีบริจาคครั้งแรก ต้องมีอายุไม่เกิน 50 ปี)
มีน้ำหนักตัวมากกว่า 55 กิโลกรัมขึ้นไป
ต้องเป็นผู้บริจาคโลหิตของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ อย่างน้อย 1 ครั้ง
ต้องไม่เว้นระยะเวลาในการบริจาคเลือดนานเกิน 6 เดือน
มีเส้นโลหิตที่บริเวณข้อพับแขนทั้ง 2 ข้าง ชัดเจน สามารถมองเห็นได้ง่าย
ต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารประเภททอด ผัด และอาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ ในมื้อก่อนหน้าที่จะมาบริจาคโลหิต
ไม่รับประทานยาแก้ปวดกลุ่มแอสไพริน เป็นเวลา 3 วัน ก่อนการบริจาค
มีปริมาณเกล็ดเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ (มีค่าเกล็ดเลือดมากกว่า 2 แสนตัว ต่อโลหิต 1 ลูกบาศก์มิลลิลิตร)
คุณสมบัติผู้บริจาคพลาสมา (Single Donor Plasma)
อายุระหว่าง 18 ปี ถึง 60 ปีบริบูรณ์ (กรณีบริจาคครั้งแรก ต้องมีอายุไม่เกิน 50 ปี)
ผู้บริจาคเพศชาย ต้องมีน้ำหนักมากกว่า 50 กิโลกรัมขึ้นไป
ผู้บริจาคเพศหญิง ต้องน้ำหนักมากกว่า 60 กิโลกรัมขึ้นไป
เป็นผู้บริจาคโลหิตของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ต่อเนื่องอย่างน้อย 1 ครั้ง
ต้องไม่เว้นระยะเวลาในการบริจาคเลือดนานเกิน 6 เดือน
มีเส้นโลหิตที่บริเวณข้อพับแขนทั้ง 2 ข้าง ชัดเจน สามารถมองเห็นได้ง่าย
ต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารประเภททอด ผัด และอาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ ในมื้อก่อนหน้าที่จะมาบริจาคโลหิต
หากผู้บริจาคมีความประสงค์จะบริจาคพลาสมา เพื่อผลิตเซรุ่มป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี และเซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า จะต้องสมัครเข้าโครงการ อย่างน้อย 3 ปี
คุณสมบัติผู้บริจาคเม็ดเลือดแดง (Single Donor Red Cell)
อายุระหว่าง 18 ปี ถึง 60 ปีบริบูรณ์ (กรณีบริจาคครั้งแรก ต้องมีอายุไม่เกิน 50 ปี)
ผู้บริจาคเพศชาย ต้องมีน้ำหนักมากกว่า 59 กิโลกรัมขึ้นไป และมีส่วนสูงมากกว่า 155 เซนติเมตรขึ้นไป
ผู้บริจาคเพศหญิง ต้องน้ำหนักมากกว่า 68 กิโลกรัมขึ้นไป และมีส่วนสูงมากกว่า 165 เซนติเมตรขึ้นไป
เป็นผู้บริจาคโลหิตของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย อย่างน้อย 1 ครั้ง และต้องไม่เว้นระยะเวลาในการบริจาคนานเกิน 6 เดือน
มีเส้นโลหิตที่บริเวณข้อพับแขนทั้ง 2 ข้าง ชัดเจน สามารถมองเห็นได้ง่าย
ต้องหลีกเลี่ยงการรับประทาอาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารประเภททอด ผัด และอาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ ในมื้อก่อนหน้าที่จะมาบริจาคโลหิต
ต้องมีค่าความเข้มข้นโลหิต หรือค่า Hct มากกว่า 40 %
ต้อง คำนวณค่าดัชนีมวลกาย หรือ BMI ผลลัพธ์ที่ได้ต้องมีค่าน้อยกว่า 25.00
การเตรียมตัวก่อนบริจาคเลือด และการดูแลตัวเองหลังบริจาคเลือด
ข้อปฏิบัติก่อนบริจาคเลือด
เป็นข้อปฏิบัติที่สำคัญมากสำหรับผู้บริจาคเลือด จำเป็นจะต้องนอนหลับพักผ่อนในคืนก่อนวันที่จะมาบริจาคอย่างน้อย 6 ชั่วโมงขึ้นไป เพื่อป้องกันการเกิดอาการอ่อนเพลียมากหลังการบริจาคเสร็จสิ้น
สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์
