Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ

ตรวจสภาพรถยนต์ ตรวจอะไรบ้าง? แล้วตรวจที่ไหนได้บ้าง?

เชื่อว่าในช่วงวันหยุดยาวแบบนี้ หลายคนคงวางแผนเดินทางเพื่อไปท่องเที่ยวพักผ่อน หรือกลับบ้านไปเยี่ยมคนในครอบครัวกันเป็นส่วนมาก หนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้ก่อนออกเดินทางไกลเลยก็คือ การตรวจสภาพรถยนต์ให้พร้อมก่อนออกเดินทางเสมอ เพื่อความราบรื่นในการเดินทาง และทำให้ถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย ซึ่งเราสามารถตรวจสอบเบื้องต้นด้วยตัวเองได้ง่ายๆ ดังนี้ :

ตรวจสภาพรถยนต์ ก่อนเดินทางไกล ตรวจอะไรบ้าง?

1. ตรวจสอบแบตเตอรี่รถยนต์

เนื่องจากแบตเตอรี่ถือเป็นระบบจ่ายไฟหลักของรถยนต์ หากเกิดปัญหากับแบตเตอรี่ ก็จะทำให้รถไม่สามารถสตาร์ทได้ การตรวจสอบแบตเตอรี่เบื้องต้นสามารถทำได้โดย หากเป็นแบตเตอรี่แบบน้ำ และแบบกึ่งแห้ง ควรตรวจสอบระดับน้ำกลั่นและเติมน้ำ ซึ่งแบตเตอรี่แบบกึ่งแห้งควรเติมน้ำกลั่นปีละ 1-2 ครั้ง หากเป็นแบตเตอรี่แบบแห้ง ให้ตรวจสอบอายุการใช้งานและวันหมดอายุของแบตเตอรี่ นอกจากนี้ยังควรตรวจสอบสภาพของแบตเตอรี่ ความสะอาดและคราบเกลือที่ขั้วแบตเตอรี่ด้วยเช่นกัน

2. ตรวจสอบยางรถยนต์

ถือเป็นหนึ่งสิ่งที่ห้ามละเลยเป็นอันขาดสำหรับการตรวจสภาพรถยนต์ก่อนเดินทางนั่นคือ ยางรถยนต์ เพราะเป็นตัวขับเคลื่อนที่สัมผัสพื้นถนน และเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้มากเป็นอันดับต้นๆ สิ่งที่เราควรเช็คเป็นลำดับแรกคือ ลมยาง ที่จะกำหนดปริมาณลมที่เหมาะสมสำหรับรถแต่ละชนิด โดยสามารถดูได้จากคู่มือรถ นอกจากลมยางจะช่วยเรื่องความปลอดภัยแล้ว ก็ยังช่วยเรื่องประหยัดน้ำมันได้อีกด้วย เพราะยางที่อ่อนจะทำให้เกิดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่า นอกจากนี้ยังควรตรวจสอบสภาพล้อเบื้องต้น ทั้งดอกยาง รอยแตก รวมไปถึงรอยรั่วและรอยฉีกขาดต่างๆ ด้วยการสังเกตและใช้มือลูบไปที่ผิวยางรถยนต์เพื่อสัมผัสดูสิ่งผิดปกติ

3. ตรวจสอบระบบเบรก และน้ำมันเบรก

ระบบเบรกเป็นอีกหนึ่งระบบที่เรียกได้ว่าสำคัญที่สุดสำหรับการตรวจสภาพรถยนต์ เบื้องต้นให้ตรวจสอบระดับน้ำมันเบรกให้อยู่ในระดับที่กำหนด ตรวจสอบผ้าเบรกและเสียงเบรกว่าปกติหรือไม่ การทำงานที่ปกติควรจะต้องไม่มีเสียง และสำหรับระบบเบรกแล้ว ควรตรวจสอบด้วยการทดลองการตอบสนองของเบรกจากการขับจริง เบรกที่ดีจะต้องตอบสนองการเบรกที่เร็วและนิ่ง ทำให้รถหยุดได้ทันทีโดยไม่มีการสั่นระหว่างเหยียบเบรก หากพบว่าระบบเบรกมีปัญหา ควรนำเข้าพบช่างหรือเข้าศูนย์เพื่อตรวจสอบก่อนออกเดินทาง

4. ตรวจสอบหม้อน้ำ ท่อยาง และระบบหล่อเย็น

เพราะระบบเครื่องยนต์ต้องการระบายความร้อน ระบบระบายความร้อนจึงควรตรวจสอบอยู่เสมอเมื่อมีการตรวจสภาพรถยนต์ เพราะหากระบบระบายความร้อนทำงานได้ไม่ดี หม้อน้ำแห้ง ก็จะทำให้เครื่องยนต์เกิดความเสียหายได้ สิ่งสำคัญที่ควรตรวจสอบเลยก็คือ ระดับน้ำหล่อเย็นในหม้อพักน้ำสำรอง และระดับน้ำในหม้อน้ำรถยนต์ หากระดับน้ำต่ำลงไปจากปกติ สามารถเติมโดยใช้น้ำยาหล่อเย็น หรือน้ำเปล่าผสมกันในอัตราส่วน 50:50 ซึ่งควรทำในขณะที่เครื่องยนต์ไม่มีความร้อน นอกจากนี้ ควรตรวจสอบท่อยางและข้อต่อต่างๆ อีกด้วย ว่ารั่วหรือไม่ เนื่องจากจะเป็นสาเหตุให้น้ำในหม้อน้ำรั่วซึมออกมาได้

5. ตรวจสอบระบบไฟส่องสว่างและสัญญาณไฟต่างๆ

เนื่องจากการเดินทางไกล บางครั้งเราอาจจะต้องขับรถกินระยะเวลานานผ่านช่วงเวลากลางคืนหรือในที่ที่มีแสงน้อย ทำให้ระบบไฟส่องสว่างและสัญญาณไฟต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการตรวจสภาพรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าสูงหรือต่ำ ไฟท้าย ไฟเบรก ไฟเลี้ยว ไฟถอยหลัง ไฟตัดหมอก และไฟฉุกเฉิน ควรสว่างและใช้งานได้ตามปกติทุกจุด หากเกิดความผิดปกติควรรีบนำรถให้ช่างแก้ไขทันที

ตรวจเช็คสภาพรถก่อนเดินทางด้วย เทคนิค bewagon คืออะไร?

