โรคปลอกประสาทอักเสบคืออะไร และมีวิธีการแก้ไขอย่างไร?
โรคปลอกประสาทอักเสบ เกิดจากอะไร?
จากข้อมูลของ อ.พญ.จิราพร จิตประไพกุลศาล และ รศ.พญ.นาราพร ประยูรวิวัฒน์ ในบทความสุขภาพเรื่อง “โรคปลอกประสาทอักเสบ” จากเว็บไซต์ของโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ได้กล่าวถึงโรคปลอกประสาทอักเสบ (Demyelinating Disease) ว่าจะเกิดขึ้นในบริเวณระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งจะเป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของปลอกประสาทที่หุ้มเส้นประสาทในส่วนของสมอง เส้นประสาทตา และไขสันหลัง โดยที่ปลอกประสาทนั้นจะมีหน้าที่ในการนำกระแสประสาท หากมีการอักเสบของปลอกประสาทขึ้นมาก็จะทำให้อวัยวะนั้น ๆ เกิดอาการผิดปกติไป เช่น มองเห็นไม่ชัด เส้นประสาทตาอักเสบ มีอาการตาพร่ามัว หรือไขสันหลังอักเสบจนทำให้มีอาการแขนขาอ่อนแรงทั้งสองข้าง เป็นต้น
โรคปลอกประสาทอักเสบ สาเหตุมาจากอะไร?
โรคปลอกประสาทอักเสบของระบบประสาทส่วนกลางนั้นจะพบได้บ่อยจาก 2 โรคนี้ ได้แก่ โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis : MS) หรือโรคเอ็มเอส และโรคนิวโรมัยอิลัยติสออฟติกา (Neuromyelitis Optica : NMO) หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่าโรคเอ็นเอ็มโอ โดยที่ทั้ง 2 โรคนี้นั้นจะมีลักษณะอาการที่คล้ายกัน แต่จะแตกต่างกันในบางส่วนทั้งในเรื่องของสาเหตุ กลไกการเกิดโรค รวมไปถึงวิธีการรักษา ซึ่งในปัจจุบันนี้ทั้ง 2 โรคนั้นสามารถรักษาให้หายได้ โดยการวินิจฉัยแยกโรคที่ถูกต้อง เนื่องจากอาการของโรคนั้นไม่จำเพาะต่อโรคใดโรคหนึ่ง ดังนั้นผู้ป่วยจึงต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม เพื่อให้ได้สาเหตุหรือการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้อง ชัดเจน และรักษาได้ในระยะยาว
การตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมเพื่อแยกโรคปลอกประสาทอักเสบ
1. การตรวจจอประสาทตาโดยใช้เครื่องมือพิเศษ
เช่น ภาพถ่ายจอประสาทตา การตรวจการนำเข้ากระแสประสาทตา การตรวจความหนาของจอประสาทตา เป็นต้น
2. การตรวจคลื่นแม่เหล็ก (Magnetic Resonance Imaging : MRI)
ในส่วนที่มีอาการ เช่น ไขสันหลัง เส้นประสาทตา สมอง เป็นต้น เพื่อทำให้เกิดการมองเห็นภาพที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น จะได้ง่ายต่อการวินิจฉัยโรคมากกว่าภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ปกติ
3. การตรวจเลือด
จะช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคและสามารถวางแผนการรักษาได้ง่ายขึ้น
4. การตรวจน้ำไขสันหลัง
จะช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคโดยที่โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งนั้นจะมีเม็ดเลือดขาวที่สูงมากกว่าปกติ และจะตรวจพบโปรตีนที่สูงขึ้นด้วย ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงการอักเสบของระบบประสาทได้นั่นเอง
โรคปลอกประสาทอักเสบ อาการมีอะไรบ้าง?
1. โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (โรคเอ็มเอส)
สาเหตุ มักจะพบได้บ่อยในผู้หญิงที่กำลังอยู่ในวัยเจริญพันธุ์อายุ 20-40 ปี และจะมีปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคดังนี้ เช่น
- กรรมพันธุ์
- ชนชาติ (คนไทยจะพบได้น้อย)
- เชื้อไวรัสบางชนิด เช่น เชื้ออีบีวี (Epstein-Bar Virus)
- ระดับวิตามินดีในเลือดต่ำ
- การสูบบุหรี่
- โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง เช่น โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์ เป็นต้น
กลไกการเกิดโรค จะเกิดจากการที่เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ที่อยู่ในต่อมน้ำเหลืองนั้นได้รับการกระตุ้นจากสารบางชนิด และมีกลไกกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์นั้นออกจากต่อมน้ำเหลืองแล้วผ่านเข้าไปยังระบบประสาทส่วนกลาง เช่น เส้นประสาทตา ไขสันหลัง สมอง เป็นต้น จนเกิดการไปทำลายปลอกประสาทหรือปลอกมัยอิลินที่หุ้มอยู่รอบเส้นประสาท โดยที่ปลอกประสาทนั้นจะมีหน้าที่ในการส่งต่อกระแสประสาทให้เป็นไปอย่างรวดเร็วเมื่อเกิดการอักเสบและเกิดการทำลายปลอกประสาท จึงทำให้มีการนำกระแสประสาทได้ช้าลง และเกิดมีอาการผิดปกติต่าง ๆ ร่วมด้วย ซึ่งผู้ป่วยอาจจะมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอาการเกิดขึ้นพร้อมกันก็ได้
อาการ
- ตามัวลงอย่างเฉียบพลัน โดยมักจะเป็นข้างเดียว
- กลอกตาแล้วเจ็บภายในเบ้าตา
- ชาบริเวณแขน ขา ลำตัว กล้ามเนื้อแขนหรือขาอ่อนแรง ควบคุมระบบขับถ่ายได้อย่างผิดปกติ
- มองเห็นภาพซ้อน ภาพเบลอ เดินเซ
- เกร็งกล้ามเนื้อแขนขาเป็นพัก ๆ
- พูดไม่ชัด เคี้ยวหรือกลืนอาหารลำบาก
- อารมณ์แปรปรวน หรืออาจจะเป็นโรคซึมเศร้าได้
- สูญเสียการทรงตัว การเคลื่อนไหวของร่างกายไม่สัมพันธ์กัน
- รู้สึกมึนงง เมื่อยล้าง อ่อนเพลีย
- มีปัญหาเกี่ยวกับความจำและการทำสมาธิ
การรักษา
- การรักษาระยะเฉียบพลัน จะมีการฉีดยาสเตียรอยด์ทางหลอดเลือดเป็นเวลา 3-7 วัน โดยจะขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย และจะต้องรับประทานยาสเตียรอยด์ต่อหลังจากที่มีการฉีดยาไม่เกิน 1-2 สัปดาห์
- การรักษาระยะยาว โดยจะมีทั้งการฉีดยาใต้ผิวหนัง การรับประทานยา และการฉีดยาทางหลอดเลือด
การดำเนินโรคเอ็มเอส โรคนี้จะมีอาการกำเริบได้เป็นพัก ๆ ซึ่งอาจจะมีการกำเริบในตำแหน่งใหม่หรือตำแหน่งเดิมก็ได้ โดยมักจะกำเริบในช่วงปีแรก ๆ ของโรค เฉลี่ย 1-2 ครั้งต่อปี ซึ่งผู้ป่วยที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป มักจะมีโอกาสกำเริบขึ้นมาได้อีก 1% แต่ในบางครั้งก็จะมีการดำเนินโรคแบบรุดหน้า คือ ค่อย ๆ เป็นมากขึ้นโดยที่ไม่มีช่วงเวลาที่โรคกำเริบได้อย่างชัดเจน
2. โรคนิวโรมัยอิลัยติสออฟติกา (โรคเอ็นเอ็มโอ)
สาเหตุ โรคนี่มักจะพบเห็นได้บ่อยในผู้หญิงที่กำลังอยู่ในวัยเจริญพันธุ์เช่นเดียวกัน แต่ก็อาจจะพบได้ในผู้ป่วยอายุน้อยไปจนถึงอายุมากกว่า 80 ปีด้วย ซึ่งก็จะมีอายุเฉลี่ยที่ประมาณ 40 ปี
- กรรมพันธุ์
- ชนชาติ (คนไทยและคนในประเทศแถบเอเชียจะพบได้บ่อยกว่าชนชาติผิวขาว)
- เชื้อไวรัสบางชนิด เช่น เชื้ออีบีวี (Epstein-Bar Virus)
กลไกการเกิดโรค ผู้ป่วยโรคนี้จะมีการสร้างสารต่อต้านภูมิ (Antibody) โดยเม็ดเลือดขาวจะปล่อยเข้าไปในกระแสเลือดผ่านสู่ระบบประสาทส่วนกลาง เช่น สมอง ไขสันหลัง เส้นประสาทตา เป็นต้น เพื่อให้สารต่อต้านภูมินี้ไปจับกับตัวรับสารที่เป็นส่วนประกอบหนึ่งของผนังเซลล์ โดยจะทำหน้าที่เป็นช่องการผ่านของน้ำ (Aquaporin Channel) ที่อยู่บนผิวเซลล์ของระบบประสาทส่วนกลาง ดังนั้นเมื่อเกิดการจับตัวกันระหว่างสารต่อต้านภูมิและตัวรับสาร ก็จะเกิดการไปทำลายเซลล์ให้มีอาการผิดปกติตามมานั่นเอง