ผู้บริจาคจำเป็นจะต้องดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ ไม่เจ็บป่วยเป็นไข้หวัด และไม่อยู่ในระหว่างการรับประทานยาปฏิชีวนะใด ๆ อย่างเช่น ยาแก้อักเสบ ก่อนวันที่จะมาบริจาคอย่างน้อย 7 วัน (หยุดยาต่อเนื่องอย่างน้อย 7 วัน ก่อนวันบริจาค)
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
ผู้บริจาคเลือดจะต้องรับประทานอาหารก่อนการบริจาค 4 ชั่วโมง และมื้ออาหารภายใน 6 ชั่วโมง ก่อนการบริจาค ผู้บริจาคจะต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานมื้ออาหารประเภทที่มีไขมันสูง เช่น ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู เพราะจะทำให้พลาสมามีสีขาวขุ่น ไม่สามารถนำไปใช้รักษาผู้ป่วยได้ และไม่อยู่ในระหว่างการรับประทานยาปฏิชีวนะ ยาป้องกันเลือดแข็งตัว ยาเพิ่มการเจริญเติบโต (Growth Hormone) ยารักษาสิว Isotretinoin ยารักษาต่อมลูกหมาก และยาปลูกผม (Finasteride)
การดื่มน้ำก่อนบริจาคโลหิต
ก่อนวันบริจาค 1 – 2 วันให้ผู้บริจาคดื่มน้ำสะอาดปริมาณมากกว่าเดิม เพื่อให้ร่างกายสดชื่น และก่อนการบริจาคเลือด 30 นาที ให้ดื่มน้ำสะอาดปริมาณ 3 – 4 แก้ว ซึ่งเท่ากับปริมาณเลือดที่เสียไปในการบริจาค จะทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และช่วยลดภาวะการเป็นลมจากการบริจาคโลหิตได้
งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่และกัญชา
กรณีผู้บริจาคมีการใช้กัญชาเป็นประจำตั้งแต่ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ขึ้นไป จะต้องมีการงดการใช้กัญชาอย่างน้อย 7 วันก่อนบริจาคเลือด (ในวันที่บริจาคจะต้องไม่มีอาการมึนงง สับสน)
กรณีผู้บริจาคใช้กัญชาเป็นครั้งคราว ให้งดใช้กัญชาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ก่อนการบริจาค
กรณีผู้บริจาคมีการสูบบุหรี่เป็นประจำ หลังจากการบริจาคจะต้องงดสูบบุหรี่อย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกเลือดได้ดียิ่งขึ้น
ก่อนการบริจาคเลือดอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ผู้บริจาคจะต้องงดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่และการใช้กัญชา
ข้อปฏิบัติหลังบริจาคเลือด
หลังจากบริจาคเลือดเสร็จ ให้ผู้บริจาคพักรับประทานอาหารว่างและเครื่องดื่มที่เจ้าหน้าที่จัดไว้บริการ และนั่งพักอย่างน้อย 15 นาที ไม่ควรรีบร้อนกลับ ควรนั่งพักจนแน่ใจว่าเป็นปกติ หากมีอาการเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม หรือรู้สึกผิดปกติ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทราบทันที และให้ดื่มน้ำในปริมาณที่มากกว่าปกติ เป็นเวลา 1 วัน
หลีกเลี่ยงการขึ้น – ลงลิฟท์ หรือบันไดเลื่อน
หลังการบริจาคเลือดควรหลีกเลี่ยงการขึ้น – ลงลิฟท์หรือบันไดเลื่อนทันที เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการมีอาการวิงเวียนศีรษะหรือเป็นลมหลังบริจาคเสร็จใหม่ ๆ บริเวณจุดที่เจาะเลือดหากมีเลือดซึมออกมาจากรอยผ้าปิดแผล ให้ใช้นิ้วกดลงบนผ้าก๊อซให้แน่นและยกแขนสูง ประมาณ 3 – 5 นาที หากเลือดยังไม่หยุดซึมให้รีบกลับมายังสถานที่บริจาคเพื่อพบแพทย์
หลีกเลี่ยงการทำซาวน่า หรือออกกำลังกายที่ต้องเสียเหงื่อมากๆ
