เช็กเลย! ‘ตรวจสภาพรถ’ ตรวจอะไรบ้าง? ตรวจได้ที่ไหน?

ผู้เขียน : Tawan
Tawan

Tawan มีประสบการณ์สร้างสรรค์ผลงานออนไลน์ 2 ปี เขียนด้านยานยนต์ ประกันยานยนต์ที่ Rabbit Care และ Asia Direct มีใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันชีวิตและนายหน้าประกันวินาศภัย มีความเชี่ยวชาญด้านประกันรถยนต์และประกันชีวิต

close
linkedin icon
แก้ไขโดย : Natthamon
Natthamon

ทำงานเกี่ยวข้องกับวงการประกันรถยนต์และยานยนต์มาตั้งแต่ปี 2019 ในหลากหลายตำแหน่งทั้ง SEO Specialist, Senior Executive, SEO / Web Analytics และ SEO Content Writer ในบริษัทประกันรถยนต์่และรถมือสองชั้นนำ นอกจากนั้น ยังเคยอยู่ในแวดวงสื่อมวลชนนานถึง 3 ปีในตำแหน่งนักข่าวไอทีนิตยสารชื่อดังแวดวง E-Commerce ด้านการศึกษาจบระดับชั้นปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยนเรศวร และปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

close
linkedin icon
 
Published: January 7,2022
  
Last edited: May 29, 2024
What Is The Yearly Motor Maintenance

การตรวจสภาพรถประจำปีเพื่อต่อภาษีรถยนต์มีขึ้นเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานในส่วนต่างๆ ของรถยนต์ เพื่อให้ยังคงมีมาตรฐานความปลอดภัยตามที่กำหนดโดยเฉพาะรถยนต์ที่จดทะเบียนเกิน 7 ปีขึ้นไป แต่หลายคนกลับไม่รู้เลยว่าตรวจสภาพรถตรวจอะไรบ้าง? แรบบิท แคร์ อาสารวบรวมรายละเอียดการตรวจสภาพรถก่อนต่อภาษี และเตรียมทำประกันรถยนต์ชั้น1 มาฝาก

1. ตรวจสภาพรถต้องตรวจอะไรบ้าง?

1.1 ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลรถ

ขั้นตอนแรกของการตรวจสภาพรถประจำปีกับ ตรอ. จะเริ่มต้นจากการเทียบข้อมูลรถตามสภาพจริงกับข้อมูลในสมุดคู่มือจดทะเบียนเพื่อตรวจเช็กความถูกต้องของข้อมูลรถก่อนให้บริการ

หากรถที่เข้าตรวจกับ ตรอ. ป้ายทะเบียนรถหาย/ชำรุด หมายเลขเครื่องยนต์หรือหมายเลขตัวรถมีร่องรอยการแก้ไขขูดขีด หรือมีการเปลี่ยนแปลงสี หรือตัวรถ ต้องนำรถเข้าตรวจสภาพที่สำนักงานขนส่งแทน เนื่องจากไม่สามารถตรวจที่ ตรอ. ได้ มีรายละเอียดการตรวจสอบข้อมูลตัวรถก่อนตรวจสภาพรถดังนี้

  • เลขทะเบียนรถ
  • ประเภทรถ
  • ลักษณะรถ
  • ชนิดรถ
  • แบบรถ
  • รุ่นรถ
  • สีรถ
  • หมายเลขตัวรถ
  • หมายเลขโครงคัสซี
  • ชนิดเครื่องยนต์
  • เลขเครื่องยนต์
  • ชนิดเชื้อเพลิง

1.2 ตรวจภายนอก และอุปกรณ์ความปลอดภัย

เมื่อตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นของตัวรถและเอกสารคู่มือจดทะเบียนรถได้ตรงกันเรียบร้อยแล้ว จะเริ่มขั้นตอนตรวจสอบสภาพรถทั้งภายใน ภายนอก และใต้ท้องรถตามหลักเกณฑ์ที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด โดยในขั้นตอนนี้จะตรวจสภาพการใช้งานโดยรวมของอุปกรณ์ต่างๆ ของรถ ก่อนที่จะแยกตรวจเฉพาะจุดในขั้นตอนต่อไป มีรายละเอียดการตรวจสภาพภายนอกและอุปกรณ์ความปลอดภัยดังนี้