เทคนิค bewagon คือเทคนิคการตรวจเช็คสภาพรถยนต์พื้นฐานก่อนเดินทาง ที่ช่างส่วนใหญ่รู้จักกันเป็นอย่างดี เป็นหลักการตรวจเช็คสภาพรถตามหมวดอักษรทั้ง 7 หมวด คือ B, E, W, A, G, O และ N ซึ่งหมวดอักษรแต่ละตัวก็จะมีสิ่งที่ต้องตรวจเช็คแตกต่างกันออกไป ได้แก่

  • B ย่อมาจาก Brake หมายถึง การตรวจเช็คระบบเบรกทั้งหมดว่าพร้อมใช้งานหรือไม่ โดยมีสิ่งที่จะต้องตรวจเช็คดังนี้ ผ้าเบรกหน้า ผ้าเบรกหลัง จานเบรก เบรกมือ ท่อน้ำมันเบรก ระดับน้ำมันเบรก หรือ ระดับน้ำมันคลัทช์

  • E ย่อมาจาก Electric หมายถึง การตรวจเช็คระบบไฟฟ้าทั้งหมดว่ามีส่วนไหนชำรุดหรือไม่ โดยมีสิ่งที่จะต้องตรวจเช็คดังนี้ ระบบไฟ ไฟสูง-ต่ำ ไฟเลี้ยว ไฟเบรก ไฟหลัง ไฟฉุกเฉิน แบตเตอรี่ ทั้งส่วนขั้ว สายรัด และแท่นรอง เสียงแตร และ ที่ปัดน้ำฝน

  • W ย่อมาจาก Water หมายถึง การตรวจเช็คระบบน้ำทั้งหมดว่าอยู่ในระดับที่พร้อมใช้งานหรือไม่ โดยมีสิ่งที่จะต้องตรวจเช็คดังนี้ ระดับน้ำในหม้อน้ำระบายความร้อน ระดับน้ำหล่อเย็นในถังพักสำรอง ระดับน้ำกลั่นของแบตเตอรี่ และระดับน้ำในถังฉีดล้างกระจก

  • A ย่อมาจาก Air หมายถึง การตรวจเช็คระบบอากาศ และลม ว่าพร้อมใช้งานหรือไม่ โดยมีสิ่งที่จะต้องตรวจเช็คดังนี้ การทำงานของเครื่องปรับอากาศ ระดับน้ำยาแอร์ ลมยางและความเรียบร้อยของล้อ

  • G ย่อมาจาก Gasoline หมายถึง การตรวจเช็คน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีสิ่งที่จะต้องตรวจเช็คดังนี้ ประเภทของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ ระดับของน้ำมันเชื้อเพลิง ถังน้ำมันเชื้อเพลิง และ ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง

  • O ย่อมาจาก Oil หมายถึง การตรวจเช็คน้ำมันหล่อลื่นในส่วนต่างๆ โดยมีสิ่งที่จะต้องตรวจเช็คดังนี้ ระดับน้ำมันเครื่อง ระดับน้ำมันเบรก ระดับน้ำมันเกียร์ และ ระดับน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์

  • N ย่อมาจาก Noise หมายถึง การตรวจเช็คเสียงความผิดปกติ โดยมีสิ่งที่จะต้องตรวจเช็คดังนี้ เสียงท่อไอเสีย เสียงการทำงานของเครื่องยนต์ เสียงการทำงานของส่วนอื่นๆ และเสียงความผิดปกติที่ไม่เคยได้ยิน

ตรวจสภาพรถยนต์ ราคา

ราคาของการตรวจสภาพรถยนต์จะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับน้ำหนักของรถยนต์แต่ละรุ่น ดังนี้

  • รถจักรยานยนต์ : ราคา 60 บาท
  • รถยนต์ไม่เกิน 1600 กิโลกรัม : ราคา 150 บาท
  • รถยนต์ไม่เกิน 2000 กิโลกรัม : ราคา 200 บาท
  • รถยนต์มากกว่า 2000 กิโลกรัม : ราคา 300 บาท

** ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับสภาพรถ อู่ที่ไปใช้บริการตรวจสถาพรถยนต์ ผู้ให้บริการ น้ำหนักรถ ระยะทาง และอื่น ๆ

ตรวจสภาพรถยนต์ ใช้เอกสารอะไรบ้าง

  • ใบคู่มือจดทะเบียนรถ
  • สำเนาใบคู่มือจดทะเบียนรถ (สมุดทะเบียนรถ)
  • รถที่ต้องการตรวจ
  • เอกสารรับรองการติดตั้งก๊าซรถยนต์ ในกรณีที่รถยนต์ติดก๊าซ.

ข้อจำกัดในการตรวจสภาพรถยนต์

รถที่ต้องนำไปตรวจสภาพหรือเช็คสภาพรถที่หน่วยงานของกรมการขนส่งทางบกเท่านั้น ไม่สามารถตรวจสถาพรถได้ที่สถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) ได้ มีดังต่อไปนี้

  • รถที่ดัดแปลงหรือเปลี่ยนแปลงสภาพให้ผิดจากที่ได้จดทะเบียนไว้เช่น เปลี่ยนสี เปลี่ยนส่วนใดส่วนหนึ่งของรถ เปลี่ยนเครื่องยนต์ เปลี่ยนลักษณะรถ เปลี่ยนชนิดน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น
  • รถที่มีปัญหาเกี่ยวกับเลขตัวรถหรือเลขเครื่องยนต์ เช่น ไม่ปรากฏตัวเลข หรือมีร่องรอยการแก้ไข ขูด ลบ ลบเลือนหรือตัวเลขชำรุดจนไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้
  • รถที่แจ้งการไม่ใช้งาน เช่น แจ้งการไม่ใช้ชั่วคราว หรือแจ้งการไม่ใช้รถตลอดไปไว้
  • รถที่มีเลขทะเบียนรุ่นเก่า เช่น กท-00001, กทจ-0001
  • รถที่ขาดต่อทะเบียนเกิน 1 ปี
  • รถที่ถูกโจรกรรมแล้วได้คืน

7 ประโยชน์ของการตรวจเช็คระยะรถยนต์

ส่วนประโยชน์ของการตรวจเช็คระยะรถยนต์ บอกเลยว่า มีมหาศาล แต่ แรบบิท แคร์ จะขอยกตัวอย่าง 5 ข้อให้พอเห็นภาพกันง่ายๆ ดังนี้