อาการ
- เกร็งกล้ามเนื้อแขนขาเป็นพัก ๆ
- มีอาการชาบริเวณแขน ขา ลำตัว กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง
- ควบคุมระบบขับถ่ายได้อย่างผิดปกติ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
- พูดไม่ชัด เคี้ยวหรือกลืนอาหารลำบาก
- อารมณ์แปรปรวน หรืออาจจะเป็นโรคซึมเศร้าได้
- สูญเสียการทรงตัว การเคลื่อนไหวของร่างกายไม่สัมพันธ์กัน
การรักษา
- ในกรณีที่เป็นระยะกำเริบเฉียบพลัน จะมีการฉีดยาสเตียรอยด์ทางหลอดเลือด 3-7 วัน ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย และจะต้องรับประทานยาสเตียรอยด์ต่อเนื่องหลังจากที่ได้รับการฉีดยาไปแล้ว แต่ถ้าหากผู้ป่วยได้รับยาสเตียรอยด์ไปแล้วมีอาการดีขึ้นเพียงเล็กน้อย แพทย์ก็อาจจะพิจารณาให้มีการเปลี่ยนถ่ายพลาสมา (Plasma Exchange) 5-7 ครั้ง โดยจะขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยเป็นหลัก
- การรักษาในระยะโรคสงบ เนื่องจากว่าโรคนี้มีการกำเริบได้เป็นระยะ จึงต้องมีการใช้ยาป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำด้วย โดยจะมีทั้งแบบรับประทานและแบบยาฉีดทางหลอดเลือด
โรคปลอกประสาทอักเสบ วิธีป้องกันมีอะไรบ้าง?
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ สารอาหารครบถ้วน
- พยายามไม่เครียด ทำจิตใจให้แจ่มใส
- งดการดื่มสุราและสูบบุหรี่
ดังนั้นเรื่องสุขภาพจึงถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากเป็นอันดับต้น ๆ ในชีวิตของคนเรา เพราะในปัจจุบันนี้ผู้คนต่างใช้ชีวิตประจำวันท่ามกลางความเสี่ยงต่าง ๆ มากมายที่เรานั้นไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งความเสี่ยงเหล่านี้ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อเราเจ็บป่วยขึ้นมาเมื่อใด สิ่งสำคัญที่เราจะต้องเตรียมนั่นก็คือในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา ซึ่งถ้าหากว่าใครที่ไม่ได้มีเงินสำรองสำหรับค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ก็อาจจะลำบากขึ้นมาได้ ดังนั้นการเลือกทำประกันสุขภาพจึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะประกันสุขภาพจะช่วยรองรับความเสี่ยงด้วยวงเงินคุ้มครองด้านสุขภาพในยามฉุกเฉิน ช่วยลดภาระค่ารักษาพยาบาล สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท อีกทั้งยังช่วยคลายกังวลในเรื่องของค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการรักษาได้อีกด้วย เจ็บป่วยเล็กน้อยก็เคลมได้
และเมื่อมีการซื้อประกันสุขภาพผ่านโบรกเกอร์ชั้นนำอย่างแรบบิท แคร์ คุณจะสามารถเข้าถึงความคุ้มครองได้อย่างรวดเร็วและได้รับความคุ้มครองอย่างง่าย ๆ โดยที่เบี้ยประกันนั้นมีราคาที่ถูกด้วย เพราะคุณจะได้รับแผนประกันสุขภาพที่เหมาะสมและตอบโจทย์ตามความต้องการของคุณได้เป็นอย่างดีจากการเปรียบเทียบแผนประกันสุขภาพที่หลากหลาย อีกทั้ง แรบบิท แคร์ ยังมีข้อเสนอสุดพิเศษให้คุณอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นประกันสุขภาพรายปี ประกันสุขภาพเหมาจ่าย ประกันสุขภาพรายเดือน ประกันสุขภาพแบบไม่ต้องสำรองจ่าย หรือประกันสุขภาพลดหย่อนภาษี อีกทั้งยังมีช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย ง่ายดาย และสะดวกรวดเร็ว โดยที่คุณนั้นไม่ต้องไปเสียเวลาติดต่อตัวแทนขายประกันสุขภาพทีละบริษัทด้วยตนเองแต่อย่างใด
ประกันสุขภาพที่ แรบบิท แคร์ แนะนำ