แคร์ยานยนต์

เช็กเลย! ‘ตรวจสภาพรถ’ ตรวจอะไรบ้าง? ตรวจได้ที่ไหน?

ผู้เขียน : Tawan

A dedicated writer specializing in insurance and financial services, with a particular focus on motor insurance.

close
Published January 07, 2022

การตรวจสภาพรถประจำปีเพื่อต่อภาษีรถยนต์มีขึ้นเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานในส่วนต่างๆ ของรถยนต์ เพื่อให้ยังคงมีมาตรฐานความปลอดภัยตามที่กำหนดโดยเฉพาะรถยนต์ที่จดทะเบียนเกิน 7 ปีขึ้นไป แต่หลายคนกลับไม่รู้เลยว่าตรวจสภาพรถตรวจอะไรบ้าง? แรบบิท แคร์ อาสารวบรวมรายละเอียดการตรวจสภาพรถก่อนต่อภาษี และเตรียมทำประกันรถยนต์ชั้น1 มาฝาก

คัดมาให้แล้ว! ประกันรถสุดคุ้ม จากกว่า 30 บริษัทชั้นนำ

รถของคุณยี่ห้ออะไร

< กลับไป
< กลับไป

ระบุยี่ห้อรถของคุณ

ระบุปีผลิตรถของคุณ

1. ตรวจสภาพรถต้องตรวจอะไรบ้าง?

1.1 ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลรถ

ขั้นตอนแรกของการตรวจสภาพรถประจำปีกับ ตรอ. จะเริ่มต้นจากการเทียบข้อมูลรถตามสภาพจริงกับข้อมูลในสมุดคู่มือจดทะเบียนเพื่อตรวจเช็กความถูกต้องของข้อมูลรถก่อนให้บริการ

หากรถที่เข้าตรวจกับ ตรอ. ป้ายทะเบียนรถหาย/ชำรุด หมายเลขเครื่องยนต์หรือหมายเลขตัวรถมีร่องรอยการแก้ไขขูดขีด หรือมีการเปลี่ยนแปลงสี หรือตัวรถ ต้องนำรถเข้าตรวจสภาพที่สำนักงานขนส่งแทน เนื่องจากไม่สามารถตรวจที่ ตรอ. ได้ มีรายละเอียดการตรวจสอบข้อมูลตัวรถก่อนตรวจสภาพรถดังนี้

1.2 ตรวจภายนอก และอุปกรณ์ความปลอดภัย

เมื่อตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นของตัวรถและเอกสารคู่มือจดทะเบียนรถได้ตรงกันเรียบร้อยแล้ว จะเริ่มขั้นตอนตรวจสอบสภาพรถทั้งภายใน ภายนอก และใต้ท้องรถตามหลักเกณฑ์ที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด โดยในขั้นตอนนี้จะตรวจสภาพการใช้งานโดยรวมของอุปกรณ์ต่างๆ ของรถ ก่อนที่จะแยกตรวจเฉพาะจุดในขั้นตอนต่อไป มีรายละเอียดการตรวจสภาพภายนอกและอุปกรณ์ความปลอดภัยดังนี้

1) การตรวจภายในรถ

2) การตรวจภายนอกรถ

3) การตรวจใต้ท้องรถ

1.3 ตรวจศูนย์ล้อหน้า

เมื่อผ่านขั้นตอนการตรวจสอบสภาพการใช้งานส่วนต่างๆ โดยรวมของรถแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจสภาพการใช้งานรถเฉพาะจุด โดยเริ่มต้นที่การทดสอบศูนย์ล้อหน้า หรือล้อหน้าทั้งสองข้างเพื่อเช็กประสิทธิภาพของล้อขณะขับขี่

ทดสอบประสิทธิภาพของล้อหน้า 2 วิธี คือ 1) ขณะขับรถวิ่งในแนวตรง ผ่านเครื่องทดสอบด้วยความเร็วประมาณ 3-5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และ 2) ขณะล้อหน้าผ่านเครื่องทดสอบ ทั้งแบบประคองพวงมาลัยหรือปล่อยมือจากพวงมาลัย โดยผลที่ได้จากการทดสอบทั้ง 2 วิธี จะต้องมีค่าเบี่ยงเบนของล้อหน้าไม่เกิน +5 หรือ -5 เมตรต่อกิโลเมตร