1. รู้ระยะเวลาที่ต้องตรวจเช็คและซ่อมบำรุงส่วนต่างๆ ของรถยนต์

ปกติรถยนต์จะไม่มีระบบแจ้งเตือนหรอกว่า ถึงเวลาตรวจสิ่งนี้นะ ถึงเวลาต้องเปลี่ยนสิ่งนั้นนะ แต่จะรู้อีกทีก็ตอนมีสัญญาณเตือนหรือปัญหาเข้ามา การตรวจเช็คระยะรถยนต์เลยทำให้รู้ระยะเวลาล่วงหน้าถึงสิ่งที่ต้องตรวจเช็คและซ่อมบำรุงในส่วนต่างๆ ของรถยนต์ เช่น ครบ 5,000 กิโลเมตร หรือระยะเวลา 1-6 เดือนต้องเตรียมเปลี่ยนยาง ระบบจานเบรก และน้ำมันเครื่องแบบสังเคราะห์ เป็นต้น

2. ยืดอายุการใช้งานของรถยนต์

การตรวจเช็คระยะรถยนต์และหมั่นซ่อมบำรุงเป็นประจำจะช่วยยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ได้นานกว่าคนที่ไม่ได้เช็คและดูแลรถยนต์เท่าไหร่ เพราะได้ดูแลส่วนต่างๆ ให้อยู่ในสภาพเหมาะสมกับการใช้งานอยู่เสมอ

3. ประหยัดค่าใช้จ่าย

การซ่อมบำรุงและเปลี่ยนอุปกรณ์เมื่อถึงเวลาตามการเช็คระยะรถยนต์ย่อมประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าไปซ่อมหรือเปลี่ยนตอนพัง แถมยังจ่ายสบายกว่า เพราะสามารถวางแผนล่วงหน้าได้

4. ตรวจสภาพรถก่อนเสียภาษีประจำปีได้ง่าย

ปกติกฎหมายกำหนดให้รถยนต์ต้องเสียภาษีประจำปี และก่อนจะเสียภาษีได้ก็ต้องมีการตรวจสภาพรถยนต์ก่อน หากอยากให้การตรวจสภาพก่อนเสียภาษีประจำปีผ่านได้ง่าย การตรวจเช็คระยะรถยนต์เป็นประจำนี่แหละคือ คำตอบ

5. ปลอดภัยต่อผู้ใช้งานรถยนต์

นอกจากนี้ การเช็คระยะรถยนต์ยังช่วยให้ปลอดภัยต่อบุคคลผู้ใช้งานรถยนต์คนนั้นตลอดการเดินทาง เพราะการดูแลรถให้ปลอดภัยก็เหมือนกับได้ดูแลตัวเองให้ปลอดภัยด้วย

เทคนิคเลือก ศูนย์บริการรถยนต์ให้ถูกใจ

  1. เลือกศูนย์ที่มีมาตรฐาน มีเครื่องมือที่ใช้ในการตรวจเช็ค และซ่อมแซมรถยนต์อย่างครบครัน
  2. เลือกศูนย์ที่มีราคาสมเหตุสมผล เป็นราคามาตรฐาน ไม่แพงหรือถูกจนเกินไป
  3. เลือกศูนย์ที่มีการรับรองมาตรฐานจากองค์กรที่น่าเชื่อถือ
  4. เลือกศูนย์ที่มีช่างผู้เชี่ยวชาญ การซ่อมรถไม่ใช่ใครก็ทำได้ ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้เฉพาะทางให้และสามารถให้คำแนะนำได้อย่างมืออาชีพ
  5. เลือกศูนย์ที่ให้บริการอย่างรวดเร็ว พร้อมให้บริการ มีชิ้นส่วน อะไหล่ที่หลากหลาย

ตรวจสภาพรถยนต์ ที่ไหนดี

1. B-Quik

หากคุณต้องการตรวจสภาพรถ น้องแคร์ขอแนะนำบี-ควิก เพราะมีโปรโมชั่นตรวจฟรี 30 รายการ ดังนี้ ยาง ไดชาร์ต โช้คอัพ น้ำมันเครื่อง น้ำมันหล่อเย็น กรองอากาศ น้ำยาแอร์ หัวเทียน ท่อน้ำบน/ล่าง ใบปัดน้ำฝน สายพานพาวเวอร์/ลูกรอก ลูกปืนล้อ กระบอกเบรก จานเบรก น้ำมันเฟืองท้าย ท่อน้ำยาแอร์ ลูกหมากปีกนก น้ำยาฉีดกระจก น้ำกลั่น ผ้าเบรก คาลิปเปอร์เบรก แบตเตอรี่ น้ำมันเกียร์/พาวเวอร์ คอมเพรสเซอร์แอร์ สายพรานไดชาร์ต/แอร์ น้ำมันคอมเพรสเซอร์ ไฟหน้า/เลี้ยว/เบรก เพลาขับ/ยางหุ้มเพลา น้ำมันเบรก/คลัตซ์ และ ลูกหมากบังคับเลี้ยว โดยคุณสามารถเข้าไปใช้บริการได้ทุกสาขาทั่วประเทศ และไม่จำเป็นต้องสมัครสมาชิกหรือเคยใช้บริการใด ๆ มาก่อน เปิดให้ใช้บริการตั้งแต่ 8 โมง ถึงสามทุ่ม

2. COCKPIT

นอกจาก B-Quik หากคุณต้องการเช็คระยะรถยนต์ อย่าลังเลที่จะมาที่ COCKPIT เพราะที่นี่มีทีมงานคุณภาพที่มีประสบการณ์ด้านการเช็คสภาพรถคอยให้บริการ มีอะไหล่รถยนต์รองรับหลายยี่ห้อหากจำเป็นต้องเปลี่ยน เช่น ยาง น้ำมันเครื่อง ผ้าเบรค แบตเตอรี่ โช๊ค และอื่น ๆ มีศูนย์บริการทั่วประเทศไทยมากกว่า 30 สาขา มากไปกว่านั้น ยังมีห้องพักคอยให้แก่ผู้ขับขี่หรือผู้มาใช้บริการอีกด้วย เรียกได้ว่า ครบ จบในที่เดียว บริการหลัก ๆ ของ COCKPIT เช่น เปลี่ยนยาง เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ตรวจสอบผ้าเบรค