1) การตรวจภายในรถ

  • ระบบบังคับเลี้ยว, พวงมาลัย
  • มาตรวัด, ไฟสัญญาณ
  • สวิทช์ควบคุมไฟสัญญาณ, แตรสัญญาณ
  • อุปกรณ์ปัดและฉีดทำความสะอาดกระจกกันลมหน้า 
  • กระจกเงาสำหรับมองหลัง
  • ที่นั่งผู้ขับ, ที่นั่งผู้โดยสาร
  • เข็มขัดนิรภัย

2) การตรวจภายนอกรถ

  • โคมไฟพุ่งไกล, โคมไฟพุ่งต่ำ
  • โคมไฟเลี้ยว
  • โคมไฟหรี่, ไฟอื่นๆ
  • กันชน
  • กงล้อ และยาง
  • บังโคลน
  • โครงสร้างและตัวถัง
  • สี
  • ประตู
  • กระจกด้านข้าง
  • กระจกเงาสำหรับมองหลัง
  • โคมไฟท้าย
  • โคมไฟหยุด
  • อุปกรณ์สะท้อนแสง
  • โคมไฟถอยหลัง
  • โคมไฟส่องป้ายทะเบียน
  • โคมไฟแสดงความกว้าง, ความสูง, ไฟอื่นๆ
  • กันชนท้าย

3) การตรวจใต้ท้องรถ

  • ระบบบังคับเลี้ยว, กลไกบังคับเลี้ยว
  • ระบบรองรับน้ำหนัก, สปริง, แหนบ, โช๊คอัพ 
  • เพลาล้อ, กงล้อและยาง
  • อุปกรณ์ระบบห้ามล้อ
  • โครงสร้างตัวถัง, โครงคัสซี
  • ระบบส่งกำลัง, คลัทช์, เกียร์, เพลากลาง, เฟืองท้าย
  • ระบบไอเสีย, เครื่องระงับเสียง
  • แท่นเครื่อง, ยางแท่นเครื่อง
  • อุปกรณ์ขจัดมลพิษ (Catalytic Converter)
  • ระบบเชื้อเพลิง, ท่อส่งเชื้อเพลิง, ท่อส่งก๊าซ

Checking Front Wheels And Tires Is Part Of Yearly Motor Maintenance

1.3 ตรวจศูนย์ล้อหน้า

เมื่อผ่านขั้นตอนการตรวจสอบสภาพการใช้งานส่วนต่างๆ โดยรวมของรถแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจสภาพการใช้งานรถเฉพาะจุด โดยเริ่มต้นที่การทดสอบศูนย์ล้อหน้า หรือล้อหน้าทั้งสองข้างเพื่อเช็กประสิทธิภาพของล้อขณะขับขี่

ทดสอบประสิทธิภาพของล้อหน้า 2 วิธี คือ 1) ขณะขับรถวิ่งในแนวตรง ผ่านเครื่องทดสอบด้วยความเร็วประมาณ 3-5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และ 2) ขณะล้อหน้าผ่านเครื่องทดสอบ ทั้งแบบประคองพวงมาลัยหรือปล่อยมือจากพวงมาลัย โดยผลที่ได้จากการทดสอบทั้ง 2 วิธี จะต้องมีค่าเบี่ยงเบนของล้อหน้าไม่เกิน +5 หรือ -5 เมตรต่อกิโลเมตร

1.4 ตรวจเบรก

การตรวจสอบประสิทธิภาพของ ‘ตัวห้ามล้อ’ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘เบรก’ จะทดสอบประสิทธิภาพจากทั้งเบรกมือ เบรกเท้า และผลต่างของเบรกเท้าด้านขวาและด้านซ้าย โดยต้องทดสอบกับเครื่องทดสอบห้ามล้อ (เบรก) ที่มีความเที่ยงตรงตามมาตรฐานและทดสอบตามคู่มือการทดสอบของบริษัทผู้ผลิตเครื่องมือเพื่อให้ได้ผลทดสอบที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด

1.5 ตรวจไฟหน้า

การตรวจสภาพไฟหน้าทั้งสองข้างจะเริ่มจากการตรวจสภาพภายนอกของโคมไฟให้ยังอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ไม่แตกร้าว หรือไม่สกปรกขุ่นมัว มีจำนวนสี ตำแหน่งและรูปแบบการติดตั้งถูกต้องตามกฏหมาย ตัวหลอดไฟสามารถทำงานโดยการเปิดสวิตช์ควบคุมได้ตามปกติ มีความเข้มและการเบี่ยงเบนของลำแสงสูงต่ำตามเกณฑ์ที่กำหนด