ในช่วง 24 ชั่วโมง หลังการบริจาคเลือด ผู้บริจาคไม่ควรออกกำลังกายหนัก หรือใช้งานกำลังแขนที่เจาะบริจาค เช่น การยกของหนัก รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงการทำซาวน่าที่ทำให้เกิดการเสียเหงื่อเป็นจำนวนมาก หลังการบริจาค และควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อย่างเช่น การเดินซื้อของ ในบริเวณที่แออัดอากาศอบอ้าว
ผู้บริจาคโลหิตที่ทำงานปีนป่ายที่สูง ทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล ควรหยุดพัก 1 วัน
เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากอาการวูบ วิงเวียนศีรษะ หรือเป็นลม ที่อาจเกิดขึ้นหลังจากการบริจาคเลือดได้
รับประทานธาตุเหล็กวันละ 1 เม็ด จนหมด
รับประทานธาตุเหล็กเพื่อชดเชยเหล็กที่เสียไปจากการบริจาคโลหิตและป้องกันภาวะการขาดธาตุเหล็ก เพื่อให้สามารถบริจาคได้อย่างสม่ำเสมอ หากกรับประทานธาตุเหล็กพร้อมกับเครื่องดื่มที่มีวิตามินซีสูง อย่างเช่น น้ำส้ม น้ำฝรั่ง หรือน้ำมะเขือเทศ จะยิ่งช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีมากขึ้น สำหรับอาหารผู้บริจาคเลือดสามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารเพิ่มขึ้นหลังจากบริจาคโลหิต
การบริจาคเลือดมีประโยชน์อย่างไร? ทำไมถึงควรไปบริจาคเลือด?
การบริจาคเลือดในแต่ละครั้งจะไม่ได้เป็นอันตรายต่อผู้บริจาค เพราะบุคคลที่จะสามารถบริจาคเลือดได้ ก็จะต้องมีคุณสมบัติตามกำหนดข้างต้น และหนึ่งในคุณสมบัติที่ผู้บริจาคเลือดจำเป็นต้องมีก็คือ การมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ดังนั้นการบริจาคเลือดจึงไม่มีผลอันตรายต่อร่างกายของผู้บริจาค หลังจากมีการบริจาคเสร็จสิ้นแล้ว ไขกระดูกในร่างกายก็จะทำหน้าที่ในการสร้างเม็ดเลือดใหม่ขึ้นมาทดแทนต่อเนื่อง เม็ดเลือดแดงที่ถูกสร้างขึ้นใหม่นั้นก็จะไหลเวียนในร่างกายยาวนานไปอีกประมาณ 120 วัน
โดยผู้บริจาค 1 คน จะสามารถบริจาคโลหิตได้ครั้งละ 350 – 450 ซีซี คิดเป็น10% – 12% ของปริมาณโลหิตทั้งหมดในร่างกายเท่านั้น ในการบริจาคเลือดแต่ละครั้งจึงก่อให้เกิดประโยชน์กับร่างกายของผู้บริจาค ดังนี้
ช่วยกระตุ้นระบบการทำงานของไขกระดูกในร่างกาย ในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดใหม่ขึ้นมาทดแทน
ช่วยทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายดีขึ้น ผิวพรรณร่างกายเปล่งปลั่ง หน้าใสขึ้น
ช่วยลดอัตราความเสี่ยงภาวะหลอดเลือดแดงตีบ เนื่องจากการบริจาคเลือดช่วยลดความดันโลหิต ลดระดับน้ำตาลและไขมัน
ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ เนื่องจากการบริจาคเลือดช่วยลดปริมาณธาตุเหล็กส่วนเกินที่ส่งผลต่อความเสี่ยงโรคมะเร็ง
ช่วยให้ทราบหมู่โลหิตของตนเองในระบบ ABO และ Rh
ได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษจากการบริจาคเลือด อย่างเช่น บริจาคเลือดตั้งแต่ 24 ครั้งเป็นต้นไป ผู้บริจาคสามารถเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลที่กำหนดฟรี เป็นต้น
ที่สำคัญที่สุด คุณจะได้มีส่วนในการให้ความช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์ที่รอรับการช่วยเหลือด้วย
ซึ่งเลือด 1 ถุง ปริมาณ 350 – 450 ซีซี ที่ได้จากการรับบริจาค สามารถนำไปใช้ในการช่วยชีวิตผู้ป่วยที่ต้องการเลือดได้มากถึง 3 คน เลยทีเดียว
ข้อห้ามในการบริจาคเลือด บุคคลใดบ้างที่ไม่สามารถบริจาคเลือดได้ ?