3. Bosch Car Service

Bosch car service มีศูนย์ให้บริการลูกค้า 16,000 สาขาทั่วประเทศ จึงไม่แปลกว่าทำไมชื่อนี้จึงเป็นที่โด่งดังในหมู่ผู้ใช้รถ ภายในศูนย์มีอุปกรณ์การตรวจเช็ครถที่ทันสมัย มีที่พักระหว่างคอย มาพร้อมเจ้าหน้าที่ดูแลที่เป็นมืออาชีพ ทำให้การเช็คระยะรถทำได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย มีอะไหล่รถยนต์รองรับหลายยี่ห้อหากจำเป็นต้องเปลี่ยน เช่น ยางล้อ ผ้าเบรค และอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีการบริการอื่น ๆ ให้คุณได้เลือกสรร เช่น บริการล้างแอร์รถยนต์ หรือ บริการซ่อมระบบเกียร์

เช็คอาการรถยนต์ เบื้องต้นต้องเช็คอะไรบ้าง?

ก่อนอื่นต้องมารู้กันก่อนว่าการเช็คอาการรถยนต์นั้น จำเป็นจะต้องเช็คอะไรกันบ้าง? เพื่อให้ทราบว่าถึงเวลาที่เราต้องดูแลรถของเราที่ขับอยู่ทุกวันแล้วหรือยัง รถเสียแล้วหรือยัง จะต้องพาเข้าศูนย์ซ่อมหรืออู่ซ่อมแล้วหรือยัง โดยการเช็คอาการรถยนต์เบื้องต้น ที่จะต้องเช็ค มีดังนี้

1. เช็คระบบน้ำมันจุดต่าง ๆ

อย่างเช่น น้ำมันเครื่อง, น้ำมันเบรก, น้ำมันเกียร์, น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์, น้ำมันคลัตช์

2. แบตเตอรี่

แบตเตอรี่รถยนต์ก็จะมีอยู่ 2 แบบหลัก ๆ คือ แบบน้ำและแบบแห้งหรือกึ่งแห้ง หากแบตเตอรี่ที่คุณใช้เป็นแบตแห้งหรือกึ่งแห้ง คุณต้องเช็คอาการแบตเตอรี่รถยนต์ของคุณว่าเริ่มสตาร์ทติดยากแล้วหรือยัง หากสตาร์ทติดยากแล้วละก็ เป็นสัญญาณของรถเสียที่บ่งบอกว่าคุณจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่แล้วล่ะ แต่หากแบตเตอรี่ที่คุณใช้เป็นแบตน้ำ ก็จะต้องมีการเช็คระดับน้ำที่อยู่ในแบตด้วย เพราะเมื่อใช้ไปสักระยะน้ำในแบตจะระเหยออกไป ต้องคอยเติมน้ำให้อยู่ในระดับที่พอดี ไม่ล้นจนเกินไป เพราะตอนเดือด กรดจะล้นออกมากัดขั้วหรือตัวถังรถ ทำให้เครื่องยนต์ในรถเสียหายได้

3. ท่อยาง

เช็คว่าท่อทางเดินต่าง ๆ ในห้องเครื่องมีตรงส่วนไหนผิดปกติหรือไม่ ท่อเชื่อมต่อต่าง ๆ ยังอยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งานหรือไม่ ต้องไม่มีการรั่ว ซึม แฉะ ฯลฯ รวมถึงสภาพท่อต้องไม่กรอบ แข็ง หรือนิ่มเกินไป

4. น้ำยาหล่อเย็นในหม้อน้ำ

เช็คสี เช็คสภาพว่ายังอยู่ในสภาพดีเหมือนตอนแรกอยู่หรือไม่ ระดับน้ำลดหายไปมากเพียงใด หากระดับน้ำลดไปเยอะ ต้องเติมน้ำยาหล่อเย็นเข้าไป เพื่อให้น้ำยาหล่อเย็นทำหน้าที่ในการป้องกันหม้อน้ำ หากมีสีของสนิม ควรเปลี่ยนถ่ายทันที

5. ยางรถยนต์

เช็คสภาพยางทั้ง 4 ล้อ รวมถึงยางอะไหล่ ว่ายังพร้อมใช้งานอยู่หรือไม่ ตรวจเช็คลมยางแต่ละล้อว่ามียางเส้นไหนผิดปกติหรือไม่ หากยางรถยนต์ไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งาน ต้องรีบเปลี่ยนทันที เพราะยางมีความสำคัญในการใช้รถบนถนนเป็นอย่างมาก มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายหากสภาพยางไม่ได้สภาพสมบูรณ์ มากไปกว่านั้นอย่างลืมตั้งศูนย์ถ่วงล้อโดยสามารถทำได้ที่ศูนย์หรืออู่ซ่อมรถได้เลย

6. สัญญาณไฟ

สัญญาณไฟเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับการใช้งานรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณไฟหน้า ไฟสูง-ต่ำ ไฟเบรก ไฟถอย ไฟฉุกเฉิน และอื่น ๆ โดยเฉพาะสัญญาณไฟเลี้ยว หากไม่ติดขณะขับขี่ก็จะทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนมาก ๆ และเป็นอีกหนึ่งสัญญาณรถเสียที่สำคัญมาก ดังนั้นระบบสัญญาณไฟทั้งหมดของรถยนต์จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเช็คว่ามีสัญญาณใดดับ ๆ ติด ๆ หรือไม่ติดเลยหรือไม่ หากพบปัญหาก็ควรแก้ไขโดยเร็ว

ตั้งศูนย์ถ่วงล้อ คืออะไร

การตั้งศูนย์ถ่วงล้อ เป็นการปรับระบบกันการสั่นสะเทือนของรถยนต์ที่ติดอยู่กับล้อ แต่หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นการปรับตำแหน่งยางล้อ แต่ที่จริงแล้วการตั้งศูนย์ล้อไม่ได้เป็นการปรับล้อหรือยาง เพียงแต่ปรับมุมของล้อที่มีผลต่อการสัมผัสบนท้องถนน เพื่อให้รถวิ่งได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