1.6 ตรวจคาร์บอนไดออกไซด์ (CO) และไฮโดรคาร์บอน (HC)

การตรวจค่าก๊าซ CO และ HC จะทดสอบผ่านเครื่องวิเคราะห์ก๊าซที่จะต้องสอดหัววัดเข้าไปในท่อไอเสียให้ลึกที่สุดในขณะที่เครื่องยนต์ทำงานอยู่ โดยจะทำการวัดทั้งหมด 2 ครั้ง และนำค่าที่ได้มาหาค่าเฉลี่ย ผลเฉลี่ยทีได้จะต้องมีค่าก๊าซทั้ง 2 ประเภทไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนดสำหรับรถในแต่ละประเภท

1.7 ตรวจควันดำ

การตรวจสอบควันดำจะทดสอบและทำการเก็บค่าควันดำขณะเร่งเครื่องยนต์จนสุดคันเร่ง ผ่าน 2 เครื่องมือ คือ 1) เครื่องมือวัดระบบวัดความทึบแสง (Opacity) และเครื่องมือวัดระบบกระดาษกรอง (Filter) โดยค่าควันดำจากทั้ง 2 เครื่องมือจะต้องไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนดที่ 45% และ 50% ตามลำดับ

1.8 ตรวจระดับเสียงจากท่อไอเสีย

การตรวจระดับเสียงของท่อไอเสีย จะใช้เครื่องวัดระดับเสียงที่ประกอบด้วยไมโครโฟน อุปกรณ์วัดระยะและมุมในการวัดเสียงของท่อไอเสียขณะที่เร่งเครื่องยนต์สุดคันเร่ง มีวิธีการตั้งเครื่องวัดเสียงแตกต่างกันเล็กน้อยตามตำแหน่งและจำนวนท่อไอเสียที่รถมี

Checking Engine Room Is Part Of Yearly Motor Maintenance

2. ตรวจสภาพรถที่ไหนได้บ้าง?

สามารถตรวจสภาพรถได้ที่หน่วยงานของกรมการขนส่งทางบก ไม่ว่าจะเป็นกรมการขนส่งทางบก สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครทั้ง 5 พื้นที่ สำนักงานขนส่งประจำจังหวัด หรือตรวจที่สถานตรวจสภาพรถยนต์เอกชน (ตรอ.) ทั่วประเทศที่ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก ทั้งนี้ การเข้าตรวจสภาพรถในแต่ละที่จะขึ้นอยู่กับประเภทรถ น้ำหนักรถ หรือรายละเอียดของรถ ดังนี้

2.1 ตรวจกับ ตรอ. เท่านั้น

  • รถยนต์ส่วนบุคคลและรถจักรยานยนต์

2.2 ตรวจกับหน่วยงานของกรมการขนส่งทางบกเท่านั้น

  • รถที่ดัดแปลงสภาพจากที่จดทะเบียนไว้
  • รถที่เปลี่ยนสีหรือเปลี่ยนแปลงตัวรถ เช่น เปลี่ยนเครื่องยนต์ เปลี่ยนชนิดน้ำมันเชื้อเพลิง
  • รถที่มีปัญหาเกี่ยวกับเลขตัวรถหรือเลขเครื่องยนต์
  • รถที่เจ้าของได้แจ้งการไม่ใช้ชั่วคราว หรือแจ้งการไม่ใช้รถตลอดไปไว้
  • รถที่มีเลขทะเบียนรุ่นเก่า
  • รถที่ถูกโจรกรรมแล้วได้คืน
  • รถที่ขาดต่อทะเบียนเกิน 1 ปี

2.3 ตรวจได้กับทั้ง ตรอ. และหน่วยงานของกรมการขนส่งทางบก

  • รถทั่วไปทุกประเภท เช่น รถบรรทุก, รถสามล้อ, รถรับจ้าง และอื่นๆ 
  • รถยนต์ที่น้ำหนักรถเกิน 1,600 กิโลกรัม
  • รถของส่วนราชการ

3. ตรวจสภาพรถราคาเท่าไร?

