ประกันรถยนต์กับการต่อทะเบียนรถยนต์เหมือนกันไหม?
สำหรับประกันรถยนต์ภาคสมัครใจนั้น ไม่เหมือนกับการต่อทะเบียนรถยนต์ และเป็นคนละส่วนกับ การต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ เบื้องต้นเราสามารถสรุปความแตกต่างที่เข้าใจกันได้ง่าย ๆ ดังนี้
ต่อทะเบียนรถยนต์ คือ คือการนำรถยนต์มาตรวจสภาพ พร้อมเสียภาษีสำหรับรถยนต์เป็นประจำในทุก ๆ ปี ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้เป็นเจ้าของรถต้องทำตามตามกฎหมาย โดยเงินภาษีที่จ่ายไป ทางหน่วยงานของรัฐบาลจะนำไปใช้เป็นงบประมาณต่าง ๆ บนท้องถนน เช่น สร้างถนน หรือปรับปรุงเส้นทางการเดินทางต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เมื่อหลังจากวิธีต่อทะเบียนรถยนต์เรียบร้อย เจ้าของรถจะได้รับป้ายภาษี หรือป้ายวงกลม (ป้ายสี่เหลี่ยม) ที่แสดงวันที่หมดอายุชัดเจน และการไม่นำรถไปต่อทะเบียน อาจเกิดผลเสียด้านกฎหมายได้
พ.ร.บ รถยนต์ จะเป็นกฎหมายที่บังคับให้รถทุกคันต้องทำประกันรถยนต์ภาคบังคับ เพื่อให้เกิดความคุ้มครองในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น และผู้มีรถจะต้องต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ทุกปี ซึ่งประกันรถภาคบังคับ หรือ พ.ร.บ. รถยนต์ นี้ ก็จะแตกต่างจากประกันรถภาคสมัครใจในเรื่องความคุ้มครอง และอิสระในการเลือกทำนั่นเอง
ถ้าไม่ไปต่อทะเบียนรถยนต์ตามระยะเวลา จะมีโทษอะไรบ้างไหม?
ในกรณีที่ลืมต่อทะเบียนรถยนต์อาจจะโดนปรับ หรือถ้าลืมต่อทะเบียนรถยนต์เป็นระยะเวลานาน ๆ อาจต้องโทษทางกฎหมาย ดังนี้
เสียค่าปรับ 1% ของภาษีรถยนต์ต่อเดือน ยิ่งปล่อยไว้นาน ค่าปรับก็จะยิ่งเพิ่ม นอกจากค่าปรับแล้ว การไม่ต่อภาษีรถยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกมากมายที่คุณอาจคาดไม่ถึง เช่น ค่าตรวจสภาพ, ค่าป้ายใหม่ เป็นต้น นี่ยังไม่รวมไปถึงค่าเดินทางไป ๆ มา ๆ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายมากกว่าการที่เราไปต่อภาษีแน่นอน
ในกรณีที่เราไม่ได้ทำการต่อทะเบียนเกิน 3 ปี ทางขนส่งจะดำเนินการระงับป้ายทะเบียนของเราทันที หากจะใช้รถคันเดิมจะต้องดำเนินการยื่นขอจดทะเบียนรถใหม่พร้อมคืนป้ายทะเบียน รวมถึงดำเนินการชำระภาษีรถยนต์ย้อนหลัง
สรุปแล้ว หากจะให้ประหยัดเงิน และเวลามากที่สุด วิธีต่อทะเบียนรถยนต์ที่ดี คือการต่อเป็นประจำทุกปีอย่างสม่ำเสมอ เป็นเรื่องที่คุณไม่ควรมองข้าม ในกรณีที่กลัวว่าไม่มีเวลา การต่อทะเบียนรถออนไลน์จะเป็นหนทางที่น่าสนใจมาก
มีวิธีต่อทะเบียนรถยนต์มีกี่ช่องทาง สามารถต่อทะเบียนรถออนไลน์ได้ไหม?
เบื้องต้นแล้ว เราสามารถต่อทะเบียนรถยนต์ได้ล่วงหน้า 3 เดือน โดยมีวิธีต่อทะเบียนรถยนต์ได้ จะต้องเตรียมเอกสารสำหรับการต่อทะเบียนรถออนไลน์และแบบต่อทะเบียนเอง ดังนี้
- สมุดคู่มือจดทะเบียนรถตัวจริงหรือสำเนา
- เอกสาร พ.ร.บ.รถยนต์ ที่ยังไม่หมดอายุ
- ใบรับรองการตรวจสภาพรถ (สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน หรือรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ที่จดทะเบียนมาแล้วตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป )
- เงินสำหรับอัตราภาษีรถตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ. 2522
หลังจากที่นำรถไปตรวจสภาพ (รถที่มีอายุเกิน 7 ปี) และมี พ.ร.บ.รถยนต์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้นำเอกสารทั้งหมดไปยื่นเสียภาษีประจำปีได้ที่กรมการขนส่งทางบก หรือจะเป็นช่องทางอื่น ๆ ที่เปิดให้เข้าไปยื่นเสียภาษีได้ ซึ่งในปัจจุบันมีให้เลือกมากมายหลากหลายช่องทาง ดังนี้
- สำนักงานขนส่งทางบก
- ที่ทำการไปรษณีย์
- เคาน์เตอร์เซอร์วิส
- ร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้าที่รับต่อภาษีรถยนต์
- กรณีที่ต้องการต่อทะเบียนรถออนไลน์ สามารถต่อได้ที่ เว็บไซต์ของกรมการขนส่งทางบก eservice.dlt.go.th (เฉพาะรถยนต์ที่มีอายุไม่เกิน 7 ปี)
หากรถอายุเกิน 7 ปี จะไม่สามารถต่อทะเบียนรถออนไลน์ได้ และต้องมีใบรับรองการตรวจสภาพรถจากสถานที่ตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) ที่รับรองโดยกรมขนส่ง ซึ่งจะตรวจความพร้อมของสัญญาณไฟ สภาพการเบรก ตรวจควันดำเสียก่อน
สำหรับการเสียภาษีรถยนต์ประจำปี ทุก ๆ ปีเจ้าของรถจะต้องดำเนินการต่อภาษีรถยนต์ หรือต่อทะเบียนรถ ซึ่งเป็นไปตามระเบียบของกรมการขนส่งทางบก ว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับทะเบียนและภาษีรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. 2562 ซึ่งในหมวด 3 ข้อที่ 17 ระบุไว้ว่า รถทุกคันที่จดทะเบียนแล้ว ต้องเสียภาษีรถประจำปี เว้นแต่รถที่ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีประจำปี
โดยเอกสารของการต่อทะเบียนออนไลน์และภาษีรถ ในกรณีที่ต่อทะเบียนรถออนไลน์สามารถรอรับเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีและใบเสร็จรับเงินทางไปรษณีย์ได้ภายใน 5 วัน ทำการนับจากวันชำระเงิน แต่ในกรณีที่เดินทางไปติดต่อ
นอกจากรถยนต์สภาพเกิน 7 ปี เงื่อนไขอะไรอีกบ้าง ถึงสามารถต่อทะเบียนรถออนไลน์ได้?
อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น มีข้อกำหนดว่ารถยนต์ที่มีอายุการใช้งานเกิน 7 ปี และรถจักรยานยนต์เกิน 5 ปี จะไม่สามารถต่อทะเบียนรถออนไลน์ได้ เพราะตามกฎหมายบังคับให้ต้องเข้ารับการตรวจสภาพรถเพื่อยืนยันว่ารถยังมีสภาพดี สามารถใช้งานได้จริงอยู่ นอกจากนี้ เงื่อนไขของรถที่เราสามารถต่อทะเบียนรถออนไลน์ได้ มีดังนี้
- ต้องเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน, รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน, รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล และรถจักรยานยนต์
- รถไม่เคยค้างชำระภาษีไม่เกิน 1 ปี
- รถยนต์ที่ไม่ใช้เชื้อเพลิงแก๊สทุกชนิด
- รถทุกจังหวัดที่มีสถานะทะเบียนปกติ หรือไม่ถูกระงับทะเบียนเนื่องจากค้างชำระภาษีประจำปี ติดต่อกันครบ 3 ปี
- ต้องเป็นรถที่ไม่ถูกอายัด
- ต้องเป็นรถที่ไม่ได้รับการยกเว้นภาษี หรือไม่ใช่รถของหน่วยงานราชการ
หากต้องตรวจสภาพรถเพื่อต่อทะเบียน จะเสียค่าใช้จ่ายเท่าใด?
ในกรณีที่รถของคุณมีอายุการใช้เงินเกินระยะเวลาที่กำหนดตามข้างต้นได้กล่าวไว้ จะต้องมีการตรวจสภาพรถ โดยสามารถตรวจได้ที่สถานตรวจเอกชน (ตรอ.) ทุกแห่ง ที่ได้การรับรองจากกรมการขนส่งทางบก รวมถึงที่กรมขนส่งทางบกทุกแห่ง ส่วนอัตราค่าเบี้ยประกันภัย พ.ร.บ. สำหรับรถยนต์ ขึ้นอยู่กับประเภทรถ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- รถยนต์ที่มีน้ำหนักรถเปล่าไม่เกิน 2,000 กิโลกรัม คันละ 200 บาท
- รถยนต์ที่มีน้ำหนักรถเปล่าเกิน 2,000 กิโลกรัม คันละ 300 บาท
นอกจากนี้จะมีรถบางประเภทที่ไม่สามารถตรวจสภาพได้ที่ ตรอ. ของเอกชน ต้องนำไปให้นายทะเบียนตรวจสภาพที่หน่วยงานของกรมการขนส่งทางบกเท่านั้น ได้แก่
- รถที่ดัดแปลงสภาพผิดไปจากที่ได้จดทะเบียนไว้
- รถที่เปลี่ยนสีหรือเปลี่ยนแปลงตัวรถหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของรถให้ผิดไปจากรายการที่จดทะเบียนไว้ในสมุดคู่มือทะเบียนรถ เช่น เปลี่ยนเครื่องยนต์, เปลี่ยนลักษณะรถ, เปลี่ยนชนิดน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น
- รถที่มีปัญหาเกี่ยวกับเลขตัวรถหรือเลขเครื่องยนต์ เช่น ไม่ปรากฏตัวเลข, ตัวเลขชำรุด หรือมีร่องรอยการแก้ไข, ขูด, ลบ หรือลบเลือน จนไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ เป็นต้น
- รถที่เจ้าของได้แจ้งการไม่ใช้ชั่วคราว หรือแจ้งการไม่ใช้รถตลอดไปไว้
- รถเก่าที่มีเลขทะเบียนเป็นเลขทะเบียนรุ่นเก่า เช่น กท-00001, กทจ-0001 เป็นต้น ซึ่งรถดังกล่าวต้องเปลี่ยนทะเบียนรถใหม่เมื่อมีการนำมาเสียภาษีประจำปี
- รถที่มีปัญหาเกี่ยวกับการถูกโจรกรรมแล้วได้คืน
- รถที่ได้สิ้นอายุภาษีประจำปี (ขาดต่อทะเบียน) เกิน 1 ปี
ความคุ้มครองประกันภัยรถยนต์แต่ละประเภท