1. ตั้งศูนย์ถ่วงล้อ ราคา

โดยปกติแล้วราคาตั้งศูนย์ล้อสำหรับ 2 ล้อ เฉลี่ยทั้งร้านเล็ก-กลาง-ใหญ่ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 200 - 300 บาท และ 4 ล้อ ราคาประมาณ 400 - 500 บาท

2. ตั้งศูนย์ถ่วงล้อใช้เวลาเท่าไร

การตั้งศูนย์ถ่วงล้อจะใช้เวลาประมาณ 10-20 นาที ขึ้นอยู่กับขนาดของล้อรถยนต์ของคุณ โดยการตั้งศูนย์ล้อต้องทำเมื่อล้อรถผ่านการใช้งานเป็นระยะยเวลา 10,000-12,000 กม.เพราะการสึกหรอของดอกยางมีผลต่อการขับขี่ได้

3. ตั้งศูนย์ถ่วงล้อ เพื่ออะไร

การตั้งศูนย์ล้อจะช่วยป้องกันการสึกของดอกยางได้ และยังทำให้ยืดอายุการใช้งานของยางได้อีกด้วย

วิธีรับมือกับรถเสีย

อาการรถเสียที่มักเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ ที่สามารถสังเกตได้จากความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของเราได้ง่ายที่สุด ก็คือ อาการสตาร์ทไม่ติด เมื่อไหร่ก็ตามที่รถยนต์ของคุณเริ่มมีอาการสตาร์ทไม่ค่อยจะติด หรือถ้าสตาร์ทติดก็ค่อนข้างใช้เวลานานกว่าปกติในการสตาร์ท ให้คุณสันนิษฐานได้เลยว่าอาการแบบนี้รถเสียแน่ ๆ และน่าจะเกิดมาจากไดสตาร์ท แบตเตอรี่ หรือระบบจ่ายน้ำมัน อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมด ที่ไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อีกต่อไป หากอาการหนักถึงขนาดไม่สามารถสตาร์ทติดอีกต่อไปได้ แบบนี้ก็รถเสียแน่นอน ควรเอารถเข้าอู่ซ่อมหรือศูนย์ซ่อมให้ช่างจัดการแก้ปัญหาให้เรียบร้อย

5 เรื่องต้องเตรียมตัวก่อนเอารถเข้าอู่

ก่อนที่จะเอารถเข้าอู่ไปใช้บริการตามที่คุณต้องการ ก่อนอื่นขอแนะนำให้มาเตรียมตัว 5 เรื่องเหล่านี้ก่อนเอารถเข้าอู่กัน

1. สังเกตอาการรถยนต์ด้วยตัวเองเบื้องต้น ก่อนจะเอารถเข้าอู่และฟังการอธิบายของช่างใหญ่ประจำอู่ อย่างน้อยคุณควรสังเกตอาการความผิดปกติของรถยนต์คุณด้วยตัวเองเบื้องต้น เพื่อให้สื่อสารกันได้เข้าใจ และป้องกันการถูกยัดอาการ เพิ่มค่าใช้จ่ายจากการซ่อมแซมในส่วนที่ไม่จำเป็นหรือไม่ได้เป็นปัญหาแบบแท้จริง

2. ตรวจเช็คและถ่ายรูปสภาพโดยรอบ แม้จะเป็นช่างที่มีความเชี่ยวชาญ แต่ทุกคนมีโอกาสผิดพลาดได้ และระหว่างเอารถเข้าอู่ก็อาจเกิดร่องรอยเพิ่มขึ้นจากความผิดพลาดได้เช่นกัน เพราะงั้นอย่าลืมตรวจเช็คและถ่ายรูปสภาพโดยรอบของรถเราเอาไว้ด้วย

3. เคลียร์สิ่งของลงจากรถ คนส่วนใหญ่ชอบขนสัมภาระและของใช้ใส่ในรถยนต์คู่ใจ เพราะไปไหนไปกันมีของเหล่านี้ไว้ก็อุ่นใจกว่า แต่เมื่อตัดสินใจจะเอารถเข้าอู่แล้ว หากไม่ได้มีเวลาพอจะมานั่งดูช่างซ่อมรถของคุณตลอดเวลาก็อย่าลืมเคลียร์สิ่งของเหล่านั้นลงจากรถ เพื่อป้องกันสิ่งมีค่าสูญหายขณะที่รถอยู่ในอู่

4. พูดคุยเรื่องค่าใช้จ่ายให้ชัดเจน ก่อนเอารถเข้าอู่และหลังจากให้ช่างเช็คอาการรถยนต์ที่อู่เรียบร้อยแล้ว อย่าลืมพูดคุยเรื่องค่าใช้จ่ายให้ชัดเจนและนำราคาไปเปรียบเทียบกับแต่ละร้าน เพื่อความคุ้มค่าและได้เช็คมาตรฐานของอู่ซ่อมรถในตัว หากเป็นไปได้ควรเก็บหลักฐานด้วย

5. เติมน้ำมันไว้แค่พอใช้ขับรถไปกลับ พวกของเหลวที่สามารถดูดออกไปได้ไม่จำเป็นต้องเติมไว้เยอะ โดยเฉพาะน้ำมันเติมไว้แค่พอใช้งานขับขี่รถไปกลับระหว่างบ้านและอู่ซ่อมรถ เพื่อความชัวร์อาจเผื่อเหลือเผื่อขาดเล็กน้อยก็พอ

เอารถเข้าอู่ ใช้เวลานานไหม?

หลังจากการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาก็คือการนำเอารถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุเสียหายเข้าศูนย์หรืออู่ซ่อมรถ เพื่อดำเนินการซ่อมแซมสภาพรถยนต์ให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติหรืออยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เช่นเดิม ซึ่งในส่วนของการนำรถเข้าอู่ซ่อมรถให้ทำเรื่องเสนอราคากับทางบริษัทประกัน เพื่อเคลมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นกับบริษัทประกันตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ที่คุณถืออยู่ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการเคลมประกันจากการเกิดอุบัติเหตุก็จะมีอยู่ด้วยกันอยู่ 2 แบบ ก็คือ

1. การเคลมสด เป็นการเคลมประกันรถทันทีในที่เกิดเหตุ มีฝ่ายผิด ฝ่ายถูก และหลักฐานต่าง ๆ ขณะเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่จากบริษัทประกันก็จะเป็นผู้รวบรวมหลักฐาน จากการถ่ายภาพ จากนั้นก็จะมีการออกเอกสารการเคลมประกันไม่ว่าอุบัติเหตุดังกล่าวจะมีคู่กรณีหรือไม่ก็ตาม

2. การเคลมแห้ง การเคลมแห้งหรือที่เรียกกันว่าการเคลมรอบคัน ก็คือการเคลมประกันรถที่ผู้เอาประกันไปดำเนินการเคลมด้วยตัวเอง มักจะเกิดขึ้นในกรณีที่เป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณีและไม่ได้เป็นอุบัติเหตุที่รุนแรงมาก การเคลมแห้งนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องจดบันทึกหลักฐาน วัน เวลา สถานที่เกิดเหตุให้ชัดเจน เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่แจ้งเคลมประกันต่อไป

เอารถเข้าอู่ หลังซ่อมเสร็จ ต้องตรวจอะไรบ้าง?