ค่าตรวจสภาพรถที่ขนส่ง หรือตรวจที่ ตรอ. จะมีราคาและค่าใช้จ่ายในการนำรถเข้าตรวจสภาพเท่ากันทั่วประเทศ แบ่งเป็นรถจักรยานยนต์อยู่ที่ คันละ 60 บาท และรถยนต์จะอยู่ที่ัคันละ 200-300 บาท มีรายละเอียดค่าบริการตรวจสภาพรถแตกต่างกันตามประเภทและน้ำหนักรถดังนี้

  • รถจักรยานยนต์ คันละ 60 บาท
  • รถยนต์ที่มีน้ำหนักรถเปล่าไม่เกิน 2,000 กิโลกรัม คันละ 200 บาท
  • รถยนต์ที่มีน้ำหนักรถเปล่าเกิน 2,000 กิโลกรัม คันละ 300 บาท

4. ตรวจสภาพรถต่อภาษีใช้อะไรบ้าง?

เอกสารที่ต้องใช้ตรวจสภาพรถและต่อภาษีรถประจำปีจะใช้เอกสารชุดเดียวกัน โดยหนังสือรับรองการตรวจสภาพรถจะได้รับเมื่อตรวจสภาพรถผ่านตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดเเล้วเท่านั้น และมีอายุ 3 เดือนนับจากวันที่ผ่านการตรวจสภาพรถ มีเอกสารที่ต้องใช้ในการขอตรวจสภาพรถและต่อภาษีประจำปีดังนี้

  • สมุดเล่มทะเบียนรถ หรือสำเนาทะเบียนรถ
  • พ.ร.บ. ที่ยังไม่หมดอายุ
  • หนังสือรับรองการตรวจและทดสอบส่วนควบและอุปกรณ์ (ใบติดตั้งแก๊สติดรถ LPG หรือ NGV)
  • หนังสือรับรองการตรวจสภาพรถ (สำหรับรถยนต์ที่อายุเกิน 7 ปี และรถจักรยานยนต์ที่อายุเกิน 5 ปี)

5. ตรวจสภาพรถไม่ผ่านต้องทำอย่างไร?

หากตรวจสภาพรถไม่ผ่านจะได้รับแจ้งจุดที่ต้องปรับปรุงหรือแก้ไขให้ทราบ พร้อมกับจะได้รับเอกสารแจ้งผลการตรวจสภาพรถส่วนที่ 2 เพื่อเป็นหลักฐานในการตรวจสภาพรถอีกครั้งภายหลังจากที่แก้ไขจุดที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานเรียบร้อยแล้ว มีระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการตรวจสภาพรถใหม่อีกครั้งดังนี้

  • ตรวจใหม่ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ไม่ผ่านการตรวจครั้งแรก ให้ตรวจเฉพาะรายการที่ไม่ผ่าน และจ่ายค่าตรวจสภาพครึ่งหนึ่งจากปกติ
  • ตรวจใหม่เกิน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ไม่ผ่านการตรวจครั้งแรก ให้ตรวจสภาพใหม่ทุกรายการ และจ่ายค่าตรวจสภาพเต็มตามปกติ

ตรวจสภาพรถไม่ผ่าน ประกันรถยนต์แต่ละชั้นยังคุ้มครองหรือไม่

เมื่อรถของคุณตรวจสภาพไม่ผ่าน สิ่งที่ควรคำนึงถึงคือระดับความคุ้มครองของประกันรถยนต์ในแต่ละประเภท โดยทั่วไปแล้ว ความคุ้มครองจากประกันภัยรถยนต์จะยังคงมีอยู่ แต่ก็อาจมีข้อจำกัดหรือเงื่อนไขเพิ่มเติม ขึ้นอยู่กับประเภทของประกันภัยที่คุณเลือกใช้ ดังนี้:

1. ประกันชั้น 1

ประกันชั้น 1 ถือเป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองสูงที่สุด ซึ่งรวมถึงความเสียหายต่อตัวรถยนต์ การชน ความเสียหายจากภัยธรรมชาติ หรือการถูกโจรกรรม แต่ถ้ารถของคุณตรวจสภาพไม่ผ่าน ประกันชั้น 1 จะยังคงให้ความคุ้มครอง แต่หากเกิดอุบัติเหตุ อาจมีการตรวจสอบเพิ่มเติมจากบริษัทประกัน และหากพบว่ารถไม่ได้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยหรือตรงตามมาตรฐาน ก็อาจจะมีการลดการจ่ายค่าสินไหม หรือมีเงื่อนไขในการจ่ายค่าสินไหมเพิ่มขึ้น