ในการบริจาคเลือด จะมีข้อห้ามที่ถูกกำหนดไว้ เพื่อไม่ให้บุคคลที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้บริจาคเลือด ได้แก่
บุคคลที่มีปริมาณของฮีโมโกลบินไม่เพียงพอ
สตรีที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์
บุคคลที่เพิ่งกลับมาจากการเดินทางไปต่างประเทศ
บุคคลที่มีความดันโลหิตสูงหรือต่ำผิดปกติ
บุคคลที่อยู่ในระหว่างการรับประทานยารักษาอาการ
บุคคลที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น
บุคคลที่เป็นโรคหัวใจ
โรคปอด
โรคมะเร็งทุกชนิด
โรคตับอักเสบชนิดบีและชนิดซี
โรควัณโรค
โรคความดันโลหิตสูง
โรคไขมันในเลือดสูง
โรคลมชัก
โรคไทรอยด์
โรคอัมพฤษ์ โรคอัมพาต
โรคเลือดออกง่ายแต่หยุดยาก
โรคโควิด (งดให้การบริจาคเลือด 1 เดือน)
โรคเบาหวานที่ต้องใช้ยาอินซูลินหรือคุมระดับน้ำตาลไม่ได้
โรคมาลาเรีย (สามารถริจาคเลือดได้หลังจากรักษาหายแล้ว 3 ปีขึ้นไป)
บุคคลที่ติดเชื้อ HIV และซิฟิลิส
บุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ มีคู่นอนหลายคนหรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
บุคคลที่มีน้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุมากกว่า 5 กิโลกรัม ในระยะเวลา 2 เดือน และมีต่อมน้ำเหลืองตามร่างกายโต หรือมีไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ
บุคคลที่เพิ่งมีการใช้เข็มฉีดยา เจาะร่างกาย หรือสักภายในระยะเวลา 1 ปี
บุคคลที่มีน้ำหนักตัวต่ำกว่า 45 กิโลกรัม
ทั้งนี้หากมีโรคประจำตัว หรือไม่แน่ใจว่าสามารถบริจาคเลือดได้หรือไม่ ให้สอบถามเจ้าหน้าที่ภายในหน่วยบริจาคเลือดก่อนทำการบริจาค
การบริจาคเลือดมีข้อเสียหรือไม่?