1. ตรวจความสมบูรณ์ของส่วนที่ซ่อม เรื่องแรกที่ต้องตรวจสอบหลังเอารถเข้าอู่ซ่อมรถคือ เช็คความสมบูรณ์ของส่วนที่ซ่อมตามใบรายการซ่อม ดูว่า งานเรียบร้อยมั้ย อุปกรณ์หรืออะไหล่สมบูรณ์และมีคุณภาพรึเปล่า หากมีปัญหาอะไรควรรีบแจ้งกับช่างประจำอู่ก่อนขับรถออกจะได้รีบแก้ไขไม่ต้องเสียเงินเสียเวลาแวะมาบ่อย

2. ดูสภาพโดยรอบเทียบกับภาพก่อนเอารถเข้าอู่ หลังจากนั้นให้ตรวจเช็คสภาพโดยรอบเทียบกับภาพก่อนเอารถเข้าอู่ซ่อมรถ ยางเหมือนเดิมมั้ย รอบรถมีรอยเพิ่มรึเปล่า มีชิ้นส่วนไหนขาดหรือเกินตรงจุดไหนบ้าง และถ้ามีโอกาสลองเปิดห้องเครื่องยนต์กันดูซักนิดว่า มีส่วนไหนถูกเปลี่ยนเอาของแท้ออกมั้ย ชื่อแบรนด์หรือหน้าตาบางส่วนดูไม่คุ้นรึเปล่า

3. เช็คความถูกต้องของใบเสร็จ ใบเสร็จหลังเอารถเข้าอู่จะเป็นเหมือนใบรับประกัน หากมีปัญหาในจุดเดิมก็สามารถเข้าไปคุยกับช่างได้ว่า เกิดจากสาเหตุอะไร เพราะซ่อมเสร็จแล้วปัญหาก็ควรจะจบ และใบเสร็จเหล่านี้จำเป็นกับการใช้ในการยื่นเคลมกับบริษัทประกันเลยควรเช็คความถูกต้องด้วย

4. ทดลองใช้งานจริง สุดท้ายแล้วตรวจสอบด้วยการทดลองใช้งานขับขี่จริง อย่างน้อยก็ระหว่างกลับจากอู่

ประกันซ่อมอู่ ซ่อมห้างคืออะไร?

ประกันซ่อมอู่คืออะไร?

ประกันซ่อมอู่ ซ่อมห้าง คือ ตัวเลือกสถานที่เข้ารับบริการซ่อมบำรุงหรือเคลมประกันเมื่อรถยนต์เสียหายโดยประกันรถยนต์ซ่อมอู่ คือ การนำรถเข้าซ่อมกับอู่รถยนต์ทั่วไป สามารถเลือกเคลมซ่อมอู่ได้กับประกันรถยนต์ทุกชั้น เลือกใช้บริการได้ทั้งอู่ซ่อมรถยนต์ในเครือบริษัทประกันที่ได้รับรองมาตรฐาน มีบริษัทประกันเป็นผู้ควบคุมดูแล และจัดการการซ่อมเคลมให้เป็นไปตามกำหนด หรืออู่ซ่อมรถยนต์ที่ไม่อยู่ในเครือบริษัทประกัน เช่น อู่ซ่อมรถยนต์ทั่วไป หรืออู่ซ่อมรถใกล้บ้านที่รู้จักกันเป็นส่วนตัว

หากผู้ทำประกันที่เลือกทำประกันรถยนต์แบบสมัครใจ และเลือกประเภทการซ่อมแบบซ่อมอู่ สามารถนำรถยนต์เข้าเคลมซ่อมได้ที่อู่ในเครือบริษัทประกันได้ทันที และเมื่อซ่อมเสร็จแล้วไม่ต้องเสียเงิน หรือสำรองจ่ายค่าบริการล่วงหน้าไปก่อน

ในขณะที่หากทำประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ ประเภทการซ่อมแบบซ่อมอู่ แต่เลือกนำรถเข้ารับบริการกับอู่ซ่อมรถใกล้บ้านที่ไม่ได้อยู่ในเครือบริษัทประกัน จะต้องสำรองจ่ายค่าซ่อมไปก่อน และนำมาเบิกคืนภายหลังกับบริษัทประกัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีความรู้เรื่องรถยนต์ในระดับหนึ่ง

ข้อดีของประกันซ่อมอู่ คือ ค่าเบี้ยประกันรถที่ต้องจ่ายถูกกว่าค่าเบี้ยประกันซ่อมห้าง สามารถต่อรองราคาค่าบริการได้สะดวกกว่า ในกรณีเลือกใช้บริการกับอู่ซ่อมรถนอกเครือบริษัทประกัน มีอู่ซ่อมรถให้เลือกใช้บริการได้มากมายตามสะดวก ทั้งอู่ซ่อมรถมาตรฐาน หรืออู่ซ่อมรถที่ไว้ใจใกล้บ้าน รวมถึงระยะเวลาในการซ่อมไม่นานเท่าซ่อมห้าง

ข้อเสียของประกันซ่อมอู่ คือ อะไหล่ที่นำมาใช้ซ่อมอาจเป็นอะไหล่เทียบเท่า หรืออะไหล่เก่า ไม่ใช่อะไหล่แท้เหมือนกับการนำรถเข้ารับบริการแบบซ่อมศูนย์ (ซ่อมห้าง) รวมถึงอาจเจอปัญหาบริการหลังการซ่อมที่ไม่มีรับประกันปัญหาหลังการซ่อม หรือปัญหาค่าแรงที่ไม่เป็นมาตรฐาน ปัญหาโกงค่าแรง หรือแม้กระทั่งการซ่อมที่ไม่เรียบร้ออยเท่ากับการเข้ารับบริการการซ่อมจากศูนย์บริการ

ประกันซ่อมห้างคืออะไร?