2. ประกันชั้น 2 และ 2+

ประกันชั้น 2 คุ้มครองอะไรบ้าง สำหรับประกันรถชั้น2 และ 2+ จะให้ความคุ้มครองรถในกรณีที่รถสูญหายหรือไฟไหม้ รวมถึงความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก อย่างไรก็ตาม ไม่ครอบคลุมถึงความเสียหายต่อตัวรถยนต์ในกรณีที่เกิดจากการชนที่ไม่มีคู่กรณี หากรถของคุณตรวจสภาพไม่ผ่าน ประกันชั้นนี้จะยังคงให้ความคุ้มครองตามปกติ แต่ควรปรึกษากับบริษัทประกัน เพื่อให้ทราบถึงรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมที่อาจมีในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ

3. ประกันชั้น 3 และ 3+

ประกันรถยนต์ชั้น 3 และประกัน 3+ คือ ประกันที่คุ้มครองเฉพาะความเสียหายต่อบุคคลภายนอก แต่จะไม่คุ้มครองตัวรถของผู้เอาประกัน โดยประกันชั้น 3+ จะมีความคุ้มครองเพิ่มเติมในกรณีที่รถชนกับยานพาหนะทางบกที่มีคู่กรณี หากรถของคุณตรวจสภาพไม่ผ่าน ประกันชั้นนี้จะยังคงให้ความคุ้มครองบุคคลภายนอกเช่นเดิม แต่หากเกิดอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับสภาพรถ อาจมีการตรวจสอบเพิ่มเติมจากบริษัทประกัน

สรุปแล้ว หากรถของคุณตรวจสภาพไม่ผ่าน ประกันภัยในแต่ละชั้นยังคงให้ความคุ้มครองอยู่ แต่ควรติดต่อบริษัทประกันเพื่อสอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมที่อาจมีต่อการเคลมประกัน เนื่องจากสภาพของรถอาจส่งผลต่อการเคลมค่าสินไหมในบางกรณี

เปรียบเทียบประกันภัยรถยนต์และเลือกซื้อประกันรถกับ แรบบิท แคร์ ตั้งแต่วันนี้! รับความแคร์เพิ่มเติมฟรีทันที ไม่ว่าจะเป็นบริการช่วยเหลือฉุกเฉินทางถนน 24 ชั่วโมง หรือสิทธิประโยชน์ผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 3-10 เดือน สอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขโปรโมชั่นได้ฟรีตั้งแต่วันนี้ ที่ แรบบิท แคร์

บทความอื่น ๆ เกี่ยวกับการตรวจสภาพรถยนต์


 

บทความแคร์รถยนต์

Rabbit Care Blog Image 99055

แคร์รถยนต์

เปลี่ยนยางรถยนต์ ต้องพิจารณาเปลี่ยนตอนไหน ราคาเท่าไหร่ ใช้เวลาเปลี่ยนนานหรือไม่

พอถึงเวลาที่เราใช้รถไปได้สักระยะ ประมาณ 2-3 ปี คำถามเกี่ยวกับการเปลี่ยนยางรถยนต์ หรือเปลี่ยนล้อรถยนต์จะเริ่มเข้ามากวนใจมากขึ้น ยิ่งถ้ายังเป็นรถยนต์คันแรก
Natthamon
03/02/2025
Rabbit Care Blog Image 99327

แคร์รถยนต์

รถกินน้ำมัน เกิดจากอะไร มีวิธีอะไรบ้างที่จะช่วยประหยัดน้ำมัน

รถกินน้ำมัน สิ่งที่ทำให้เจ้าของรถยนต์ทุกคันต่างก็ต้องกุมขมับเพราะถือเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องเสียทรัพย์ ทั้งค่าน้ำมันที่แพงแสนแพง
Natthamon
23/01/2025
Rabbit Care Blog Image 99317

แคร์รถยนต์

รถยนต์พลังงานเชื้อเพลิง ทำความเข้าใจอีกครั้งในทุกเรื่องที่ควรรู้!

ทุกคนต่างรู้ดีว่าส่วนมากรถยนต์พลังงานเชื้อเพลิง เป็นยานพาหนะที่ถูกใช้งานมากที่สุดบนท้องถนน ถึงแม้จะมีรถยนต์ที่ใช้งานพลังไฟฟ้าเพิ่มเข้ามาก็ตามที
Natthamon
22/01/2025