สำหรับข้อเสียของการบริจาคเลือดนั้น จริง ๆ แล้วอาจจะไม่ได้เรียกว่าเป็นข้อเสียซะทีเดียว จะเป็นผลข้างเคียงหรืออาการไม่พึงประสงค์ข้างเคียงหลังจากการบริจาคเลือดมากกว่า ซึ่งน้องแคร์ต้องบอกว่าเป็นภาวะปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้กับบุคคลที่เพิ่งจะบริจาคเลือดเสร็จสิ้น โดยผลข้างเคียงที่เป็นเรื่องปกติหลังจากการบริจาคเลือด ก็อย่างเช่น
อาการฟกช้ำ (Bruising) : ในบริเวณที่ถูกสอดเข็มเข้าไป
เลือดออกต่อเนื่อง : โดยปกติหลังจากการบริจาคเลือด เลือดจะหยุดไหลไปเอง แต่หากยังมีเลือดไหลซึมออกมาจากบริเวณที่เจาะให้ยกแขนขึ้นเหนือหัวใจประมาณ 3 – 4 นาที หรือหากมีเลือดไหลออกมาไม่หยุดให้รีบไปพบแพทย์
อาการวิงเวียนศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ : ให้นั่งพักหลังจากบริจาคเลือดเสร็จเป็นเวลาอย่างน้อย 15 นาที เพื่อให้อาการดีขึ้น หากยังไม่ดีขึ้นให้นอนราบกับพื้นจนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น
ความเจ็บปวดและความอ่อนแอของร่างกาย : ความเจ็บปวดขณะสอดเข็มและเจ็บปวดบริเวณที่ถูกสอดเข็มหลังการบริจาค สามารถเกิดขึ้นได้เป็นเรื่องปกติ วิธีแก้คือคุณสามารถกินยาแก้ปวดเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดได้ นอกจากนี้หลังจากการบริจาคเลือดคุณจะรู้สึกถึงความอ่อนแอทางร่างกายบ้างเล็กน้อย อย่างเช่น ตรงบริเวณแขนที่ถูกเจาะที่ไม่สามารถโดนกระแทกหรือยกของหนัก ๆ ได้ เป็นต้น
บริจาคเลือดได้ที่ไหนบ้าง
คุณสามารถบริจาคเลือดได้ที่สถานที่ต่าง ๆ ดังนี้:
ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ตั้งอยู่ที่ถนนอังรีดูนังต์ กรุงเทพฯ เวลาทำการ: จันทร์-พุธ, ศุกร์ 8.00-16.30 น., พฤหัสบดี 7.30-19.30 น., เสาร์-อาทิตย์ 8.30-15.30 น.
โรงพยาบาลรัฐและเอกชนต่าง ๆ หลายโรงพยาบาลมีศูนย์บริจาคเลือดของตัวเอง เช่น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลรามาธิบดี ฯลฯ
หน่วยเคลื่อนที่บริจาคโลหิต หน่วยเคลื่อนที่มักจะไปตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า, มหาวิทยาลัย, งานกาชาด และสถานที่ทำงาน เพื่อให้คนสามารถบริจาคเลือดได้สะดวก
คุณสามารถตรวจสอบตารางหน่วยเคลื่อนที่บริจาคโลหิตผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของสภากาชาดไทย หรือติดตามจากข่าวประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ
เรียกว่าครบถ้วนทุกเรื่องเกี่ยวกับการบริจาคเลือดกันเลยทีเดียว สำหรับข้อมูลที่น้องแคร์นำมาฝากเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการประกอบการตัดสินใจให้กับบุคคลที่กำลังสนใจอยากจะร่วมบริจาคเลือดให้กับสภากาชาดไทย หากใครที่สามารถไปร่วมบริจาคเลือดได้น้องแคร์ก็อยากให้ไปร่วมบริจาคกันเยอะ ๆ เพื่อให้มีเลือดเพียงพอกับผู้ป่วยที่กำลังรอความช่วยเหลืออยู่
นอกจากจะได้ทำบุญแล้วการบริจาคเลือดก็ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้สุขภาพของคุณดีขึ้นอีกด้วย และถ้าหากใครสุขภาพยังแข็งแรงดีอยู่ อยากจะซื้อประกันสุขภาพดี ๆ สักเล่มติดตัวเอาไว้ให้อุ่นใจมากขึ้นไปอีก ไม่ต้องบริจาคเลือดหลาย ๆ ครั้งก็สามารถได้รับการรักษาฟรีเพราะมีประกันจ่ายให้ ก็อย่าลืมแวะเข้ามาเลือกซื้อความคุ้มครองสุขภาพได้ที่แรบบิท แคร์ เรามีครบทุกความต้องการไว้บริการคุณแน่นอน!
มีประสบการณ์มากกว่า 3 ปี เป็นนักเขียนด้านประกันสุขภาพ ประกันชีวิต เพื่อสุขภาพที่ Rabbit Care และ Asia Direct
และ 12 ปี ในอุตสาหกรรม OTA อย่าง Laterooms.com , Expedia.com จึงมีความเชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยว
จบการศึกษาปริญญาตรี สาขาการจัดการการเงิน มหาวิทยาลัยขอนแก่น