ประกันรถยนต์ซ่อมห้าง คือ การนำรถเข้ารับบริการการซ่อมบำรุง หรือเคลมประกันความเสียหายที่ศูนย์บริการรถยนต์อย่างเป็นทางการของรถรุ่น หรือยี่ห้อนั้นๆ (Dealer) โดยไม่จำเป็นต้องนำรถเข้ารับบริการ ณ สาขาของศูนย์บริการที่ซื้อรถก็ได้ โดยสาเหตุที่เรียก “ซ่อมศูนย์” เป็น “ซ่อมห้าง” เนื่องจากศูนย์บริการรถยนต์ทั่วไปมักจะจดทะเบียนธุรกิจประเภทนิติบุคคล ประเภท “ห้างหุ้นส่วนจำกัด” จึงทำให้ประกันซ่อมศูนย์ มักถูกเรียกในชื่อประกันซ่อมห้างด้วยเช่นกัน

ข้อดีของประกันซ่อมห้างหรือซ่อมศูนย์ คือ จะได้รับบริการซ่อมด้วยอะไหล่แท้ตามมาตรฐานของศูนย์บริการ รถยนต์แต่ละยี่ห้อ มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมให้คำแนะนำ และแยกกันทำงานซ่อมบำรุงอย่างชัดเจนรวมถึงมีการรับประกันหลังการซ่อมตามระยะประกัน ทำให้มั่นใจได้ว่าได้รับบริการการซ่อมที่เป็นมาตรฐาน

ข้อเสียของประกันซ่อมห้างหรือซ่อมศูนย์ คือ ราคาเบี้ยประกันรถยนต์แบบซ่อมห้างจะสูงกว่าเบี้ยประกันรถยนต์แบบซ่อมอู่ เนื่องจากเป็นการให้บริการซ่อมบำรุงหรือเคลมประกันรถยนต์เสียหายกับศูนย์บริการรถยนต์โดยตรง ทำให้มีค่าแรงและค่าซ่อมที่สูงกว่า รวมถึงอาจต้องรอคิวในการซ่อมนาน และอาจมีค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนอะไหล่รถยนต์โดยไม่จำเป็น

ประกันชั้น 1 ซ่อมห้างได้ไหม? ต้องซ่อมอู่ ซ่อมห้าง?

ประกันชั้น 1 ภาคสมัครใจ สามารถทำประกันได้ทั้งแบบซ่อมศูนย์ (ซ่อมห้าง) ซึ่งโดยปกติแล้วบริษัทประกันทั่วไปจะรับทำประกันรถยนต์แบบซ่อมศูนย์หรือซ่อมห้างให้กับรถอายุสูงสุดที่ 5 ปีเท่านั้น หากต้องการต่อประกันรถยนต์แบบซ่อมห้างสำหรับรถยนต์ในปีที่ 6 จะต้องยื่นคำขอให้บริษัทประกันพิจารณาอนุโลมอีกครั้ง โดยจะพิจารณาจากความต่อเนื่องในการทำประกันกับบริษัทประกันภัยเดิม ประวัติการขับขี่ ประวัติการเคลม หรือรุ่นรถ

หากได้รับพิจารณาอนุมัติการต่อประกันรถยนต์ชั้น 1 แบบซ่อมห้างต่อเนื่องในปีที่ 6 จะได้รับพิจารณาเบี้ยประกันใหม่ที่สูงขึ้นจากเดิม ในขณะที่หากไม่ได้รับพิจารณาต่ออายุ อาจใช้บริการจากบริษัทประกันรายอื่นๆ ที่อนุโลมรับประกันแบบซ่อมอู่หรือซ่อมศูนย์ให้ หรือเลือกทำประกันแบบมีค่าเสียหายส่วนแรกแทนได้

ประกันซ่อมอู่ ซ่อมห้างเข้าศูนย์ได้ไหม?

กรณีทำประกันรถยนต์ชั้น 1 ซ่อมอู่ แต่ต้องการนำรถเข้ารับการเคลมซ่อม ณ ศูนย์บริการ เนื่องจากไม่มั่นใจหรือไม่เชื่อมั่นการบริการของอู่ที่บริษัทประกันจัดเตรียมไว้ให้ สามารถนำรถเข้ารับบริการ ณ ศูนย์บริการที่สะดวกได้ โดยต้องรับผิดชอบค่าส่วนต่างเอง และควรต้องแจ้งบริษัทประกันให้รับทราบก่อน เพื่อประเมินราคา (คุมราคา) ก่อนเริ่มการซ่อม

สามารถเข้ารับบริการเคลมซ่อมศูนย์ได้โดยศูนย์บริการที่จะเข้าซ่อม ซึ่งอาจให้บริการซ่อมเองหรือส่งต่อให้ศูนย์ในเครือของตนเอง และเจ้าของรถต้องเป็นผู้จ่ายส่วนต่างค่าบริการเอง ตั้งแต่ 30-40% ตัวอย่างเช่น ค่าบริการซ่อมอู่นอกเครือข่ายอยู่ที่ 20,000 บาท ค่าบริการซ่อมห้างอยู่ที่ 26,000-28,000 บาท

ทั้งนี้ บริการเคลมซ่อมศูนย์โดยศูนย์บริการ แบ่งเป็น 2 กรณี คือ 1) เข้ารับบริการจากศูนย์ฯ และรับบริการซ่อมแต่เพียงอย่างเดียว โดยเจ้าของรถต้องติดต่อเคลมประกันเอง หรือ 2) เข้ารับบริการจากศูนย์ฯ โดยศูนย์ฯ เป็นผู้ประสานงานกับบริษัทประกัน และเจ้าของรถจ่ายเฉพาะค่าส่วนต่าง

ประกันชั้น 1 ซ่อมไม่ได้ทุกศูนย์จริงหรือไม่?