1.4 ตรวจเบรก

การตรวจสอบประสิทธิภาพของ ‘ตัวห้ามล้อ’ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘เบรก’ จะทดสอบประสิทธิภาพจากทั้งเบรกมือ เบรกเท้า และผลต่างของเบรกเท้าด้านขวาและด้านซ้าย โดยต้องทดสอบกับเครื่องทดสอบห้ามล้อ (เบรก) ที่มีความเที่ยงตรงตามมาตรฐานและทดสอบตามคู่มือการทดสอบของบริษัทผู้ผลิตเครื่องมือเพื่อให้ได้ผลทดสอบที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด

1.5 ตรวจไฟหน้า

การตรวจสภาพไฟหน้าทั้งสองข้างจะเริ่มจากการตรวจสภาพภายนอกของโคมไฟให้ยังอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ไม่แตกร้าว หรือไม่สกปรกขุ่นมัว มีจำนวนสี ตำแหน่งและรูปแบบการติดตั้งถูกต้องตามกฏหมาย ตัวหลอดไฟสามารถทำงานโดยการเปิดสวิตช์ควบคุมได้ตามปกติ มีความเข้มและการเบี่ยงเบนของลำแสงสูงต่ำตามเกณฑ์ที่กำหนด

1.6 ตรวจคาร์บอนไดออกไซด์ (CO) และไฮโดรคาร์บอน (HC)

การตรวจค่าก๊าซ CO และ HC จะทดสอบผ่านเครื่องวิเคราะห์ก๊าซที่จะต้องสอดหัววัดเข้าไปในท่อไอเสียให้ลึกที่สุดในขณะที่เครื่องยนต์ทำงานอยู่ โดยจะทำการวัดทั้งหมด 2 ครั้ง และนำค่าที่ได้มาหาค่าเฉลี่ย ผลเฉลี่ยทีได้จะต้องมีค่าก๊าซทั้ง 2 ประเภทไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนดสำหรับรถในแต่ละประเภท

1.7 ตรวจควันดำ

การตรวจสอบควันดำจะทดสอบและทำการเก็บค่าควันดำขณะเร่งเครื่องยนต์จนสุดคันเร่ง ผ่าน 2 เครื่องมือ คือ 1) เครื่องมือวัดระบบวัดความทึบแสง (Opacity) และเครื่องมือวัดระบบกระดาษกรอง (Filter) โดยค่าควันดำจากทั้ง 2 เครื่องมือจะต้องไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนดที่ 45% และ 50% ตามลำดับ

1.8 ตรวจระดับเสียงจากท่อไอเสีย

การตรวจระดับเสียงของท่อไอเสีย จะใช้เครื่องวัดระดับเสียงที่ประกอบด้วยไมโครโฟน อุปกรณ์วัดระยะและมุมในการวัดเสียงของท่อไอเสียขณะที่เร่งเครื่องยนต์สุดคันเร่ง มีวิธีการตั้งเครื่องวัดเสียงแตกต่างกันเล็กน้อยตามตำแหน่งและจำนวนท่อไอเสียที่รถมี

2. ตรวจสภาพรถที่ไหนได้บ้าง?

สามารถตรวจสภาพรถได้ที่หน่วยงานของกรมการขนส่งทางบก ไม่ว่าจะเป็นกรมการขนส่งทางบก สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครทั้ง 5 พื้นที่ สำนักงานขนส่งประจำจังหวัด หรือตรวจที่สถานตรวจสภาพรถยนต์เอกชน (ตรอ.) ทั่วประเทศที่ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก ทั้งนี้ การเข้าตรวจสภาพรถในแต่ละที่จะขึ้นอยู่กับประเภทรถ น้ำหนักรถ หรือรายละเอียดของรถ ดังนี้

2.1 ตรวจกับ ตรอ. เท่านั้น

2.2 ตรวจกับหน่วยงานของกรมการขนส่งทางบกเท่านั้น

2.3 ตรวจได้กับทั้ง ตรอ. และหน่วยงานของกรมการขนส่งทางบก

3. ตรวจสภาพรถราคาเท่าไร?

ค่าตรวจสภาพรถที่ขนส่ง หรือตรวจที่ ตรอ. จะมีราคาและค่าใช้จ่ายในการนำรถเข้าตรวจสภาพเท่ากันทั่วประเทศ แบ่งเป็นรถจักรยานยนต์อยู่ที่ คันละ 60 บาท และรถยนต์จะอยู่ที่ัคันละ 200-300 บาท มีรายละเอียดค่าบริการตรวจสภาพรถแตกต่างกันตามประเภทและน้ำหนักรถดังนี้

4. ตรวจสภาพรถต่อภาษีใช้อะไรบ้าง?

เอกสารที่ต้องใช้ตรวจสภาพรถและต่อภาษีรถประจำปีจะใช้เอกสารชุดเดียวกัน โดยหนังสือรับรองการตรวจสภาพรถจะได้รับเมื่อตรวจสภาพรถผ่านตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดเเล้วเท่านั้น และมีอายุ 3 เดือนนับจากวันที่ผ่านการตรวจสภาพรถ มีเอกสารที่ต้องใช้ในการขอตรวจสภาพรถและต่อภาษีประจำปีดังนี้

5. ตรวจสภาพรถไม่ผ่านต้องทำอย่างไร?

หากตรวจสภาพรถไม่ผ่านจะได้รับแจ้งจุดที่ต้องปรับปรุงหรือแก้ไขให้ทราบ พร้อมกับจะได้รับเอกสารแจ้งผลการตรวจสภาพรถส่วนที่ 2 เพื่อเป็นหลักฐานในการตรวจสภาพรถอีกครั้งภายหลังจากที่แก้ไขจุดที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานเรียบร้อยแล้ว มีระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการตรวจสภาพรถใหม่อีกครั้งดังนี้

เปรียบเทียบประกันภัยรถยนต์และเลือกซื้อประกันรถกับ แรบบิท แคร์ ตั้งแต่วันนี้! รับความแคร์เพิ่มเติมฟรีทันที ไม่ว่าจะเป็นบริการช่วยเหลือฉุกเฉินทางถนน 24 ชั่วโมง หรือสิทธิประโยชน์ผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 3-10 เดือน สอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขโปรโมชั่นได้ฟรีตั้งแต่วันนี้ ที่ แรบบิท แคร์

บทความอื่นๆ เกี่ยวกับการตรวจสภาพรถยนต์


 

บทความแคร์ยานยนต์

แคร์ยานยนต์

โอเวอร์ฮอลเกียร์ คือ อะไร ทำไมรถยนต์ที่มีการใช้งานมานานถึงต้องทำกันหลายคัน

ในกรณีของผู้ใช้งานรถยนต์รุ่นใหม่อาจยังไม่เคยได้ยินคำว่า โอเวอร์ฮอลเกียร์มาก่อน เนื่องจากคำนี้จะเริ่มได้ยินก็ต่อเมื่อรถยนต์ที่ใช้งานมีอาการผิดปกติ
กองบรรณาธิการ
26/03/2024

แคร์ยานยนต์

หยุดทำสิ่งเหล่านี้! ถ้าไม่ยากให้รถพังเร็วกว่าปกติ

อย่าปล่อยให้ใครมาต่อว่าเราว่าไม่ดูแลจนรถพังได้! และที่แน่ ๆ หลายคนซื้อรถยนต์มาตั้งแพง คงไม่อยากใช้งานจนพังไปเฉย ๆ จริงไหม งั้น แรบบิท แคร์
กองบรรณาธิการ
26/03/2024

แคร์ยานยนต์

Minor Change คือ อะไร และมีความแตกต่างจาก All New ตรงไหน

ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวงการตลาดรถยนต์หรือไม่ก็ตาม คำว่า Minor Change หรือคำว่า All New มักจะวนเวียนเข้ามาให้คุณได้ยินตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งมันอาจทำให้เกิดความสงสัยอย่างมาก
กองบรรณาธิการ
25/03/2024