แม้ว่าเลือกใช้ประกันซ่อมศูนย์ แต่ในบางครั้งอาจเจอปัญหาไม่สามารถนำรถยนต์เสียหายเข้าซ่อมจากศูนย์บริการอย่างเป็นทางการของรถยนต์ได้ แม้ว่าจะเป็นศูนย์บริการอย่างเป็นทางการขนาดใหญ่ มีความน่าเชื่อถือ ปัญหาดังกล่าวอาจเกิดจากการที่ศูนย์ซ่อมดังกล่าวยังไม่เคยได้รับการติดต่อประสานงานหรือได้รับข้อเสนอ/ข้อตกลงให้ความร่วมมือกับบริษัทประกันมาก่อน หรืออยู่ในระหว่างตกลงค่าแรง ค่าบริการ หรือรายละเอียดอื่นๆ ที่ยังไม่ลงตัว

ทำให้ผู้ทำประกันที่ใช้รถยี่ห้อนั้นๆ ไม่สามารถนำรถเข้ารับบริการซ่อมบำรุงได้ทันที หากต้องการนำรถยนต์เสียหายเข้ารับบริการกับศูนย์บริการซ่อมที่ไม่ได้อยู่ในเครือของบริษัทประกัน สามารถทำได้โดยต้องติดต่อประสานงานกับศูนย์บริการนอกเครือข่ายประกันก่อนเข้าใช้บริการ เพื่อตกลงรายละเอียดในการซ่อม ค่าซ่อมและค่าบริการเบื้องต้นก่อน จากนั้นรอการอนุมัติการซ่อมจากบริษัทประกัน โดยต้องสำรองจ่ายค่าใช้จ่ายไปก่อน และนำใบเสร็จเบิกกับบริษัทประกันภายหลัง

หากไม่ต้องการสำรองจ่ายค่าบริการก่อน หรือไม่ต้องการรอการเบิกจ่ายเงินคืนจากบริษัทประกันที่อาจล่าช้า อาจเลือกเข้ารับบริการซ่อมจากศูนย์บริการถยนต์ในเครือบริษัทประกันแทนได้ ดังนั้นจึงควรต้องตรวจสอบรายละเอียดการเข้ารับบริการซ่อมกับอู่ซ่อมรถ หรือศูนย์บริการถยนต์ใกล้บ้านจากบริษัทประกันก่อนเข้ารับบริการทุกครั้ง

อย่างไรก็ตาม บริษัทประกันภัยจะประสานงานกับศูนย์บริการหรือศูนย์ซ่อมทุกยี่ห้อรถยนต์อยู่แล้ว แต่อาจตกหล่น ไม่ครอบคลุมทั่วประเทศไทย หรืออยู่ในระหว่างเจรจาตกลง หรืออาจติดขัดล่าช้าด้วยเงื่อนไขต่างๆ

เอารถเข้าอู่เคลมประกันได้หรือไม่?

ต้องบอกว่าหลังจากที่เราในฐานะเจ้าของรถยนต์ที่ได้รับความเสียหายจากการเกิดอุบัติเหตุ ได้เอกสารใบเคลมที่บริษัทประกันออกให้เรียบร้อยแล้ว ก็เป็นเสมือนใบเบิกทางในการเคลมแล้วล่ะ ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่การเอารถเข้าอู่ ก็สามารถเคลมประกันได้อยู่แล้ว หากเป็นไปตามเงื่อนไขข้อตกลง เพียงแต่หลังจากที่ได้ใบแจ้งเคลมมาแล้วนั้น เราจะไม่สามารถเอารถของเราเข้าเคลมที่อู่ซ่อมหรือศูนย์ซ่อมได้ทันทีทันใด เพราะจะต้องมีการนัดคิวล่วงหน้ากับอู่หรือศูนย์กันเสียก่อน รวมทั้งยังต้องเช็คกับอู่หรือศูนย์ซ่อมด้วยว่าสามารถเข้าเคลมประกันที่นี่ได้หรือไม่ ถ้าทางอู่มีการแจ้งรับเคลมและมีการนัดคิวกันเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถนำรถยนต์ของคุณเข้าอู่ซ่อม เพื่อดูรายการความเสียหายเพื่อประเมินราคาเสนอกับบริษัทประกันเรื่องค่าใช้จ่ายในการซ่อมต่อไป

นอกเหนือจากการตรวจสภาพรถยนต์แล้ว อย่าลืมเอกสารประจำรถและชุดเครื่องมือประจำรถอย่างเช่น แม่แรง ประแจ สายพ่วงแบตเตอรี่ หรือยางอะไหล่ เพราะในยามฉุกเฉิน สิ่งเหล่านี้เองก็จำเป็นสำหรับการช่วยแก้ปัญหารถเบื้องต้นได้ แต่ที่จำเป็นและขาดไม่ได้ยิ่งไปกว่านั้น คือความคุ้มครองจากประกันภัยรถยนต์ โดยเฉพาะ ประกันรถยนต์ชั้น 1 จาก แรบบิท แคร์ ที่การันตีความคุ้มค่าพร้อมความดูแลที่มากกว่า ให้คุณอุ่นใจตลอดการเดินทางด้วยบริการความช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้คุณไปถึงจุดหมายอย่างปลอดภัยสำหรับการเดินทางไกลนี้

ความคุ้มครองประกันรถยนต์

ความคุ้มครองรถผู้ทำประกัน
ประเภทประกันภัย
ชั้น 1
ชั้น 2+
ชั้น 2
ชั้น 3+
ชั้น 3
ชนแบบมีคู่กรณีชนแบบมีคู่กรณี
x
x
ชนแบบไม่มีคู่กรณีชนแบบไม่มีคู่กรณี
x
x
x
x
ไฟไหม้ไฟไหม้
x
x
รถหายรถหาย
x
x
ภัยธรรมชาติภัยธรรมชาติ
x
x
ช่วยเหลือ 24 ชม. ช่วยเหลือ 24 ชม.
x
x
x
ซื้อประกันรถยนต์   
คลิก
คลิก
คลิก
คลิก
คลิก
ความคุ้มครองอื่นๆ ครอบคลุมทุกชั้นประกัน
คุ้มครองคู่กรณี และทรัพย์สินคู่กรณี
อุบัติเหตุ ค่ารักษาพยาบาลบุคคลที่สาม
คุ้มครองชิวิตบุคคลที่สาม
คุ้มครองชีวิตผู้ขับขี่
ค่ารักษาพยาบาลตัวผู้ขับขี่
การประกันตัวผู้ขับขี่

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา